คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 241 คนไร้หัวใจ
“อะไรก็ได้หรือ?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
สยงเทียนคุนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ ต่อให้เจ้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็สามารถถามได้”
“ท่านรู้เรื่องมากมายขนาดนี้เลยหรือ?” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้าง เคล็ดวิชาเหล่านี้มิใช่เคยอ่านแล้วจะรู้ได้ เคล็ดวิชาที่ซื้อได้ตามตลาดเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาที่ทุกคนต่างก็รู้ สิ่งของดีๆ ล้วนถูกสำนักหรือบุคคลซ่อนไว้ ไม่ให้เผยแพร่ออกไปตามใจชอบ
“เจ้าเพียงถามมา ข้าสามารถช่วยเจ้าหาได้” สยงเทียนคุนไม่คิดจะอธิบายปัญหานี้มาก เพียงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ก็ได้ ให้ข้าคิดดูหน่อย” จินเฟยเหยาครุ่นคิด นางไม่อยากพูดเรื่องจินตันของตนเองออกไป ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด นางจึงไม่ยินยอมบอกเรื่องนี้กับผู้อื่น มีความรู้สึกเหมือนอยากพูดแต่พูดไม่ออก ส่วนเคล็ดวิชาอื่นนางก็ไม่รู้ว่าสมควรถามอะไร
ทันใดนั้นจินเฟยเหยาก็นึกถึงหุ่นเชิดที่ถูกเผาเป็นฟืนย่างเนื้อกิน ถ้าค้นคว้าหุ่นเชิดเหล่านี้ได้ก็สามารถให้หุ่นเชิดดูแลหญ้าวิญญาณในเกาะลอยได้ ที่ดินไม่กี่หมู่ถึงเล็กไปหน่อยก็สามารถไถคราดเพิ่มได้อีก ตอนนี้ไม่มีคนดูแล วัชพืชสูงเลยตัวคนแล้ว และยังมีมดหนึ่งผลึกที่ยังถ่ายศิลาวิญญาณได้น่าผิดหวังเนื่องจากไม่ได้ดูแลให้ดี
“ครั้งที่แล้วข้าได้ตำราหุ่นเชิดฉบับนี้มาโดยบังเอิญ แต่ไม่รู้ว่ามีข้อผิดพลาดหรือไม่ ข้าอยากให้พวกมันเคลื่อนไหวได้เองทว่ากลับทำไม่ได้ ถึงใช้การรับรู้ควบคุมก็ต้องใช้ร่างจริงของข้าควบคุม แบบนี้ข้าก็ทำอย่างอื่นไม่ได้ ตอนนี้กลายเป็นขยะชิ้นหนึ่ง ถ้าท่านทำได้ช่วยหาเวทหุ่นเชิดที่เหมาะสมให้ข้าสักฉบับ” จินเฟยเหยานำเวทหุ่นเชิดที่ได้มาจากตระกูลพานออกมายื่นส่งให้สยงเทียนคุน
สยงเทียนคุนถือเวทหุ่นเชิด อ่านเงียบๆ อยู่นาน ราวกับกำลังศึกษาเนื้อหาด้านในอย่างจริงจัง ที่จริงจินเฟยเหยาดูออกว่า เขาคงกำลังพูดกับใครอยู่เสียแปดส่วน ดวงตาที่จ้องมองเวทหุ่นเชิดไม่ขยับเลยสักนิด
ครู่หนึ่ง สยงเทียนคุนก็นำป้ายหยกสีขาวว่างเปล่าชิ้นหนึ่งออกมา เริ่มใช้การรับรู้เขียนอะไรบางอย่างในนั้น
จินเฟยเหยามองพินิจเขาอย่างสงสัยไม่หยุด ยิ่งเชื่อมั่นว่าในร่างของสยงเทียนคุนต้องมีอะไรบางอย่างแน่
สยงเทียนคุนเขียนป้ายหยกอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งก็เขียนเสร็จจากนั้นยื่นส่งให้จินเฟยเหยา
