คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 244 ต้องการคนหรือต้องการสัตว์
“ท่านว่าอะไรนะ!” จู๋ซวีอู๋ใช้เท้าเตะเก้าอี้ในห้องโถงประชุมพังเป็นเสี่ยงๆ
“ศิษย์น้อง!” ฉือชางเจินเหรินตวาดอย่างมีโทสะ
เดิมทีเขาก็คิดไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าจู๋ซวีอู๋รู้เข้าต้องอาละวาดแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู๋ซวีอู๋จะบันดาลโทสะมากขนาดนี้ เตะเก้าอี้เป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าทุกคน
จู๋ซวีอู๋กำลังหัวร้อนจึงด่าทออย่างเดือดดาล “ศิษย์พี่ เพราะเหตุใดพวกท่านจึงต้องให้นางไป ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากเพียงใดจึงพานางกลับมาได้!”
“นางเป็นบุตรนอกสมรสของเจ้าจริงๆ หรือ?” รู้สึกว่าอารมณ์ของจู๋ซวีอู๋ผิดปกติอย่างยิ่ง แม้แต่ฉือชางเจินเหรินก็อดสงสัยไม่ได้
“เทาเที่ย ภายในร่างของนางมีจินตันเทาเที่ย พวกท่านขับไล่นางไป ตอนนี้เรือเหาะก็เกิดเรื่องอีก จะให้ข้าไปตามหานางที่ใด?” จู๋ซวีอู๋เดือดดาลอย่างยิ่ง มองศิษย์พี่ทุกคนด้วยสีหน้าเย็นชา
ทุกคนในที่นั้นฮือฮา เทาเที่ย? ภายในร่างของคนผู้นั้นมีเทาเที่ย!
วันนี้คนที่มามีไม่มาก มีเพียงผู้อาวุโสหกเจ็ดคน กำลังเตรียมหารือเรื่องเปิดโรงอาหารใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องที่น่าตกใจขนาดนี้
“ฮึ” จู๋ซวีอู๋หาเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง สีหน้าอึมครึมอย่างรุนแรง “โรงอาหารจะใช้ศิลาวิญญาณสักเท่าไรกัน? แล้วสัตว์ภูติของพวกท่านจะมีค่าสักเท่าไรกัน? ข้าออกจากสำนักไปไม่กี่วัน พวกท่านถึงกับขับไล่คนของข้าไป”
“มิน่าเล่านางจึงกินเก่งขนาดนั้น” ทุกคนพลันรู้แจ้ง ถ้ามิใช่เทาเที่ยจะมีใครกินได้ขนาดนี้ ที่แท้ไม่ใช่นางกิน แต่เทาเที่ยกำลังกิน
“ทำไมเจ้าจึงไม่บอกแต่แรก! ถ้าเจ้าบอกก่อน อย่าว่าแต่โรงอาหาร ต่อให้เป็นศิษย์ทั้งสำนักข้าก็จะส่งไปให้นางกิน!” ฉือชางเจินเหรินขมวดคิ้ว จินตันเทาเที่ยล้ำค่าสุดเปรียบปาน นานๆ จึงจะปรากฏขึ้นสักครั้ง อีกทั้งส่วนมากยังเป็นเผ่ามาร ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์น้อยคนจะได้รับความโปรดปรานจากเทาเที่ยสัตว์ร้ายแห่งบรรพกาล แบ่งร่างแยกมาสิงอยู่ในจินตันของผู้บำเพ็ญเซียน
เทาเที่ยหลังจากโตเต็มวัยมีสองประเภท ประเภทแรกคือขณะควบรวมหยวนอิงจะกลืนกินเจ้านายเดิมทันที และกลายเป็นร่างแยกที่มีความแข็งแกร่งหนึ่งในสิบส่วนของเทาเที่ย ส่วนอีกประเภทคือใช้เคล็ดวิชาทงเสินควบคุมเทาเที่ย จากนั้นจึงใช้พละกำลังของเทาเที่ยภายใต้สภาพที่ไม่เปลี่ยนร่างเป็นเทาเที่ย
นี่เป็นสิ่งที่เผ่ามนุษย์และเผ่ามารล้วนอยากครอบครอง น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ดวงจิตที่แยกออกมาของเทาเที่ย ส่วนดวงจิตของสัตว์ร้ายแห่งบรรพกาลตัวอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นน้อยครั้ง
