คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 25 สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ
“อุ๊บ” จินเฟยเหยาอดขำไม่ได้
อี่ซานผู้นี้ถูกต่อยอย่างหนักจนหน้าบวมจมูกมีเลือดไหลเหมือนหัวสุกร ถูกจินเฟยเหยาเตะแบบนี้ก็ยังไม่ขยับ มองดูอย่างละเอียด ที่แท้สลบไป
เมื่อแน่ใจว่านางไม่ได้แสร้งทำ จินเฟยเหยาก็เดินเข้าไปอย่างวางใจ คลำทั่วร่างของนางทั้งภายนอกภายใน ไม่เว้นสักแห่ง
หยิบได้กระเป๋าสัตว์ภูติแปดใบและกระเป๋าเก็บของหนึ่งใบของอี่ซาน จินเฟยเหยาจึงล่าถอยมาด้านข้าง ยืนห่างหน่อยดีกว่า ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากนางฟื้นขึ้นมาจะมีไม้ตายอะไรหรือไม่
นางหาหินก้อนหนึ่งนั่งลง และเริ่มตรวจสอบกระเป๋าเก็บของของอี่ซาน ส่วนกระเป๋าสัตว์ภูตินางไม่กล้าตรวจสอบตามใจชอบ ส่วนมากสัตว์ภูติด้านใน เคยมีการสังเวยเลือดให้กับเจ้านายมาก่อน หากปล่อยออกมาโดยไม่ระวัง มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
สิ่งของในกระเป๋าเก็บของกลับมีมากมาย บรรจุสิ่งของยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ประเมินด้วยสายตา อย่างน้อยที่สุดต้องมีมูลค่าเกินพันศิลาวิญญาณ ในขณะที่จินเฟยเหยาตรวจสอบผลรับของการรบ อี่ซานก็ฟื้น นางรู้สึกว่าร่างของตนเองเจ็บปวด โดยเฉพาะใบหน้า รู้สึกว่าหนักอึ้ง แม้แต่ดวงตาก็ลืมไม่ค่อยขึ้น ปากรู้สึกชา นางขยับตัว พบว่าตนเองถูกมัดไว้ มองไปรอบด้านอย่างลนลานก็เห็นจินเฟยเหยานั่งค้นถุงเก็บของที่ปักลายดอกไม้ของนางอยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ รีบปล่อยข้าสิ” อี่ซานมีชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อน ไหนเลยจะเคยมีโทสะเช่นนี้ นางอดเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ คำรามใส่จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยามองนางอย่างเหยียดหยาม “เจ้าโง่หรือเปล่า ข้าจะปล่อยให้เจ้ามากัดข้าหรือ?”
“เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าจะบอกให้นะ ท่านพ่อของข้าคือเจ้าสำนักชิงโซ่วนะ ถ้าเจ้ากล้าสังหารข้า เจ้าต้องตายแน่” ยามนี้อี่ซานได้สติคืนมาบ้าง เริ่มดิ้นรนอยู่บนพื้น มือของนางถูกรัดไว้กับร่างอย่างแน่นหนา สามารถขยับได้แค่ข้อมือ นางลนลานอยู่บ้าง พยายามใช้มือลูบถุงสัตว์ภูติตรงเอว ทว่าลูบอยู่ครึ่งวันกลับลูบไม่ถูกอะไรเลย
“เจ้ามีความเป็นมาไม่เบานี่ แล้วเหตุใดศิษย์พี่หวาของเจ้าจึงต้องทำเช่นนี้ หรือว่าไม่กลัวเจ้าสำนักของพวกเจ้า?” จินเฟยเหยายัดกระเป๋าสัตว์ภูติและถุงสัตว์ภูติทั้งหมดใส่ในอก เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ศิษย์พี่หวา? ศิษย์พี่หวาอะไร เจ้าทำอะไรกับศิษย์พี่หวา!” ยามนี้อี่ซานจึงได้มองเห็น กระเป๋าสัตว์ภูติของตนเองกำลังถูกจินเฟยเหยายัดใส่ในอก ได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยถึงศิษย์พี่หวานางก็อดร้อนใจไม่ได้
“ข้าจะทำอะไรเขาได้ เป็นเขาทำอะไรพวกเราสองคนมากกว่า สมองของเจ้างอกอยู่บนตัวงูเหลือมหรือ? ไม่ดูสภาพภูมิประเทศของที่นี่บ้าง ทั้งสามด้านล้อมด้วยภูเขา มีทางออกเพียงทางเดียว ระวังทางเข้านั่นดีกว่า แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าพวกเราสองคนไม่ถูกกัน ยังให้พวกเราสองคนออกมาเดี่ยวๆ อีก สถานที่ที่มิดชิดเช่นนี้เป็นสถานที่สังหารคนที่ดีจริงๆ” จินเฟยเหยาหยิบกิ่งไผ่เล็กๆ บนพื้นขึ้น จิ้มใบหน้าสุกรของอี่ซาน