“เฟยเหยา เวทหุ่นเชิดฉบับนี้ของเจ้าน่าจะเป็นคนที่พอมีพลังการบำเพ็ญเพียรอยู่บ้างค้นคว้าออกมาเอง มีหลายแห่งที่เป็นความคิดเห็น ทว่าไม่ใช่ความคิดเห็นของเขาเอง เกรงว่ายากจะคาดเดาได้ถูกต้อง ข้ามีเวทหุ่นเชิดฉบับหนึ่ง รับประกันว่าดีกว่าฉบับของเจ้ามาก ทั้งยังใช้งานสะดวก แก้ไขปัญหาเรื่องแยกการรับรู้ควบคุมไม่ได้”
“ยอดเยี่ยมขนาดนี้” จินเฟยเหยาถือป้ายหยกใช้การรับรู้กวาดอ่านดูกึ่งเชื่อถือกึ่งสงสัยและยอมรับทันที ปัญหาการแบ่งแยกการรับรู้ที่นางงุนงงมาตลอด ในนั้นนิดเดียวก็คลี่คลายได้แล้ว อีกทั้งหุ่นเชิดที่จดบันทึกไว้ในนั้นก็เหมือนมนุษย์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กที่งดงามราวกับมนุษย์จริงๆ
ร่ายวัตถุดิบที่หลอมสร้างมาทีละรายการ จดบันทึกระยะเวลา ระดับความแรงไฟ วิธีสร้าง และลำดับการหลอมสร้างไว้อย่างละเอียด ขอเพียงไม่ใช่คนโง่งมก็สามารถหลอมสร้างเองได้
จินเฟยเหยายินดีอย่างที่สุด เก็บป้ายหยกพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สยง ท่านรู้ทุกเรื่องจริงๆ เช่นนั้นพวกเราออกไปเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากอ่างมายาจิ่งเทียน เห็นเหรินเยี่ยนยังนอนหมดสติอยู่ในวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจดังเดิม พั่งจื่อและต้านิวนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับก้อนหินมองดูท้องฟ้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่จินเฟยเหยากินตานสัตว์ปิศาจเป็นต้นมา ปริมาณอาหารของพวกมันสองตัวก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงชีวิตในอดีตใช่หรือไม่ จากยอดเขาลูกนี้เหยียบอาวุธเวทสองวันก็ถึงสำนักฉีเทียน ส่วนวันที่เรือออกคืออีกห้าวันให้หลัง จินเฟยเหยาจึงชวนสยงเทียนคุนพูดคุยอยู่ที่นี่หลายวัน
เนื่องจากสยงเทียนคุนกำลังจะไปทวงหนี้ที่สำนักฉีเทียนพอดี จากนั้นจุดหมายต่อไปคือสำนักตงอวี้หวง ดังนั้นจึงไปพร้อมกับจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาจึงเสนอแนะให้พาเหรินเยี่ยนกลับไปด้วยตอนไปสำนักอวี้หวง เจ้าหมอนี่หลงใหลสยงเทียนคุนแล้ว สามารถใช้ความสัมพันธ์ของเขาทำให้ฉือชางเจินเหรินจ่ายเงินได้อย่างสบายใจพอดี
อีกทั้งจินเฟยเหยายังเตือนสยงเทียนคุณเป็นพิเศษ อย่าเอ่ยว่ารู้จักตนเองเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นฉือชางเจินเหรินมิเพียงไม่ชำระหนี้ วันหน้าอาจจะไม่มอบศิลาวิญญาณให้ด้วย
สยงเทียนคุนไม่เข้าใจ จินเฟยเหยาได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ บอกว่าตนเองกินอาหารไปหลายมื้อ พวกเขารู้สึกว่ากินมากเกินไป คิดจะเก็บค่าอาหาร
เจอเข้ากับสำนักใหญ่ที่สาวน้อยน่ารักกินอาหารไม่กี่มื้อยังจะเก็บศิลาวิญญาณ สยงเทียนคุนก็ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเหตุใดสำนักนี้จึงเป็นได้ขนาดนี้ หรือว่าสำนักใหญ่ต่างก็ประหยัดศิลาวิญญาณ?
สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกแปลกใจคือสยงเทียนคุนถามนางเพียงสองครั้ง ว่าจะหยุดใช้ชีวิตร่อนเร่แบบนี้และกลับโลกระดับดินกับเขาหรือไม่ หลังจากถูกนางปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่พัวพันอีก
สยงเทียนคุนยิ้มแย้ม เอ่ยอย่างชืดชา “ถ้าเจ้าไม่อยากไปแล้วข้าบังคับให้เจ้าไป นอกจากเจ้าจะไม่พอใจแล้วยังจะแค้นข้า คนบางคนถูกกำหนดให้เป็นคนร่อนเร่อยู่ภายนอก เจ้ากักขังนางไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง นางจะตาย ถึงแม้เจ้าอยากเป็นเพื่อนนางท่องไปทั่วหล้าแต่กลับทำไม่ได้ ข้ายังมีสำนัก ยังมีศิษย์นับพัน ในฐานะที่เป็นบุรุษคนหนึ่ง ต้องแบกรับหน้าที่ที่ตนเองต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถทำตามใจปรารถนาได้”
คิดไม่ถึงว่าสยงเทียนคุนจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ ไม่รู้ว่าที่แท้ร้อยปีมานี้เขาประสบเรื่องราวมามากเพียงใด จึงสามารถทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์ มีมาดของเจ้าสำนักแห่งหนึ่งอย่างยิ่ง
“ข้าอิจฉาเจ้ามาตลอด เจ้าไม่เคยครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น และไม่คิดถึงผู้ใด ข้าว่า หนึ่งร้อยปีมานี้เจ้าอาจจะไม่เคยนึกถึงข้าเลย ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้ายล้วนไม่ทิ้งรอยประทับไว้ในจิตใจของเจ้า เจ้าเป็นคนไร้หัวใจขนาดนี้เคยมีผู้ใดหรือเรื่องใดยึดครองพื้นที่เล็กๆ ในหัวใจของเจ้าหรือไม่?” สยงเทียนคุนมองจินเฟยเหยาอย่างอ่อนโยน เอ่ยอย่างราบเรียบ
เวลานี้ ในภูเขามีสายลมโชยมา พัดใบไม้ร่วงลงมาไม่น้อย
จินเฟยเหยามองเขาเงียบๆ จริงจังและสงบนิ่งเกินคาด หลังผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงเอ่ยปากว่า “ไม่มี”
“เจ้าเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงสามารถอยู่อย่างอิสระ ไม่ได้รับผลกระทบจากความรู้สึก” สยงเทียนคุนยิ้มอย่างชืดชา
จินเฟยเหยาขยี้จมูกพลางเอ่ยว่า “ข้าถือว่าท่านเป็นสหายมาตลอด เป็นสหายที่ดียิ่ง”
“ข้ารู้” สยงเทียนคุนยิ้ม หยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ทิ้งตะเกียงดวงจิตไว้ให้ข้าสักหน่อย ข้าไม่เหมือนเจ้าที่สามารถลอยชายไปทั่วอย่างไร้ห่วงกังวล ข้ามีจุดอ่อน ข้าอยากรู้ว่าเจ้าปลอดภัยหรือไม่ ถ้าเจ้าตายข้าจะสลักรูปลักษณ์เจ้าบนยอดเขาลูกนั้นแล้วตั้งชื่อให้มันว่ายอดเขาไร้ใจ เป็นอย่างไร?”
“ไม่มีปัญหา เพียงแต่ข้ามีเรื่องขอร้อง ท่านต้องสลักของกินในมือข้าด้วย” จินเฟยเหยาหัวเราะขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ซาลาเปาเนื้อเถอะ ดูดีหน่อย” สยงเทียนคุนพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง
“ข้าคิดว่าสลักดอกไม้ดีกว่า ซาลาเปาเนื้อมัน…” ไม่รู้ว่าเหรินเยี่ยนฟื้นขึ้นมาเมื่อใด ได้ยินคำสนทนาของพวกเขาสองคนแล้วอดเอ่ยแทรกไม่ได้
สยงเทียนคุนยื่นมือไปฟาดเขาให้สลบ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ถ้ายังพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “ที่จริงท่านก็อารมณ์ร้ายไม่เบานะ”
ทั้งสองคนหมดวาจา ได้แต่มองตากันแล้วหัวเราะ
ห้าวันต่อมา สยงเทียนคุนและจินเฟยเหยามาถึงเชิงเขาของสำนักฉีเทียน เหรินเยี่ยนที่เหมือนบ๊ะจ่างถูกโยนทิ้งไว้บนพรมบินดังเดิม
