คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 239 อย่าใช้เวทเสน่ห์กับข้า
“พี่สยง ท่านก่อตั้งแคว้นผู้บำเพ็ญเซียนที่โลกระดับดินมิใช่หรือ ได้ยินว่าดินแดนมีขนาดใหญ่กินพื้นที่หนึ่งในสามของโลกระดับดิน นั่นต้องมีโลกระดับดินมากเพียงใดกัน” จินเฟยเหยาซึ่งนั่งอยู่ริมลำธารในหุบเขาแห่งหนึ่งของยอดเขาลูกนี้สอบถามสยงเทียนคุนอย่างสงสัย
สยงเทียนคุนแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดินแดนใหญ่จริง ถ้าคำนวณจากโลกระดับดิน ตอนนี้ในมือข้ามีโลกระดับดินหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าแห่ง ถ้าเจ้ายอมติดตามข้ากลับไป ข้าจะมอบโลกระดับดินส่วนหนึ่งของข้าให้เจ้า”
“โลกหนานซานในอดีตก็กว้างใหญ่ออกปานนั้น ถ้ามีหนึ่งร้อยยี่สิบแห่งจะควบคุมดูแลได้อย่างไร” จินเฟยเหยานับนิ้ว พบว่าเป็นดินแดนมหาศาลจริงๆ
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกไม่ถูกต้อง “พี่สยง ในเมื่อท่านมีดินแดนกว้างใหญ่ขนาดนี้ เพราะเหตุใดยังยากไร้จนต้องแล่นมาล่อลวงปล้นชิงถึงโลกระดับวิญญาณ?”
สยงเทียนคุนแย้มยิ้มขึ้น ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เนื่องจากดินแดนกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นข้าจึงยากไร้จนกลายเป็นเช่นนี้”
“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน” จินเฟยเหยามองเขาแบบไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ถ้าจะเล่าว่าเหตุใดข้ามีดินแดนมากมายยังยากจนขนาดนี้ ต้องเริ่มเล่าจากการที่พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าสูงขึ้นพรวดพราด” สยงเทียนคุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นี่ก็เป็นจุดที่จินเฟยเหยาขบคิดไม่เข้าใจ หวาหวั่นซีใช้การกลืนกินคนในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียร ทว่าผลที่ตามมากลับต้องตกตายแต่เนิ่นๆ แล้วสยงเทียนคุนใช้วิธีใดจึงบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และยังดูออกได้ว่าเขามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางแล้ว
สยงเทียนคุณเล่าเรื่องนับตั้งแต่แยกทางกับจินเฟยเหยาเป็นต้นมาทีละเรื่อง
จินเฟยเหยารับฟังบัดเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว บัดเดี๋ยวก็ยินดี บางครั้งก็อิจฉาริษยา
ที่แท้สยงเทียนคุนพบศิษย์สำนักเดียวกับตนเองที่เมืองวั่นคูจริงๆ แต่ขนาดท่านพ่อของเขายังตายในการสู้รบ แต่เขายังเข้าร่วมต่อสู้ช่วงชิงกับทุกคน
เดิมทีเป็นเพียงการสู้รบวุ่นวายของโลกสองใบ ทว่าสุดท้าย เขากลับสังหารคนเผ่ามารได้บ่อยๆ จึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังต้องอยู่รอดท่ามกลางกลียุคให้ได้โดยไม่เลือกวิธีการ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ตกตายใต้เงื้อมมือเขายิ่งมีนับไม่ถ้วน
ไม่มีใครส่งสิ่งของมาให้นานแล้ว ทุกคนได้แต่เพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองในวัฏจักรแห่งการปล้นชิงผู้อื่นและถูกผู้อื่นปล้นชิง ยิ่งสังหารคนเยอะ สิ่งของที่ได้ก็ยิ่งมากขึ้น สยงเทียนคุนได้ลาภลอยมาไม่น้อยในสภาพการณ์เช่นนี้
ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งยิ่งเป็นความจริงที่เห็นได้ชัดในโลกระดับดินอันวุ่นวาย สยงเทียนคุนที่เคยอาบโลหิตฝึกเวทเสน่ห์ อาศัยใบหน้าที่ทำให้คนลุ่มหลงได้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษมากมายตกตายภายใต้คมกระบี่ของตนเองแต่โดยดีจนได้ฉายานามว่าโฉมมารวิญญาณร้าย ในโลกระดับดินมีประโยคนี้แพร่สะพัด ยามเมื่อเจ้าหลงรักบุรุษผู้มีรูปโฉมงดงามก็คือยามที่เจ้าตาย
“ท่านฝึกเวทเสน่ห์ด้วย ประสิทธิผลเป็นอย่างไรบ้าง?” จินเฟยเหยาตกตะลึงไม่เบา เจ้าหมอนี่เปลี่ยนเป็นฉลาดขนาดนี้ สามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนเองได้ดีเยี่ยม
สยงเทียนคุนรู้อยู่แล้วว่าจินเฟยเหยาจะไม่หัวเราะเยาะเขาว่าเป็นบุรุษกลับต้องฝึกเวทเสน่ห์มาล่อลวงบุรุษ ดังนั้นเขาจึงเล่าให้นางฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง
“เจ้าอยากดูประสิทธิภาพหรือ?” สยงเทียนคุนเอ่ยยิ้มๆ
“นำเขามาทดลองดู” จินเฟยเหยาชี้เหรินเยี่ยนที่นอนหมดสติบนพื้น พลางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“ได้” สยงเทียนคุนตอบรับแล้วลุกขึ้นยืนเดินมาถึงข้างกายเหรินเยี่ยน เขายื่นฝ่ามือไปถ่ายพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างเหรินเยี่ยนเพื่อให้เขาตื่นขึ้นมา ต่อให้เวทเสน่ห์ของเขาสูงส่งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้กับคนหมดสติ
“อืม” เหรินเยี่ยนรู้สึกร่างร้อนผ่าว ส่งเสียงครางพลางลืมตาขึ้น พอเห็นใบหน้าอันงดงามประทับเข้าในดวงตาของเขาทันที พริบตาก็ตะลึงงันไป
สยงเทียนคุนเห็นเหรินเยี่ยนฟื้น ก็ยื่นมือไปลูบคลำใบหน้าของเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เอ่ยถามเบาๆ “เจ้ายังรู้สึกเจ็บหรือไม่ ข้าทำร้ายเจ้า ในใจของเจ้าคงโทษข้าแน่”
สองแง่สองง่ามมาก...จินเฟยเหยารู้สึกเหงื่อแตกเต็มศีรษะและสั่นเทิ้มไปหมดทั้งตัว สายตาของสยงเทียนคุนอ่อนโยนขนาดนั้น เศร้าเสียใจขนาดนั้น ราวกับเหรินเยี่ยนที่เหมือนบ๊ะจ่างบนพื้นเป็นคนรักที่สนิทสนมที่สุดของเขา
เหรินเยี่ยนสติหลุดลอย หัวใจถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทงอย่างรุนแรง เขามองดวงตาของสยงเทียนคุนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่โทษเจ้า ต่อให้เจ้าสังหารข้า ข้าก็ไม่แค้นเจ้า สามารถตายใต้เงื้อมมือเจ้าได้ ข้ายินยอมพร้อมใจอย่างยิ่ง”
จินเฟยเหยาแทบจะหลั่งน้ำตาอาบหน้า หน้าตางดงามยอดเยี่ยมจริงๆ กระบวนท่าสังหารศัตรูแบบนี้ เจ้าจะให้สตรีที่มีหน้าตาธรรมดาราวกับก้านผักกาดขาวอย่างข้ายังมีหน้าไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร
“เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร อย่าขยับตัววุ่นวาย หลับพักผ่อนก่อนเถอะ” ราวกับสยงเทียนคุนรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ในดวงตาแฝงรอยยิ้มพลางลูบคลำใบหน้าของเหรินเยี่ยนเบาๆ
เหรินเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยประโยคหนึ่ง “ได้” จากนั้นคนก็หลับไปอีก
ต่อมาสยงเทียนคุนยืนขึ้นมองจินเฟยเหยา ในดวงตาฉายแววรักใคร่ ค่อยๆ เข้ามาใกล้จินเฟยเหยาอย่างช้าๆ
