คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 235 คนส่วนเกิน
ในเมื่ออาจารย์ชอบ เช่นนั้นก็รับไว้ คงจู๋อู๋ครุ่นคิด ต่อให้เคยใช้ศิลาวิญญาณชั้นบนซื้อสิ่งของ อีกทั้งหน้าตายังแปลกประหลาด ต่อไปก็เป็นของดีที่ใช้มอบให้เป็นของขวัญได้
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าตัดสินใจจะไปโลกระดับเทพจริงๆ หรือ?” คงจู๋อู๋เอ่ยถามอีกครั้ง ก่อนที่จู๋ซวีอู๋จะออกจากสำนักสั่งไว้ว่าต้องดูแลนางให้ดี ทว่าตอนนี้นางจะจากไปเอง เจ้าสำนักก็ให้นางไปทำธุระ เกรงว่าคงขัดขวางไม่ได้
จินเฟยเหยาพยักหน้า “มีอะไร โลกระดับเทพน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ? ไหนบอกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสามารถโดยสารเรือไปจากเมืองวั่นเซียนสุ่ยได้ ถึงแม้หนึ่งร้อยปีจะออกเดินทางสักครั้ง ค่าตั๋วเรือก็แพง แต่ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จึงสามารถไปได้”
ท่าทางนางจะไม่เคยได้ยินอะไรมาเลยจริงๆ!
คงจู๋อู๋มองจินเฟยเหยาที่มีสีหน้างุนงง ได้แต่บอกว่า “โลกระดับเทพไม่ได้สงบสุขเหมือนโลกระดับวิญญาณ ที่นั่นมีการสู้รบวุ่นวาย มักจะลงมืออย่างหนักหน่วงเพื่อให้ได้ดินแดนส่วนหนึ่งบ่อยๆ”
“ดุร้ายขนาดนี้? แล้วยังมีคนไปทำอะไร” จินเฟยเหยาเพิ่งได้ฟังสภาพของโลกระดับเทพเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะไปโลกระดับเทพ คนโง่งมจึงใช้เงินสองแสนศิลาวิญญาณชั้นกลางไปโดยสารเรืออะไรนั่น
ที่จริงคงจู๋อู๋ก็ไม่เคยไป เพียงแต่ได้ยินมาจึงเล่าเรื่องที่ตนเองรู้ให้นางฟัง “ที่นั่นมีสิ่งของดีๆ ไม่น้อย หญ้าวิญญาณหรือวัตถุดิบตานสัตว์ปิศาจ วัตถุดิบหลายชนิดที่สามารถสร้างพื้นที่มิติได้มีเพียงโลกระดับเทพเท่านั้นที่มี ดังนั้นจึงมีคนมากมายแล่นไป แต่คนส่วนมากล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตและขั้นว่างเปล่าขึ้นไป เจ้าเพิ่งขั้นหลอมรวม ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ระวังถูกคลื่นโจมตีที่เหลือจากการต่อสู้มาโดนเข้าก็เอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าได้”
จินเฟยเหยาตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะดุร้ายขนาดนี้ อีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรของคนโลกระดับเทพก็สูงเกินไปด้วย
“พลังการบำเพ็ญเพียรสูงขนาดนี้ เวลาพวกเขามองข้าก็เหมือนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มองเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสิ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ ดังนั้นเจ้าหาข้ออ้างปฏิเสธเรื่องนี้ดีกว่า อยู่ที่ตำหนักซวีชิงแต่โดยดีเถอะ” คงจู๋อู่เห็นนางเกิดความคิดล่าถอยก็ฉวยโอกาสโน้มน้าว
จินเฟยเหยาลูบคาง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่มักจะมีสำนักส่งศิษย์ขั้นหลอมรวมไปโลกระดับเทพมิใช่หรือ? ครั้งนี้เรือที่พวกเขาให้ข้าโดยสารเป็นเรือของสำนักฉีเทียน มีศิษย์ขั้นหลอมรวมกลุ่มใหญ่ ถ้าน่ากลัวขนาดนั้นพวกเขาจะส่งศิษย์ขั้นหลอมรวมไปหาที่ตายหรือ”
คงจู๋อู๋ไม่อยากบอกนาง เห็นท่าทางหากไม่ถามให้กระจ่างชัดจะไม่เลิกราของจินเฟยเหยาจึงได้แต่เอ่ยว่า “โลกระดับเทพมีเหมืองศิลาวิญญาณชั้นบน พวกเขาไปขุดเหมือง ถ้าโชคดี ยังอาจจะพบศิลาวิญญาณชั้นยอด”
“อะไรนะ! มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย!” จินเฟยเหยากระโดดพรวดขึ้นมา ตัดสินใจได้ทันที
เห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย คงจู๋อู๋ก็คิดในใจว่า จบสิ้นแล้ว ยายนี่ต้องตัดสินใจไปโลกระดับเทพแน่ เพียงหวังว่าอาจารย์อย่ากลับมาอาละวาดก็พอ
