คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 255 มีขโมย
“เจ้าคิดจะไปจริงๆ?” หวังโหยวหลิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
จินเฟยเหยาดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ข้าไป ศิลาวิญญาณที่ข้าขุดได้ทั้งหมดจะเป็นของข้าใช่หรือไม่?”
“…” หวังโหยวหลิงมองนางอย่างหมดวาจา ถ้ามีเรื่องดีแบบนี้ บิดาลงไปขุดนานแล้ว ยังจำเป็นต้องนั่งอยู่ที่นี่อีกหรือ
“ที่นี่ไม่ใช่องค์กรการกุศล! แต่ละวันต้องส่งมอบศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งร้อยก้อน จำนวนที่เกินออกมาจึงถือเป็นค่าแรงของเจ้า เจ้าขึ้นมาได้วันละครั้ง หรือนานๆ จะขึ้นมาครั้งหนึ่งก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นมาส่งมอบศิลาวิญญาณชั้นบนตามจำนวนวัน” หวังโหยวหลิงบอกทันที
จินเฟยเหยาเบ้ปาก เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินยอม “ไม่จริงน่า ถ้าขุดได้ศิลาวิญญาณจำนวนมากจะทำอย่างไร?”
“เจ้าอย่าได้คิดละโมบไม่นำศิลาวิญญาณออกมา เข้าออกเหมืองล้วนมีหนูดมวิญญาณติดตาม ต่อให้เจ้าใส่ศิลาวิญญาณไว้ในพื้นที่มิติ พวกมันก็สามารถดมออก ถ้าเจ้ามอบศิลาวิญญาณมากขนาดนั้นไม่ได้ ในตัวมีเท่าใดก็ส่งมอบเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ได้ศิลาวิญญาณเป็นค่าแรงแม้แต่ก้อนเดียว” หวังโหยวหลิงมองทะลุความคิดของจินเฟยเหยา จึงเอ่ยเสียงแข็ง
“ท่านคงไม่นำศิลาวิญญาณชั้นบนที่ข้ามีอยู่เดิมไปหรอกนะ” จินเฟยเหยาเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
หวังโหยวหลิงมองนางแวบหนึ่ง “ก่อนเข้าไปจะตรวจสอบดู พวกเราไม่นำศิลาวิญญาณของเจ้าไปหรอก ทว่าเจ้าก็อย่าได้คิดจะใช้ศิลาวิญญาณในนั้น ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าหนูดมวิญญาณที่ติดตามเจ้าจะแจ้งพวกเราหรือไม่”
“ฟังแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่งานที่ดีอะไร มิน่าเล่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่มาขุดศิลาวิญญาณที่นี่แต่ละคนล้วนทำเหมือนบิดาสิ้นมารดาแต่งงานใหม่” นี่ไม่เหมือนที่จินเฟยเหยาคิดเลยสักนิด ทำให้นางรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้แรงงานนั้นช่างเถอะ ยังมีหนูเป็นผู้ควบคุมอีก
“เจ้าไม่อยากไปหรือ? ถ้าใช้แรงงานหน่อย ศิลาวิญญาณชั้นบนที่เจ้าหาได้ยังมากกว่าล่าสังหารสัตว์ปิศาจอีกนะ” หวังโหยวหลิงเอ่ยโน้มน้าวต่อ
“ถ้าขุดได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดเล่า?” หลังจินเฟยเหยาครุ่นคิดจึงเอ่ยถาม