จินเฟยเหยากำสองมือแน่น สะกดความปรารถนาจะพุ่งออกไปไว้ เห็นสยงเทียนคุณยิ่งเดินเข้ามาใกล้ นางเลียริมฝีปาก
“ตามข้าไปเถอะ พวกเราไปโลกระดับดิน อยู่กับข้า ไม่แยกจากกันตลอดกาล” สยงเทียนคุนยื่นมือมาและค่อยๆ เข้าใกล้จินเฟยเหยา
ทันใดนั้นเขาก็หยุดลง มองดูจินเฟยเหยาเบื้องหน้าและแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง
“อ๊า!” จินเฟยเหยาพลันกระโดดผลักสยงเทียนคุนล้มลงกับพื้นและทับบนร่างเขาหลังร้องคำราม มีปราณปิศาจสีดำพวยพุ่งขุมหนึ่งทะลักจากร่าง นางทับร่างสยงเทียนคุนไว้จนขยับตัวไม่ได้ จินเฟยเหยาอ้าปากเผยเขี้ยวพยัคฆ์เล็กๆ แหลมคมสี่ซี่ออกมา น้ำลายใสแจ๋วหยดลงบนคอของสยงเทียนคุน
จากนั้นได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยว่า “ให้ข้ากินเจ้าเถอะ เอาหยวนอิงของเจ้ามาให้ข้า”
สยงเทียนคุนงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
จินเฟยเหยาเห็นเขาไม่พูดจาก็แลบลิ้นเลียคอของเขา จากนั้นแผ่ไอสังหารกดดันพลางเอ่ยว่า “เจ้าใช้หยวนอิงอันน่าอร่อยขนาดนี้มาล่อลวงข้า เพื่อคิดจะให้ข้ากินเจ้ามิใช่หรือ? ถ้าจู๋ซวีอู๋เป็นผลไม้เปรี้ยวอมหวาน ไป๋เจี่ยนจู๋เป็นอาหารหลัก เช่นนั้นเจ้าก็เป็นของหวาน หยวนอิงหวานอร่อยเช่นนี้สมควรให้ข้ากิน”
“ให้เจ้า” สยงเทียนคุนเอ่ยอย่างตะลึงงัน
จินเฟยเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง อ้าปากจะกัดคอของเขา ฟันเย็นเยียบกำลังจะสัมผัสโดนผิวหนังของสยงเทียนคุน ริมหูของทั้งสองคนพลันมีเสียงคำรามด้วยโทสะต่ำๆ ดังมา “ตื่น!”
จินเฟยเหยาและสยงเทียนคุนตะลึงงันและได้สติคืนมาในพริบตา สยงเทียนคุนเก็บเวทเสน่ห์ของตนเองกลับคืนทันที ส่วนไอปิศาจที่ลอยขึ้นด้านหลังจินเฟยเหยาก็วูบกลับเข้าในร่างนาง
จินเฟยเหยาเห็นท่าทางของตนเอง พลันนึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเองเกือบเสียการควบคุม ความทรงจำไม่ได้หายไป จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน
นี่มันเรื่องอะไรกัน! เมื่อครู่นางเกือบจะกินพี่สยง อีกทั้งยังเตรียมจะกินหมดทั้งเนื้อและหนัง ไม่ใช่แค่เพียงหยวนอิง จินเฟยเหยาสำนึกเสียใจ ลูกตาของนางกลอกไปมา มองสยงเทียนคุนเงียบๆ
สยงเทียนคุนที่นอนหงายบนพื้นได้สติคืนมา เมื่อครู่ตนเองเผชิญกับอันตรายเพียงใด ตนเองเพียงแค่ลองใช้เวทเสน่ห์กับจินเฟยเหยา เหตุใดจึงทำให้นางเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดแบบนี้ได้ อีกทั้งไอสังหารที่ทำให้คนขยับตัวไม่ได้เมื่อครู่เป็นเรื่องอะไรกันแน่ เขาอดลูบตรงคอที่ถูกจินเฟยเหยาใช้เขี้ยวแหลมสัมผัสเบาๆ ไม่ได้ บนมือชื้นแฉะ เขายกมือขึ้นดู เต็มไปด้วยโลหิต!
เพียงสัมผัสเบาๆ ร่างกายขั้นกำเนิดใหม่ของตนเองก็ถูกนางทำร้ายกรีดทะลุได้อย่างง่ายดาย เฟยเหยา…เจ้าเป็นอะไรไป! มือของสยงเทียนคุนเปื้อนเลือด ดวงตาจ้องมองจินเฟยเหยาตรงๆ ชั่วขณะ คนทั้งสองต่างไร้วาจา
บรรยากาศกระอักกระอ่วนเกินไป จินเฟยเหยาพลันทำปากยื่นเอ่ยว่า “พี่สยง คิดไม่ถึงว่าท่านจะใช้เวทเสน่ห์กับข้า ชั่วร้ายจริงๆ เดิมทีคิดจะกัดท่านสักคำเป็นการลงโทษ ฮึ!”