“ศิลาวิญญาณชั้นบน ศิลาวิญญาณชั้นบน ข้าจะไปขุดศิลาวิญญาณชั้นบนแล้ว” จินเฟยเหยาตบบ่าของคงจู๋อู๋อย่างยินดี พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ ขอบคุณท่านมาก รอข้าขุดได้ศิลาวิญญาณชั้นบนเยอะแยะ จะช่วยพวกท่านออกศิลาวิญญาณสร้างตำหนักให้ใหญ่ขึ้น ตอนนี้ตำหนักนี้ดูแล้วเล็กเกินไป ไม่อหังการเลยสักนิด”
คงจู๋อู๋ถอนหายใจ “ในเมื่อเจ้าจะไปแน่นอน ก็รักษาตัวให้ดีๆ รออาจารย์กลับมาข้าจะบอกเขา เรื่องตำหนักไม่ต้องหรอก พวกเราคนน้อยอยู่ไม่ไหว เจ้าวางตัวดีๆ ระวังด้วยนะ”
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ ดาวแห่งโชคลาภของข้าส่องแสงแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะแบกศิลาวิญญาณชั้นยอดกลับมาได้ถุงหนึ่ง”
จินเฟยเหยาเริ่มเพ้อฝันว่าตนเองพบสายแร่ จากนั้นขุดตามสบายไม่กี่ทีก็ได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดและชั้นบนกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ถึงตอนนั้นต้องการสิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้น พื้นที่มิติที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของหญ้าวิญญาณได้ พื้นที่มิติขนาดใหญ่เหมือนภูเขาเห็ด ยังมีพื้นที่วิเศษที่ฤดูใบไม้ผลิปลูกจินตัน ฤดูใบไม้ร่วงก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเติบโตขึ้นมา
หืม? ดูเหมือนปลูกจินตันจะเป็นไปไม่ได้ ช่างมันเถอะ ขอเพียงให้ร่ำรวยมากๆ ก็พอ ซื้อพื้นที่มิติพกไว้หลายสิบชิ้น และเปลี่ยนใช้วันละอันเลียนแบบจอมมารหลง พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนยากจนที่รื่นหูรื่นตาก็โยนให้สักอัน ต้องการมีมาดเพียงใดก็มีเพียงนั้น
จินเฟยเหยาที่ตกอยู่ในความตื่นเต้นไม่ได้ยินคำเตือนซ้ำๆ ซากๆ ของคงจู๋อู๋แล้ว นางวิ่งออกจากตำหนักซวีชิงไปด้วยความตื่นเต้น ตลอดทางนางแอบยิ้มและแวะกล่าวอำลาบรรดาศิษย์พี่ทุกท่าน คิดจะเก็บของออกเดินทางเร็วๆ หน่อยอย่างอดใจรอไม่ไหว
บรรดาศิษย์พี่แห่งตำหนักซวีชิงได้ยินจินเฟยเหยาบอกว่าจะจากไปกะทันหัน ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าเช่นไร ตัวก่อเรื่องไปแล้วย่อมต้องยินดี แต่นางไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อตำหนักซวีชิงเลย แสดงสีหน้ายินดีมากเกินไปก็ไม่ดี แต่ก็ไม่กล้าโน้มน้าววุ่นวาย ถ้ารั้งให้นางอยู่อย่างสุภาพแล้วนางคิดจะไม่ไปจริงๆ คงแบกความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว
ในขณะที่จินเฟยเหยาปีติยินดีจึงไม่ได้พูดกับพวกเขามากนัก นางทักทายทีละคนราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำก็วิ่งจากไป
จากนั้นจินเฟยเหยามาถึงหน้าถ้ำเซียนของไป๋เจี่ยนจู๋ เห็นห้องเงียบกริบก็ตะโกนเสียงดัง “ศิษย์พี่ไป๋ พรุ่งนี้ข้าจะไปแล้วนะ ขอคืนน้ำพุร้อนให้ท่าน ท่านวางใจเถอะ พวกพั่งจื่อไม่ได้ปัสสาวะใส่น้ำ ท่านใช้ได้อย่างวางใจ”
จินเฟยเหยาเห็นภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหว ก็ตะโกนต่ออีก ข้าพูดความจริงนะ “ท่านน่ากินจริงๆ ต่อไปต้องระวังคนชั่ว อย่าให้ถูกคนจับไปกินล่ะ”
จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่ไป๋เจี่ยนจู๋ยังไม่ได้พุ่งออกมากระอักโลหิต วิ่งกระโดดโลดเต้นจากไป
กลับมาถึงเขตของตนเอง นางเก็บตึกหลิงหลงพลางเอ่ยกับตนเอง “ข้าพูดคลุมเครือเกินไปหรือไม่ ต้องบอกเขาตรงๆ หรือไม่ว่าจินตันที่ควบรวมขึ้นจากเส้นทางแห่งการเข่นฆ่า รสชาติเลิศรสกว่าจินตันของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนอื่นๆ หลายเท่า เหมือนกับของพี่จู๋ ท่าทางจินตันที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจะน่ากินเป็นพิเศษ”
พูดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาพลันนึกขึ้นได้ ตอนตนเองเจี๋ยตันก็เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาด ทว่าพอคิดถึงเจ้าสิ่งที่พอไม่ได้กินก็ประท้วง นางก็ส่ายศีรษะ เจ้านั่นต้องไม่น่ากินแน่ ตัวอ้วนขนาดนั้นย่อมต้องทั้งเหม็นทั้งมันเลี่ยนแน่นอน
ตกลงกันไว้ว่าวันที่สองจึงออกเดินทาง ทว่าสองชั่วยามให้หลังจินเฟยเหยาก็เก็บสัมภาระเดินทางเสร็จเรียบร้อยและปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูตำหนักเซียวเทียนแล้ว
ฉือชางเจินเหรินเห็นใบหน้าตื่นเต้นและใจร้อนอยากออกเดินทางของจินเฟยเหยาแล้วก็รู้สึกหมดวาจา ได้แต่ให้คนไปตามเหรินเยี่ยน
ครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงต้น อายุยี่สิบกว่าปีท่าทางเย็นชาและไม่ยินยอมคนหนึ่งก็เดินเข้ามา หลังคารวะฉือชางเจินเหริน เขาก็ไปยืนห้อยมืออยู่ด้านข้างโดยไม่มองจินเฟยเหยาสักแวบ
จินเฟยเหยามองเขาอย่างสงสัย ในใจอดคิดไม่ได้ คนเฝ้าคลังเก็บของไม่ธรรมดาเลย พอเห็นสีหน้านั่นก็รู้แล้วว่าคงไม่หยิบสิ่งของมั่วซั่ว
“จินเฟยเหยา นี่คือเหรินเยี่ยนศิษย์ผู้สืบทอดของข้า ให้เขาไปหอฉีเทียนเป็นเพื่อนเจ้าตลอดทาง” ยามนี้ ฉือชางเจินเหรินเอ่ยวาจากับจินเฟยเหยา
“หา?” จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง ชี้เหรินเยี่ยนแล้วเอ่ยกับฉือชางเจินเหรินว่า “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมต้องให้เขาไปเป็นเพื่อนข้าด้วย อีกทั้งถ้าเขาตามข้าออกไปแล้วระหว่างทางพบอันตราย หากเขาตายท่านมิคิดบัญชีลงบนศีรษะข้าหรือ”
สีหน้าของเหรินเยี่ยนเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่งทันที มองจินเฟยเหยาอย่างอึมครึม
ฉือชางเจินเหรินขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าไม่มีเขาไป เจ้าจะขึ้นเรือของหอฉีเทียนได้อย่างไร และเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ถ้าเขาตายง่ายดายขนาดนั้นคงไม่ใช่คนหอเซียวเทียนของข้า”
“เรื่องในโลกนี้ยากคาดเดา ผู้ใดจะรู้ว่าจะพบผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ต่อสู้กันหรือไม่ จากนั้นถูกคลื่นพลังมาโดนเข้า” จินเฟยเหยาบ่นอย่างไม่ยินยอม
“เจ้าวางใจ ศิษย์ผู้สืบทอดแห่งตำหนักเซียวเทียนของข้าทุกคนล้วนมีคาถาตามวิญญาณ ผู้ใดสังหารเขาก็จะถูกคาถานี้เข้าร่าง ไม่ว่าจะหนีไปไกลสุดขอบฟ้าก็ถูกกระจกตามวิญญาณหาพบ ดังนั้นเจ้าวางใจได้ ขอเพียงเจ้าไม่ใช่คนลงมือก็จะไม่ร่วงถึงศีรษะเจ้า” ฉือชางเจินเหรินขมวดคิ้วเอ่ยดังเดิม
จินเฟยเหยามองคิ้วของเขา รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ต้องคิดว่าตนเองทำให้คนเชื่อถือไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นจึงขมวดคิ้วและแสร้งทำท่าน่าเกรงขามทั้งวัน จากนั้นพอนางคิดอีกที ท่าทางจะกินคนที่ชื่อเหรินเยี่ยนไม่ได้เสียแล้ว น่าชังจริงๆ
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก นี่ไม่ถูกต้อง ถ้าข้าแตะต้องเขาก็จะถูกคาถาไล่ตามวิญญาณพัวพัน ถ้าเขาคิดจะฆ่าข้าจะทำอย่างไร? ข้าไม่มีคาถาไล่ตามวิญญาณอะไรนั่นนะ” จินเฟยเหยาพลันตระหนักถึงปัญหาหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ
“ข้าไม่ลงมือกับเจ้าหรอก คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ” ไม่รอให้ฉือชางเจินเหรินเอ่ยวาจา เหรินเยี่ยนพลันเอ่ยเสียงเย็นชา
จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้ามีหลักฐานอะไร?”