เทาเที่ยที่กลืนกินเจ้านายและเพิ่งโตเต็มวัยก็เหนือล้ำกว่าสัตว์ปิศาจขั้นเก้าแล้ว มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ควบคุม คิดจะเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าให้มันเลื่อนขั้นต่อไป เกรงว่าต้องใช้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นมหายานจึงสามารถหยุดยั้งได้
สิ่งของที่ดีขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะประคองส่งมอบออกไป ทั้งยังถูกสายฟ้าผ่าตาย สีหน้าของทุกคนน่าเกลียดทันที ไม่เอ่ยถึงว่าผู้ใดครอบครองเทาเที่ยเพียงผู้เดียว ขอเพียงตกเป็นของสำนัก สำนักตงอวี้หวงก็อาจจะกลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งแห่งโลกวิญญาณเป่ยเฉินแทนที่สำนักฉีเทียน
จู๋ซวีอู๋คร้านจะมองสีหน้าของพวกเขา แต่ละคนสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาตายหรือยัง สามารถได้รับความโปรดปรานจากเทาเที่ย คงต้องโชคดีหน่อยกระมัง จู๋ซวีอู๋แอบคิดในใจ
“ศิษย์น้องจู๋ ข้าขอถามเจ้า เพราะเหตุใดตอนแรกจึงไม่บอกกล่าวพวกเราให้กระจ่างชัด ไม่เช่นนั้นพวกเราจะปล่อยให้นางหนีไปได้อย่างไร ตอนนี้เสียแรงเปล่า ไม่มีอะไรเหลือแล้ว หรือเจ้าคิดจะฮุบเทาเที่ยไว้คนเดียว?” มีคนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้ม เทาเที่ยหายไปต้องโทษเจ้าหมอนี่ที่ไม่บอกกล่าวให้กระจ่างชัด ตอนนี้ยังมีหน้ามาเดือดดาลใส่พวกเรา
“ฮึ” จู๋ซวีอู๋นำใบไผ่เล็กๆ บนศีรษะลงมา คาบไว้ในปากแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เทาเที่ยที่ยังไม่โตเต็มวัยก็สามารถใช้หลอมสร้างเกราะวิญญาณสัตว์ได้ ถ้าข้าบอกล่วงหน้า ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดหมายตานาง พวกเจ้าหารือกันหลอกคนไป ถ้าจะแค้นก็แค้นตนเองเถอะ”
“พอแล้ว อย่าพูดอีกเลย!” ฉือชางเจินเหรินกุมหน้าผากเอ่ยอย่างกหงุดหงิด
ภายในร่างของจินเฟยเหยามีเทาเที่ยเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ เพราะเหตุใดตอนนั้นตนเองจึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้และใช้การรับรู้ตรวจสอบดู ตอนนี้คนหายไปแล้ว เถียงกันไปจะมีประโยชน์อะไร สำนักตงอวี้หวงพลาดโอกาสดีไปคราหนึ่งแล้ว
“ศิษย์น้องจู๋ ครั้งนี้แต่ละสำนักหารือกันตัดสินใจได้แล้วหรือยัง” ฉือชางเจินเหรินถอนหายใจยาว ทำจิตใจให้สดชื่นพลางเอ่ยถาม
จู๋ซวีอู๋ตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “รู้จากข่าวที่ได้รับมาบอกว่า จอมมารหลงเพียงส่งคนเผ่ามารที่ชื่อหงไปโลกระดับเทพ ได้ยินว่าคนผู้นี้จัดการยาก เชี่ยวชาญเวทหุ่นเชิด คนเดียวสามารถกลายเป็นกองทัพ บรรดาตาเฒ่าโลกระดับเทพเหล่านั้นมัวยุ่งอยู่กับการแย่งชิงทรัพยากรที่สามารถใช้ได้อยู่ตลอดเวลา ไม่คิดจะทำตามแผนที่วางไว้เลยสักนิด แค่บอกว่ามอบให้พวกเราไปจัดการ พวกเขาเพียงจัดการกับบรรดาตาเฒ่าเผ่ามาร ท่าทางเรือทะลุเมฆของเมืองวั่นเซียนสุ่ยคงต้องออกเดินทางล่วงหน้า”
หยุดไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยต่อว่า “ผลลัพธ์ของการหารือคือ สำนักชั้นหนึ่งแต่ละสำนักส่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยี่สิบคน สำนักชั้นสองส่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งคน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสิบคน และอื่นๆ ถ้าในสำนักมีเพียงเจ้าสำนักเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมก็ต้องไปโลกระดับเทพ ท่าทางครั้งนี้จะลงทุนครั้งใหญ่ ทว่าทางเผ่ามารกลับยอมส่งไปเพียงคนเดียวและรั้งพวกขั้นหลอมรวมไว้ พวกเราต้องระวังสถานการณ์ทางด้านเผ่ามารให้มาก”
“ตาเฒ่าพวกนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าครั้งนี้คิดจะขับไล่เผ่ามารจากโลกระดับเทพส่วนในไปโลกระดับเทพส่วนนอก?” ฉือชางเจินเหรินครุ่นคิดอย่างละเอียด ส่งคนมากมายขนาดนี้ขึ้นไปคือส่งไปหาที่ตาย
จู๋ซวีอู๋หัวเราะอย่างเย็นชา “เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะถูกขับไล่จากโลกระดับเทพส่วนในไปโลกระดับเทพส่วนนอก ครั้งนี้ตัวเลือกสองคนที่ไปโลกระดับเทพ ข้าต้องการหนึ่งที่ คนที่เหลือให้พวกท่านจัดการ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมพวกท่านเลือกตามสบาย ทว่าของตำหนักซวีชิงให้ข้าตัดสินใจเอง”
“เหลวไหล! สถานที่ซึ่งเรือเหาะของสำนักฉีเทียนถูกสายฟ้าผ่าเสียหายอยู่ที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ อยู่ชายขอบมากกว่าโลกระดับเทพส่วนนอกอีก เจ้านึกว่าเจ้าจะสามารถพานางกลับมาได้หรือ?” ฉือชางเจินเหรินมองด้วยสายตาเดือดดาลและตวาดอย่างมีโทสะ
จู๋ซวีอู๋มองฉือชางเจินเหรินแล้วหลุบตาลงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ คาดว่าท่านคงเคยได้ยินอาจารย์กล่าวไว้ว่าเทาเที่ยที่หลุดการควบคุมมีสภาพเป็นเช่นไร ถ้าพวกท่านไม่สนใจดินแดนในโลกระดับเทพ ข้าจะไปหรือไม่ไปก็คงไม่ต่างอะไร”
“ถ้าเจ้านั่นกินคนขึ้นมาจะไม่ถ่มกระดูกนะ” จู๋ซวีอู๋แสยะปากแย้มยิ้มขึ้น
จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “ถึงอย่างไรคราวนี้ข้าก็ต้องไป ถ้าไม่ได้ ข้าจะออกค่าตั๋วเรือเอง แล้วพวกท่านเลือกออกมาใหม่อีกคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะได้ไม่มีคนยุ่งเกี่ยวกับสถานที่ที่ข้าจะไป ยุ่งยาก” หลังเอ่ยจบจู๋ซวีอู๋ก็เตรียมไปจากตำหนักเซียวเทียน
“ศิษย์น้อง!” ฉือชางเจินเหรินตะโกน จู๋ซวีอู๋หยุดลง ทว่าไม่หันมา ได้ยินฉือชางเจินเหรินลังเลนิดหนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “หลังจากศิษย์น้องหาเทาเที่ยพบ คิดจะจัดการอย่างไร ต้องการสัตว์หรือต้องการคน?”