หวังโหยวหลิงบอกอย่างไม่ยินยอม “ส่งมอบ” เรื่องที่สำนักตงอวี้หวงมอบหมาย ดูเหมือนจะทำไม่ได้เสียแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีเรือกลับโลกระดับวิญญาณ ถ้าไม่อยากขุดเหมืองก็ปล่อยให้นางร่อนเร่ไปเถอะ
“ก็ได้ ข้าไป” จินเฟยเหยาพลันตอบรับ ปราศจากความรู้สึกไม่ยินยอมอย่างเมื่อครู่
ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของนางขายยาอะไร[1] แต่ยอมไปเป็นใช้ได้
หวังโหยวหลิงหยิบป้ายหยกสีเขียวขจีออกมา ใช้การรับรู้เขียนชื่อจินเฟยเหยาลงบนนั้น จากนั้นยื่นส่งให้นาง ให้นางไปหาพวกเฝ้ายามข้างนอกเหล่านั้นก็พอ จินเฟยเหยาพกพาความรู้สึกที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจ ใช้นิ้วแขวนป้ายหยกบนสายรัดเอว สะบัดป้ายหยกแล้วเดินออกไป
จินเฟยเหยายืนอยู่เบื้องหน้าการป้องกันที่ส่องแสงกระพริบ ยื่นป้ายหยกในมือให้คนเฝ้ายามสิบคน จากนั้นรอพวกเขาตรวจสอบด้วยสายตาระวังโจร เห็นป้ายหยกไม่มีปัญหา หนึ่งในคนเฝ้ายามก็ล้วงหนูตัวเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในถุงสัตว์ภูติ มีขนอ่อนนุ่มสีทองธรรมดา ดวงตาสีดำเล็กๆ แลดูเฉลียวฉลาดยิ่ง
หนูดมวิญญาณวนรอบตัวจินเฟยเหยาหนึ่งรอบ แล้วยกจมูกขึ้นสูดดม จากนั้นวิ่งมาถึงเบื้องหน้าคนเฝ้ายาม วนบนพื้นหลายรอบ จากนั้นเห็นคนเฝ้ายามพยักหน้า “ไม่มีศิลาวิญญาณชั้นบนสักก้อน ลดเรื่องยุ่งยากไปได้มาก”
ได้ยินคำพูดของเขา จินเฟยเหยาก็ยิ้มแย้ม “ถ้าข้ามีศิลาวิญญาณจะมาขุดเหมืองทำไม”
“เข้าไปเถอะ หนูดมวิญญาณตัวนี้จะติดตามเจ้าเข้าไปด้วย” คนเฝ้ายามบันทึกลงบนป้ายหยกว่าศิลาวิญญาณชั้นบนที่จินเฟยเหยาพกพาเข้าไปเป็นศูนย์ และเอ่ยพลางชี้หนูดมวิญญาณตัวนั้น
จินเฟยเหยาเอียงศีรษะมองดู เอ่ยถามอย่างสงสัยยิ่ง “มันกินอะไร? ถ้ามันหิวตาย แต่พวกเจ้าบอกว่าข้าแอบฮุบศิลาวิญญาณแล้วทำมันตายจะทำอย่างไร? อีกทั้งพวกเจ้าจะไม่ให้เครื่องมือแก่ข้าสักหน่อยหรือ? คงไม่ได้ให้ข้าใช้มือขุดหรอกนะ”
สีหน้าคนเฝ้ายามมืดครึ้มจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้ เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “หนูดมวิญญาณหากินเองได้ ไม่มีเครื่องมือให้ เครื่องมือธรรมดาขุดเหมืองศิลาวิญญาณไม่ได้ เจ้าหาวิธีเอาเอง”
“ตระหนี่เกินไปแล้ว นี่ให้คนมาขุดเหมืองหรือมารับโทษ แม้แต่เครื่องมือก็ไม่ให้” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ เก็บป้ายหยกแล้วเหยียบย่างเข้าไปในการป้องกันสิบหกอัน ส่วนหนูดมวิญญาณตัวนั้นก็ร้องจี๊ดๆ แล้วตามหลังนางเข้าไปในการป้องกันอย่างกระชั้นชิด