“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ข้าจะบอกให้ บนตัวข้ามีเวทต้องห้ามที่ท่านพ่อลงไว้ ถ้าข้าตาย ท่านพ่อของข้าก็จะรู้ อีกทั้งลักษณะของเจ้าก็จะส่งไปถึงท่านพ่อของข้าผ่านเวทต้องห้าม ด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรในตอนนี้ของเจ้า หนีไม่รอดหรอก” อี่ซานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คำรามด้วยใบหน้าดุร้าย
จินเฟยเหยายิ้ม “เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า หากแผนของศิษย์พี่หวาของเจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์อยู่ที่ชีวิตเจ้า ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นชีวิตของข้า ทว่าข้าไม่ใช่คนของสำนักพวกเจ้า หากคิดจะฆ่าข้าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ ข้าเดาว่า เขาคิดจะยืมมือข้ากำจัดเจ้า ข้าไม่ติดกับนี้หรอก”
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบปล่อยข้าสิ”
“ไม่เอา” จินเหยาสั่นศีรษะ “ท่านพ่อของเจ้าเป็นเจ้าสำนัก ถ้าปล่อยเจ้า เจ้าต้องหาคนมาฆ่าข้าแน่ แต่ว่าถ้าข้าฆ่าเจ้ากับมือ บนตัวก็จะมีกลิ่น[1] จะทำอย่างไรดีนะ…”
“จริงสิ ข้ามัดเจ้าเอาไว้ จากนั้นก็ชักนำสัตว์ปิศาจมากินเจ้าทีละนิดให้เกลี้ยง แบบนี้ท่านพ่อของเจ้าก็ได้แต่ไปหาเรื่องสัตว์ปิศาจตัวนั้นแทน” จินเฟยเหยายิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน มองอี่ซานด้วยดวงตาเป็นประกาย
นางมองจนอี่ซานขนลุก ทำลำคอให้โล่งตะโกนว่าช่วยด้วยออกมาอย่างสุดชีวิต
“ห้ามร้อง” จินเฟยเหยายกมือขึ้นต่อยหน้านาง มีฟันติดเลือดกระเด็นออกมาหลายซี่ ร่วงลงบนพื้น
หมัดนี้ต่อยจนอี่ซานกลั้นหายใจอยู่นาน เกรงว่าจินเฟยเหยาจะลงมืออีก นางหยุดตะโกนชั่วคราว เพียงแต่สองตาจับจ้องจินเฟยเหยาอย่างชิงชัง “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ถ้าข้ารับปากว่าจะไม่ส่งคนไปหาเรื่องเจ้าล่ะ เจ้าจะยอมปล่อยข้าหรือไม่ ข้ายินดีสาบานด้วยเลือด”
“จะปล่อยเจ้าหรือไม่ เจ้าถามเขาเองเถอะ” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้น เงาร่างของหวาซีปรากฏขึ้นในป่าไผ่เบื้องหน้าทันที
“ศิษย์พี่หวา รีบมาช่วยข้าเร็ว” เห็นหวาซีปรากฏตัวขึ้นในหุบเขา ดวงตาของอี่ซานเผยให้เห็นความยินดี รีบตะโกนเสียงดังให้เขาช่วย
“ศิษย์น้องอี่ซาน เจ้าถูกต่อยจนเป็นหัวสุกรได้อย่างไร?” หวาซีเอ่ยถามพลางสั่นศีรษะ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองจินเฟยเหยา “สหายเซียนจิน เพราะเหตุใดเจ้าจึงไว้ชีวิตนาง? ข้านึกว่าเจ้าจัดการนางไปนานแล้ว”
จินเฟยเหยาถอยหลังไปหลายก้าว รักษาระยะปลอดภัยระหว่างเขาไว้ “ข้าจะกล้าฆ่าคุณหนูของเจ้าสำนักชิงโซ่วได้อย่างไร เจ้าวางแผนเล่นงานข้าอีกแล้ว ข้าไม่แบกรับความผิดนี้แทนเจ้าหรอก ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องของเจ้า เปิดคาถาป้องกันออก ปล่อยข้าออกไปเสีย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าลงคาถาป้องกันไว้?” หวาซีสงสัย จินเฟยเหยาพบได้อย่างไร ว่าตนเองติดตั้งคาถาป้องกันไว้ที่ทางออก ตอนนั้นตนเองฝังธงอาคมไว้ในดินอย่างระมัดระวัง ด้านบนปูใบไผ่แห้งทับหนึ่งชั้น เคยตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว มองไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติแน่
“ข้าเดาเอา…” จินเฟยเหยาใช้มือจับใบหน้าเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