“เจ้าต้องการหลักฐานอะไร! ข้าเหรินเยี่ยนพูดแล้วไม่แปรผัน อีกอย่างเจ้าก็ไม่มีสาเหตุที่ทำให้ข้าคิดจะลงมือ!” เหรินเยี่ยนมองจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าเย็นชาและดูแคลน
คนผู้นี้น่าชังจริงๆ เหตุใดจึงมีคนแบบนี้ได้ ดูท่าทางของเขาสิ ราวกับท่านพ่อของเขาคือฉือชางเจินเหริน ยอดเยี่ยมตายละ จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าดูแคลนเช่นเดียวกัน
“ช่างเถอะ ข้าจะให้สิ่งของป้องกันตัวแก่เจ้าชิ้นหนึ่ง” ฉือชางเจินเหรินไม่อยากเห็นจินเฟยเหยาอาละวาดอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงหยิบเข็มขัดสีเงินเส้นหนึ่งออกมาจากบนร่าง
พอจินเฟยเหยาเห็นว่าเป็นของวิเศษ ของวิเศษล้วนแกร่งกล้ายิ่ง ทว่ากลับมีข้อเสียคือมีจำนวนครั้งในการใช้งาน หลังของวิเศษแต่ละชิ้นใช้จำนวนครั้งหมดก็จะกลายเป็นขยะที่ไม่มีค่า ปกติใช้สำหรับรับมือสถานการณ์คับขัน อีกทั้งสิ่งของแบบนี้ไม่มีที่โลกระดับดิน มีเพียงโลกระดับวิญญาณจึงมีสิ่งของเช่นนี้
“นี่คือเข็มขัดวิเศษไป๋หลิง ด้านในมีม่านป้องกันอันแข็งแกร่งสิบครั้ง ทั้งยังมีประสิทธิผลของเวทย้อนกลับมากลืนกิน แต่ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง ตอนนี้ด้านในมีให้ใช้ได้เพียงสามครั้ง เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว พวกเจ้าสองคนพลังการบำเพ็ญเพียรพอๆ กัน ถ้าสามครั้งแล้วเจ้ายังหนีไม่พ้นก็ได้แต่โทษพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองที่ใช้ไม่ได้” ฉือชางเจินเหรินโยนเข็มขัดวิเศษไป๋หลิงให้จินเฟยเหยา พลางเอ่ยอย่างช้าๆ
จินเฟยเหยานำเข็มขัดวิเศษไป๋หลิงมาดู จากนั้นก็เอ่ยอย่างผิดหวังอยู่บ้าง “มีแค่สามครั้ง น้อยเกินไปกระมัง”
“ถ้าเจ้ารังเกียจก็เอาคืนมาแล้วคิดหาทางเอาเอง ถึงอย่างไรเหรินเยี่ยนก็ต้องพาเจ้าไป!” ฉือชางเจินเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาและเข้มงวด
จินเฟยเหยาทำปากยื่น รีบเก็บเข็มขัดวิเศษไป๋หลิง ต่อให้ต้องใช้งานก็ต้องใช้การรับรู้ตรวจสอบดูก่อน
“รีบไปเถอะ!” ฉือชางเจินเหรินไม่อยากเห็นจินเฟยเหยาอีกแม้แต่เค่อเดียว เพียงคิดจะขับไล่นางไปให้พ้นตา
จินเฟยเหยาไม่ขยับ เพียงแค่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านยังไม่ได้มอบสิ่งของให้ข้าเลย”
……………………………….