ภูเขาหลิงชางสูงตระหง่าน ฝีมือธรรมชาติรังสรรค์สลักเสลาบนกำแพงผาออกมาเป็นหอสูง สำนักฉีเทียนทั้งหมดใช้ภูเขาสลักออกมา บนบันไดที่ราบเรียบเหล่านั้นมีราวจับสลักมังกรและหงส์ ศาลาคลายร้อนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากหน้าผาสลักจากตัวภูเขา ตรงหน้าต่างแขวนผ้าโปร่งบางเบา
ภูเขาหลิงชางทั้งลูกคือตำหนักหลังหนึ่ง บันไดเหล่านี้ยืดขยายเข้าไปตรงกลางตามตัวภูเขา คาดว่ากลางภูเขาน่าจะมีถ้ำอีกแห่ง
หลังจากผลักเหรินเยี่ยนออกมาและอธิบายกับศิษย์เฝ้ายามของสำนักฉีเทียน แล้วมอบสิ่งของยืนยันจากฉือชางเจินเหริน ศิษย์เฝ้ายามก็ชี้ไปที่เรือเหาะสูงเก้าสิบเก้าจั้งลำหนึ่งบนยอดเขาพลางเอ่ยว่า “เหตุใดสหายเซียนจึงมาช้าขนาดนี้ เรือเหาะกำลังจะออกเดินทางแล้ว”
“หา!” จินเฟยเหยาตะลึงงันแล้วได้สติกลับมาทันที ทำอยู่นาน ไม่ได้ไปทางทะเล ทว่าไปทางท้องฟ้า ตอนอยู่เมืองวั่นเซียนสุ่ยบอกว่าโดยสารเรือ นางยังนึกว่านั่งเรือไปโลกระดับเทพทางทะเล
“พี่สยงข้าไปก่อนละ ฝากเจ้าหมอนี่ด้วย ท่านพาเขากลับสำนักตงอวี้หวงเถอะ ต่อไปถ้าข้าอยู่ไม่ได้จะไปหาท่าน” จินเฟยเหยาเอ่ยกับสยงเทียนคุนอย่างรีบร้อนแล้วไม่สนใจจะพูดกับเขาต่ออีก ลากศิษย์เฝ้ายามคนนั้นกระโดดขึ้นพรมบินเหาะไปยังยอดเขาทันที
นางไม่กล้าบินไปยอดเขาคนเดียว ไม่มีศิษย์สำนักเทียนฉีคนหนึ่งนำทาง ถ้าตนเองถูกถือเป็นคนชั่วที่บุกรุก ถูกเวทมนตร์โจมตีตกลงมาก็ยุ่งแล้ว
เห็นท่าทางรีบร้อนของนาง สยงเทียนคุนก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขาให้นางมาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันนางกลับไม่ฟัง ดึงดันจะถ่วงเวลาจนถึงตอนนี้ ถ้ารุดไปไม่ทันขึ้นเรือ ไม่รู้ว่านางจะทำอย่างไร
“ทั้งสองท่านเชิญตามข้ามา ให้อาจารย์อาผู้ดูแลพาท่านทั้งสองไปพบเจ้าสำนัก” ศิษย์เฝ้ายามอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเคารพ ขนาดหน้าเขายังไม่กล้าเงยขึ้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เบื้องหน้าหน้าตางดงามเกินไป งดงามจนราวกับมองดูแวบหนึ่งจะเป็นการไม่เคารพเขา
สยงเทียนคุนพยักหน้า “ไปเถอะ” ศิษย์เฝ้ายามคนนี้รีบแบกเหรินเยี่ยนที่ถูกทุบตีมาตลอดทางทว่ากลับจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด และพาสยงเทียนคุนขึ้นบันไดอย่างระแวดระวัง เข้าไปในถ้ำภูเขาขนาดใหญ่ที่ถูกสลักและตกแต่งบนภูเขาหลิงชาง
ส่วนจินเฟยเหยาลากศิษย์เฝ้ายามคนนั้นพุ่งปราดไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ศิษย์สำนักฉีเทียนจำนวนมากตกใจจนโผล่หน้าออกมาดู ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงบินวุ่นวายภายในสำนักโดยไม่สนกฎเกณฑ์ขนาดนี้
จินเฟยเหยาพุ่งปราดมาถึงยอดเขา เห็นประตูเรือเหาะยังเปิดอยู่ ทว่ามีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สามคนที่พอเห็นก็รู้ว่าเป็นผู้อาวุโสยืนอยู่หน้าเรือ และไม่เห็นเงาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนอื่นๆ สักคน
“รอข้าด้วย ยังมีคนไม่ได้ขึ้นเรือ! ข้าเป็นคนที่สำนักตงอวี้หวงส่งมา!” พอจินเฟยเหยาเห็นท่าทางแบบนี้ นี่คือทุกคนขึ้นเรือหมดแล้วและเรือกำลังจะออกทันทีมิใช่หรือ ดังนั้นจึงตะโกนเสียงดัง
จินเฟยเหยาพุ่งตัวมาหยุดลงด้านหน้าเรือ เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สามคนพร้อมใจกันหันมามองนาง ดังนั้นนางจึงหิ้วศิษย์เฝ้ายามด้านข้างขึ้นและใช้ข้อศอกกระทุ้งเขา “เจ้ารีบพูดสิ!”
…………………………………