ผ่านการป้องกันชั้นแล้วชั้นเล่าที่ทำให้คนตาพร่าพราย เบื้องหน้าจินเฟยเหยาสว่างวาบ ถ้ำที่ขุดบนศิลาสีขาวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ถ้ำเหมืองมีขนาดไม่ใหญ่นัก สูงเพียงสองตัวคนกว่า ตรงปากถ้ำเงียบกริบไม่มีใครสักคน
จินเฟยเหยานำศิลาแสงจันทร์สองก้อนออกมา แล้วเดินเข้าไปในถ้ำ
ภายในถ้ำทั้งหมดเป็นศิลาสีขาวเช่นเดียวกัน ถูกขุดจนเป็นหลุมเป็นบ่อ เดินเข้าไปด้านในหลายร้อยจั้งก็มืดสนิท ได้แต่อาศัยศิลาแสงจันทร์ส่องสว่าง เดินไปอีกครู่หนึ่ง เบื้องหน้าพลันปรากฏทางแยกเจ็ดสาย จินเฟยเหยากางหูฟัง พบว่าในเส้นทางเจ็ดสายต่างมีเสียงขุดดังมา นางครุ่นคิดแล้วสุ่มเลือกเส้นทางสายหนึ่งเดินเข้าไป ถึงอย่างไรก็ต้องขุด จะเป็นสถานที่ใดก็เหมือนกัน
ครั้งนี้เดินไปหลายร้อยจั้ง เบื้องหน้าก็ปรากฏทางแยกอีกห้าสาย นางเลือกเส้นทางสายหนึ่งเดินลงไปทันที เลือกเส้นทางซ้ายทีขวาทีสลับไปแบบนี้ จินเฟยเหยาพบว่าตนเองเดินอยู่ในเหมืองมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
ขณะที่เสียงทอดถอนใจของนางดังก้องในเหมือง คิดไม่ถึงว่าเดินมาตั้งแต่ได้ยินเสียงขุดตรงประตูเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่ายังไม่พบใคร หนูดมวิญญาณตัวหนึ่งวิ่งผ่านข้างเท้าของนางไป ต้องไม่ใช่หนูตัวของตนเองแน่ เนื่องจากหนูของตนเองติดตามอยู่ด้านหลังตลอดเวลา จินเฟยเหยาเดินตามทิศทางที่หนูดมวิญญาณเข้าไปในถ้ำสายหนึ่ง
ในที่สุดก็เจอคนแล้ว!
เส้นทางเหมืองสายนี้ยาวถึงร้อยจั้งเต็มๆ มีศิลาวิญญาณชั้นบนส่องแสงวิบวับอยู่บนผนังศิลาด้านหนึ่งราวกับดาราอันพร่างพรายในราตรีอันมืดมิด ปริมาณมากจนน่าตกใจ จินเฟยเหยามองดูจนน้ำลายไหลออกมา ไม่ใช่หิวโหย แต่เป็นยากจน
ในถ้ำสายนี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยี่สิบกว่าคน แต่ละคนสีหน้าอึมครึม ถือของวิเศษและอาวุธวิเศษนานาชนิดกำลังออกแรงขุดศิลาวิญญาณชั้นบนเหล่านี้ บางคนขุดหลุมลึกหลุมเดียว ที่สั้นก็ยาวสองสามจั้ง ที่ยาวก็ยาวถึงสิบกว่าจั้ง พอเห็นก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่ขุดมาหลายสิบปีแล้ว
ของวิเศษในมือของพวกเขามีหลากหลายรูปแบบ มีหมดทั้งดาบกระบี่หอก สิ่งที่บางคนใช้ถึงกับเป็นอาวุธเวทแก่นชีวิต ใช้อาวุธเวทแก่นชีวิตยังดีหน่อย ถึงแม้จะไม่อาจผ่าหินสีขาวได้ราวกับผ่าเต้าหู้ ทว่าก็สามารถขุดศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งได้ในหนึ่งเค่อ
คนที่ตัดใจใช้อาวุธเวทแก่นชีวิตไม่ได้หรือรูปแบบของอาวุธเวทแก่นชีวิตไม่ใช่ของมีคมก็ลำบาก เห็นท่าทางการออกแรงของพวกเขา แทบจะนำเรี่ยวแรงดูดน้ำนมมารดาออกมาหมด ทว่ากำแพงสีขาวเหล่านั้นก็กระจายลงมาเล็กน้อยราวกับเมล็ดงา นี่ต้องขุดถึงเมื่อใดจึงได้มาก้อนหนึ่ง ศิลาวิญญาณชั้นบนวันละหนึ่งร้อยก้อนคือเรื่องเพ้อฝัน