“ศิษย์พี่ต้องการคนหรือต้องการสัตว์?” จู๋ซวีอู๋เอ่ยถาม
ฉือชางเจินเหรินถามกลับด้วยสีหน้าเข้มงวด “คนสามารถให้สำนักเราใช้สอยได้หรือไม่?”
จู๋ซวีอู๋เชิดหน้าขึ้น เอ่ยอย่างชืดชาประโยคหนึ่ง “ไม่ได้” จากนั้นก็ออกจากตำหนักเซียวเทียนไปโดยไม่หันหน้ามา
หลังจู๋ซวีอู๋จากไป มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น “ศิษย์พี่ หรือว่าจะมอบให้ศิษย์น้องจู๋แบบนี้?”
ฉือชางเจินเหรินยักไหล่ บอกกับพวกเขาว่า “เรียกผู้อาวุโสทั้งหมดมา ไม่ต้องเรียกศิษย์น้องจู๋”
“ขอรับ”
“คิดไม่ถึงว่าข้ายังไม่ตาย นี่คือ…ฝน?” จินเฟยเหยาค่อยๆ ลืมตา รู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้ง นางพยายามลืมตา ก็มองเห็นท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว หยาดฝนจำนวนมากกำลังตกต้องใบหน้า
นิ้วขยับไม่ได้ ปากพูดไม่ออก จินเฟยเหยานอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ขยับศีรษะไม่ได้เลยสักนิด มองท้องฟ้าและปล่อยให้หยาดฝนกระทบใบหน้าอย่างต่อเนื่องอยู่แบบนี้
นี่คือสถานที่ใด? ตลอดร่างของจินเฟยเหยาขยับไม่ได้ มีเพียงลูกตาที่ขยับได้ นางพยายามกลอกตามองไปรอบด้าน พืชพรรณขึ้นหนาทึบ ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า ราวกับเป็นป่าทึบผืนหนึ่งที่มีคนอาศัยอยู่เบาบาง ที่โชคดีคือถึงแม้จะไม่เห็นคน แต่ก็ไม่เห็นสัตว์ปิศาจด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝนบนท้องนภายิ่งตกหนักมากขึ้นทุกที จินเฟยเหยาพบว่าเรื่องราวสาหัสยิ่ง น้ำฝนไหลเข้าไปในจมูกของนาง ทว่านางกลับขยับศีรษะไม่ได้เลยสักนิด
หรือว่าข้าต้องจมน้ำฝนตาย! ตายแบบนี้ขายหน้าเกินไปแล้ว ไม่เอานะ! พั่งจื่อ! ต้านิว! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!