เห็นสยงเทียนคุนไม่มีปฏิกิริยา จินเฟยเหยาก็ลุกออกจากบนร่างของเขา กอดอกพลางเอ่ยอย่างดุร้าย “ถ้าท่านสอนเวทเสน่ห์ให้ข้า ข้าจะยกโทษให้”
“อุ๊บส์” สยงเทียนคุนนั่งบนพื้น ปิดปากหัวเราะ หลังจากหัวเราะก็พบว่ามือที่ปิดปาก เป็นมือข้างเดียวกับที่เปื้อนโลหิตสด คราวนี้ป้ายโลหิตลงบนหน้าแล้ว
“ข้าไม่ดีเอง เก็บเวทเสน่ห์ไม่ทัน เจ้ากัดข้าก็สมควรแล้ว เพียงแต่เงื่อนไขในการฝึกเวทเสน่ห์สูงมาก เจ้าฝึกไม่ไหวหรอก” สยงเทียนคุนแอบโล่งใจ ดียิ่งนักที่ความกระอักกระอ่วนคลี่คลายลงแบบนี้
จินเฟยเหยาขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “เพราะเหตุใดจึงไม่ได้? ข้าเรียนรู้ได้เร็วมากนะ มีอะไรที่เรียนไม่ไหวกัน”
สยงเทียนคุนเอ่ยอย่างเสียใจ “เงื่อนไขด้านรูปโฉมสูงมาก”
“…ท่านกำลังบอกว่าข้าหน้าตาอัปลักษณ์ แม้แต่เวทเสน่ห์ก็เรียนไม่ได้” จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา นี่ถือเป็นคำอธิบายอะไร วอนโดนอัดยิ่งนัก
“เปล่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ถ้าไม่มีเงื่อนไข ใครๆ ก็เรียนได้หมด มิใช่สังหารคนได้ง่ายผิดปกติหรือ” สยงเทียนคุนยืนขึ้น ตบฝุ่นบนตัวพลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“เชอะ ข้าไม่ค่อยสนใจเวทเสน่ห์เท่าใด ไม่สอนก็ช่างเถอะ” จินเฟยเหยาส่งเสียงฮึอย่างไม่พอใจ ความกระอักกระอ่วนของทั้งสองคนนับว่าผ่านพ้นไปแล้ว
จินเฟยเหยาแอบยินดี สยงเทียนคุนยังหลอกง่ายเหมือนเดิม เรื่องที่ตนเองกินคนได้ไม่เหมาะจะบอกออกไปจริงๆ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องมีสักวันที่ตนเองจำคนรู้จักไม่ได้ เห็นสิ่งใดก็กินสิ่งนั้นแน่
สยงเทียนคุนยิ้มน้อยๆ กลับแอบเอ่ยกับตนเองเงียบๆ “ขอบคุณ ถ้าเมื่อครู่เจ้าไม่ได้ส่งเสียงตวาด ข้าอาจจะตายจริงๆ” หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยอีกว่า “ข้ารู้ แค่เลินเล่อไปชั่วขณะ ต่อไปไม่แล้ว”
ไม่รู้ว่าสยงเทียนคุนพูดกับใครอยู่ ตรงกันข้ามพูดคุยเบาๆ อยู่นาน สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน อดส่งเสียงดังไม่ได้ “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง!”
“หืม?” จินเฟยเหยากำลังนั่งบนหินก้อนหนึ่งเพื่อทำให้จิตใจสบาย ถึงแม้ไม่หิวยังนำตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่งมาอม ได้ยินเสียงของสยงเทียนคุนก็มองเขาพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่สยง ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ท่านถามอะไร?”
“ไม่มีอะไร” สยงเทียนคุนส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว
“อ้อ” จินเฟยเหยาส่งเสียงตอบรับ แล้วเคี้ยวตานสัตว์ปิศาจเล่นต่อ
ส่วนสยงเทียนคุนลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยถามอย่างกะทันหันว่า “เฟยเหยา เจ้าเคยฝึกเคล็ดวิชาประหลาดอะไรหรือเคยพบสัตว์ปิศาจแปลกประหลาดอะไรหรือไม่”
“แค่ก!” พอเขาถาม ก็เกือบจะทำให้จินเฟยเหยากลืนตานสัตว์ปิศาจลงไปทั้งเม็ด
……………………………………………..