นี่เกินจริงไปหน่อยกระมัง! จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่มีสีหน้าหดหู่อย่างปากอ้าตาค้าง มิน่าเล่าวันนั้นผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักฉีเทียนจึงมีสีหน้าอมทุกข์แบบนั้น งานแบบนี้ผู้ใดจะอยากทำ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าของวิเศษเสียหาย ยังต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ ในเหมืองยังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน สุดท้ายกลับทำงานฟรีไม่มีค่าแรง จริงเสียด้วย ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักช่างน่าสงสาร งานประเภทนี้คิดจะไม่ทำก็ไม่ได้
ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ราวกับขีดแบ่งเขตแดนของตนเอง ระหว่างแต่ละคนห่างสองจั้ง ต่างคนต่างขุดไม่สนทนากัน แต่ละคนมีความแค้นอันใหญ่หลวงราวกับอยู่ในคุก เทียบกันแล้ว รู้สึกเหมือนจินเฟยเหยาที่เข้ามาเองสมองจะมีปัญหา
จินเฟยเหยาเดินมองผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ไปตลอดทางจึงพบสถานที่ที่ไม่มีคนขุด เห็นตำแหน่งดูไม่เลว อีกทั้งยังไม่มีคนคอยสังเกตจึงตัดสินใจขุดตรงนี้
นางลูบศิลาสีขาวเหล่านั้นอย่างสงสัย สัมผัสธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินธรรมดา จากนั้นจินเฟยเหยาก็ล้วงมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหลอมตั้งแต่สมัยไหนออกมาจากถุงเฉียนคุน ปกตินางใช้อาวุธเวทชั้นบนที่ขนาดเล็กและเหมาะมือเล่มนี้หั่นเนื้อรับประทาน นางยกมีดสั้นขึ้นขุดตรงศิลาวิญญาณชั้นบนที่โผล่ออกมาหนึ่งในสามก้อนหนึ่งบนกำแพง
ไม่ขยับ ไม่ขยับเลยสักนิด ออกแรงแล้วยังไม่ขยับ มีดสั้นถูกปักคาไว้บนศิลาสีขาว ปลายมีดอันคมกริบแทรกเข้าไปในศิลาสีขาวไม่ได้เลยสักนิด จินเฟยเหยามึนงง ใช้มือถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปแล้วปักมีดลงบนผนังสีขาว
ปักนั้นปักเข้าไปได้ แต่ยังแข็งจนน่าตกใจดังเดิม เนิ่นนานนางจึงทำให้ก้อนหินขนาดเมล็ดข้าวร่วงลงมาได้ ส่วนศิลาวิญญาณชั้นบนก้อนนั้นมีขนาดใหญ่เท่าข้อนิ้ว วันหนึ่งขุดศิลาวิญญาณให้ได้หนึ่งร้อยก้อนเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด มิน่าเล่าคนเหล่านั้นจึงนำอาวุธเวทแก่นชีวิตออกมาใช้อย่างใจกว้าง เกรงว่าคิดจะรีบทำให้เสร็จเร็วๆ แล้วกลับบ้าน
ให้จินเฟยเหยานำทงเทียนหรูอี้ออกมาขุดศิลาวิญญาณ นางก็ไม่ยินยอม ไม่ใช่คนโง่งมเสียหน่อย นางครุ่นคิด พลันนึกหาวิธีอันเหมาะสมได้ทั้งยังไม่ต้องกลัวของวิเศษเสียหาย