นางไม่ได้คาดเดาเปะปะ ตั้งแต่เข้ามาในหุบเขานี้ นางก็รู้สึกผิดปกติ นอกจากภูมิประเทศประหลาด ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังเลยสักนิด คือเงียบสงบ เงียบสงบจนเกินไป นอกจากเสียงใบไผ่ดังซ่าซ่าที่ปากหุบเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ เลย เดิมทีนางนึกว่าที่นี่อยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงสิงโตวารีหยกคำรามอย่างเดือดดาล
ทว่าตั้งแต่นกกระจอกพูดมากสองตัวบินผ่านเหนือหุบเขาไปตั้งแต่เช้ายันค่ำ จินเฟยเหยากลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกเลย เช่นนี้จะไม่ให้นางสงสัยว่าหุบเขาถูกลงคาถาป้องกันก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าไม่มีคาถาป้องกันนางคงหนีออกไปนานแล้ว ไม่ต้องเฝ้าอี่ซานจนไม่กล้าไปไหนหรอก มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่านอกจากคาถาป้องกันเก็บเสียงแล้วจะมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่ แม้แต่วงเวทหกก้าวห้าสะบั้นของนางยังมีกระบวนท่าสังหารอยู่ในนั้น นางไม่กล้าทดลองเปะปะ
“ศิษย์พี่หวา ท่านมัวพูดเหลวไหลอะไรกับนาง รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า” อี่ซานเห็นหวาซีเพียงแค่เอ่ยเสียดสีนางแล้วไม่สนใจนางอีก นางจึงได้แต่นอนตะโกนเสียงดังอยู่บนพื้น
“ศิษย์น้องอี่ซาน เจ้าเปลี่ยนนิสัยของเจ้าไม่ได้หรือ หนวกหูแทบตายแล้ว” หวาซีมองนางอย่างกลัดกลุ้ม ตบกระเป๋าสัตว์ภูติเบาๆ ก็เรียกสัตว์ภูติร่างเสือขนยาวตัวหนึ่งออกมา สัตว์ภูติตัวนี้พอลงพื้นก็ขยายขนาด พริบตาเดียวก็สูงสามจั้งกว่า ขนบนร่างยาวสองจั้งกว่าเต็มๆ สีขนเป็นประกายสีดำเรียบลื่น ดวงตาโตดุจชามอ่าง ปากและจมูกเหมือนเสือ เขี้ยวสองข้างยาวครึ่งจั้งงอกจากกรามบนยื่นออกมานอกปาก เงยหน้าคำรามเสียงดัง
เจ้าสิ่งนี้ตัวใหญ่เกินไป จินเฟยเหยามองมันอย่างตกตะลึงตาค้าง รีบใช้เกล็ดหิมะนรกออกมาอย่างรวดเร็ว ใช้กำไลมังกรทองสมปรารถนาวงที่เหลือเปิดม่านป้องกันขึ้นอีกครั้ง แล้วโยนผ้าไหมของสยงบเทียนคุนออกมา จับจ้องมันแน่วนิ่งรอคอยการโจมตี
สัตว์ภูติตัวนี้คำรามเสร็จ ก็ใช้ดวงตาโตกวาดมองดูคนทั้งสามในที่นั้น ดูเหมือนมันจะไม่สนใจจินเฟยเหยา มันมองเพียงแวบเดียว ก็หันหัวไปยังอี่ซานที่หวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดนานแล้ว
“สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ! เจ้าถึงกับเลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ คนผู้นั้น…เจ้าจะทำให้นางมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง” อี่ซานหวาดกลัวจนทั่วร่างสั่นสะท้าน ดวงตาจับจ้องเหนือหัวของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอย่างตื่นตระหนก
จินเฟยเหยามองตามสายตาของนางไปจึงได้พบว่า บนหลังของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ มีก้อนขาวๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นคน พอมองดูอย่างละเอียด เป็นศพของสตรีผู้หนึ่งจริงๆ เงยหน้าขึ้นบนฝังอยู่กลางหลังของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ มือและเท้าล้วนอยู่ในขนสัตว์ เห็นเพียงลำตัวสีขาวหิมะ ส่วนศีรษะฝังอยู่ตรงหัวของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพอดี ผมของสตรีสีดำดุจเส้นไหม สวมอยู่บนหน้าผากของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ เข้ากับขนสีดำของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้สนิท