จินเฟยเหยาคิดจะตะโกน กลับส่งเสียงตะโกนไม่ออก คิดจะใช้การรับรู้ตรวจสอบถุงสัตว์ภูติ ทว่ากลับใช้การรับรู้ไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่นอนอยู่บนพื้นราวกับท่อนไม้รอจมน้ำฝนตาย
ทันใดนั้น ใบไม้ขนาดใหญ่ก็ยื่นมาบังเหนือศีรษะจินเฟยเหยาและกันน้ำฝนให้ นางมองไปอย่างซาบซึ้งก็เห็นใบหน้ากบสองตัวถูกฟ้าผ่าจนดำมะเมื่อม จินเฟยเหยาตะลึงงันไปนิดหนึ่งจึงได้สติคืนมา นี่คือพั่งจื่อและต้านิวสินะ ร่างสีขาวบริสุทธิ์ของพวกมันถูกฟ้าผ่าจึงเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำ ท่าทางสายฟ้าในตอนนั้นจะรุนแรงมาก ไม่เพียงโจมตีโดนเวทหนีไฟนรกที่ไร้ร่างจริง ยังโจมตีตนเองจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งยังทำให้พั่งจื่อและต้านิวที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ภูติเกือบจะสุก
ดียิ่งนัก! คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะหนีออกมาจากกระเป๋าสัตว์ภูติได้เอง ทั้งยังถือว่ามีสติปัญญา รู้ว่าต้องใช้ใบไม้มาบังศีรษะตนเอง ไม่เช่นนั้นข้าต้องจมน้ำตาย จินเฟยเหยาดีใจเป็นล้นพ้น ถึงเจ้าสองตัวนี้จะพึ่งพาไม่ได้ แต่ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง
เห็นจินเฟยเหยาลืมตาทั้งยังกลอกตาวุ่นวาย พั่งจื่อและต้านิวก็ยินดียิ่ง จากนั้นต้านิวก็ค้นถุงเฉียนคุนบนร่างของจินเฟยเหยานำสิ่งของด้านในออกมา
จินเฟยเหยาเห็นถุงเฉียนคุนก็โล่งอก ท่าทางกลายร่างเป็นไฟนรกจะโชคดีจริงๆ ถ้ากายเนื้อถูกฟ้าผ่าโดยตรง นาง พั่งจื่อ ต้านิว และสิ่งของบนตัวทั้งหมดคงต้องกลายเป็นเศษซากสีดำเหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับไปนานเพียงใด บนพื้นทั้งชื้นแฉะทั้งหนาวเย็น ทั้งยังมีกิ่งไม้และก้อนหินที่แตกหักอยู่จำนวนไม่น้อย จึงคิดจะเรียกให้เจ้าสองตัวนี้ย้ายนางไปอีกที่
“อ๊บ!” ต้านิวคลำเจออะไรบางอย่างจึงร้องบอกพั่งจื่ออย่างยินดี พั่งจื่อพยักหน้าให้มันและรับสิ่งนั้นมาจากมือต้านิว จากนั้นเดินมาหาจินเฟยเหยา
พอจินเฟยเหยาเห็นเป็นตานสัตว์ปิศาจขั้นหกเม็ดหนึ่ง เป็นของตอบแทนที่ผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งถูกนางช่วยออกมามอบให้ ตานสัตว์ปิศาจเม็ดนี้ใหญ่หน่อย มีขนาดเท่ากำปั้นเต็มๆ ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาไม่เคยคิดจะกินของแบบนี้เลยสักนิด
เมื่อนางเห็นพั่งจื่อถือตานสัตว์ปิศาจเม็ดนี้มาและบีบปากของนางพยายามจะยัดเข้าไป จินเฟยเหยาก็ถลึงตามองมัน เจ้าโง่ ในกระเป๋าเก็บของอีกใบหนึ่งมีตานสัตว์ปิศาจขนาดเล็ก มีตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น เจ้าโง่สองตัวนี้ ข้าไม่ใช่กบเสียหน่อย ไม่มีปากที่กว้างขนาดนั้น!
แต่ตอนนี้นางพูดไม่ได้ ร่างกายขยับไม่ได้ แค่ถลึงตาก็ไม่ได้ อารามร้อนใจจึงหมดสติไปอีกครั้ง
“อ๊บ?” พั่งจื่อยังถือตานสัตว์ปิศาจยัดเข้าไปในปากจินเฟยเหยา เห็นนางสลบไปก็ตะลึงงัน
มันครุ่นคิด ยัดเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว น่าจะดูดซับได้ ถึงอย่างไรคงไม่ร่วงออกมา เช่นนั้นก็เอาแบบนี้เถอะ
จากนั้นมันก็ปัดๆ มือ ยื่นมือกบให้ต้านิวแล้วลูบศีรษะอันล้านเลี่ยนของตนเองอย่างหล่อเหลา ต้านิวแย้มยิ้มให้มันอย่างพึงพอใจ
…………………………………..