ไม่รอให้จินเฟยเหยามองเห็นหน้าตาของสตรีได้ชัดเจน ก็เห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอ้าปากกว้าง กัดอี่ซานเข้าปากในคำเดียว
“เก็บ” เห็นสภาพเช่นนี้ จินเฟยเหยาจึงรีบสั่งเก็บ ให้กำไลมังกรทองสมปรารถนาที่รัดอี่ซานไว้บินกลับมายังข้อมือ
ถึงแม้จะไม่มีอาวุธเวทรัดอี่ซานแล้ว ทว่านางก็ยังหนีไม่รอด ได้ยินนางส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วไม่เคลื่อนไหวอีก สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณขบเคี้ยว โลหิตสดไหลลงมาตามปากของมันหยดลงบนพื้น
ยามนี้จินเฟยเหยาไม่ว่างมาชื่นชมโศกนาฏกรรม นางโยนการป้องกันทั้งหมดออกไป จากนั้นล้วงยันต์ยาที่ยึดได้ใบนั้นออกมา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปอย่างสุดชีวิต ไม่สนใจว่าในยันต์ยามีเวทมนตร์อะไร ขอเพียงสามารถทำลายคาถาป้องกันหนีออกไปได้ ต่อให้มีเสียงดังชักนำศิษย์ของสำนักชิงโซ่วมาได้ยิ่งดี
“หาที่ตาย” หวาซีเห็นยันต์ยาสาดเปล่งแสงสีทองออกมา ก็เกิดความคิดสังหาร มือตบกระเป๋าสัตว์ภูติ ราชาสุนัขป่ายักษ์สีเทาขั้นสามขนาดหนึ่งจั้งออกมา พอสั่นขนสีเทาบนร่างก็กลายเป็นหนามแหลม เห็นมันคำรามเสียงดัง ก็มีลมหมุนเกิดขึ้นโดยไร้ที่มา ลมหมุนกวาดม้วนหนามแหลมที่หลุดออกมาเองขึ้น มันร้องคำรามพร้อมพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยา
นี่คือเวทมนตร์เฉพาะของราชาสุนัขป่ายักษ์ วายุหนามกระบี่ คิดจะสกัดหนามทั้งหมดด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง
ลมหมุนรวมกับหนามแหลมที่มีขนาดแตกต่างกันขังจินเฟยเหยาไว้อย่างแน่นหนา หนามแหลมหนาแน่นกระแทกใส่อย่างดุร้าย ผ้าไหมลอยอย่างมั่นคงอยู่ในสายลม สกัดกั้นหนามแหลมที่ยิงผ่านรอยแยกของเกล็ดหิมะนรกมาอย่างต่อเนื่อง
ภายในลมหมุนที่พัดอย่างบ้าคลั่ง เกล็ดหิมะนรกที่ดูเหมือนอ่อนโยน กลับไม่เคลื่อนไหวสักนิด ต่อให้ลมหมุนรุนแรงเพียงใดก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หนามแหลมอันหยาบหนาปะทะเข้ากับเกล็ดหิมะนรกก็กลายเป็นธุลีในพริบตา หากหนามแหลมขนาดเล็กเหล่านั้นทะลุผ่านการป้องกันของเกล็ดหิมะนรกออกมาก็จะถูกผ้าไหมสกัดไว้ให้น้อยลง อีกทั้งสุดท้ายยังมีม่านป้องกันของกำไลมังกรทองสมปรารถนาป้องกันไว้อีกหนึ่งชั้น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ภายใต้การโจมตีของวายุหนามกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน ก็ยังมีหนามแหลมจำนวนมากทิ่มแทงลงบนม่านป้องกัน ม่านป้องกันของกำไลมังกรทองสมปรารถนาที่เหลือเพียงวงเดียวถูกหนามแหลมโจมตีจนสั่นสะเทือนไม่หยุด แสงรัศมีบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง ไม่เสถียรอย่างยิ่ง หวาซีคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะสามารถสกัดการโจมตีของราชาสุนัขป่ายักษ์ได้ สุนัขป่ายักษ์ตัวนี้มีระดับเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นทว่ากลับมีฝีมือคู่คี่กับนาง
เขาย่อมไม่รู้ว่า ถ้าไม่มีเกล็ดหิมะนรกอยู่เบื้องหน้าคอยหลอมละลายหนามแหลมส่วนใหญ่ จินเฟยเหยาคงกลายเป็นเม่นไปนานแล้ว ด้านการป้องกันการโจมตีด้วยวัตถุและการโจมตีด้วยเวทมนตร์ของเกล็ดหิมะนรกมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ด้วยสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถควบคุมได้ พอพบเจอกับมันก็พ่ายแพ้และสลายหายไปในพริบตา