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงจ่อนิ้วกลางมือขวาขึ้นใส่ศิลาวิญญาณชั้นบนบนหินสีขาว เห็นนิ้วกลางของนางมีแสงสีดำส่งออกมานิดๆ จากนั้นขุดลงบนศิลาวิญญาณ เกิดความมหัศจรรย์ขึ้น หินสีขาวข้างศิลาวิญญาณชั้นบนถูกนางขุดทิ้งร่วงกราว ครู่หนึ่งศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งก็ถูกนางขุดออกมา
จินเฟยเหยามองศิลาวิญญาณชั้นบนในฝ่ามือก็อยากจะส่งเสียงหัวเราะ ด้วยความเร็วนี้ เกรงว่าหนึ่งวันตนเองคงขุดศิลาวิญญาณได้หลายร้อยก้อน แต่นางไม่ได้ส่งเสียงดังประกาศให้รู้ ทว่ามองไปรอบด้าน ที่นี่มีคนมากเกินไป ถ้าตนเองขุดได้เร็วจะถูกคนริษยาได้ง่าย
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงกอดอก ด่าทอเหมืองอย่างดุร้าย “ก้อนหินบ้าอะไร แข็งขนาดนี้ ขุดไม่ได้เลยสักนิด! ข้าไม่เชื่อว่าก้อนหินทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ ลองเปลี่ยนที่ดูดีกว่า” ส่งเสียงดังเอะอะจบ จินเฟยเหยาจึงเดินออกจากถ้ำสายนั้นอย่างเดือดดาล จากนั้นปลดปล่อยการรับรู้ออกไป ค้นหาถ้ำที่มีคนน้อยหรือไม่มีคน
ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนในถ้ำสายนี้ เห็นนางเอะอะจากไป ทุกคนก็ส่งเสียงฮึ ยายคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดูสิว่าเจ้าจะไปหาสถานที่นิ่มราวกับเต้าหู้ได้จากที่ใด
จินเฟยเหยาเดินเตร็ดเตร่ในเส้นทางแต่ละสายรอบหนึ่งจึงหาถ้ำเล็กๆ ลึกเพียงห้าหกจั้งได้ ถ้าขุดเข้าไปด้านใน คนที่เดินผ่านข้างนอกจะไม่สังเกตเห็นว่านางขุดได้ไวเพียงใด เนื่องจากขุดเหมืองทั้งน่าเบื่อทั้งเหน็ดเหนื่อย ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากจึงยอมเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน ต่อให้ไม่พูดคุยก็มีเพื่อนอยู่ด้วย
ทว่าเบียดอยู่กับผู้อื่น จินเฟยเหยาก็ขโมยศิลาวิญญาณได้ยาก ขุดคนเดียวสบายใจกว่า หนูดมวิญญาณติดตามนางมาตลอด บางครั้งยังเก็บศิลาสีขาวที่ร่วงบนพื้นมาเคี้ยว ราวกับเจ้านี่กินก้อนหินดำรงชีวิต สิ่งของที่แข็งขนาดนี้ก็ยังแทะได้ เหตุใดจึงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนถอนฟันของมันมาขุดศิลาวิญญาณ? จินเฟยเหยาจ้องมองหนูดมวิญญาณตัวนี้ หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วโยนพั่งจื่อและต้านิวออกมา
หลังพั่งจื่อและต้านิวออกมา หนูดมวิญญาณเพียงเงยหน้าขึ้นมองอย่างระแวดระวัง หลังพบเห็นว่าไม่ใช่สัตว์ปิศาจที่อยู่ในป่าก็เริ่มดมซ้ายดมขวาในถ้ำ เห็นมันไม่สนใจพวกพั่งจื่อ จินเฟยเหยาก็หยิบศิลาวิญญาณที่เพิ่งขุดออกมา วางไว้บนฝ่ามือแล้วย่อกายลงนั่งยองๆ ให้หนูดมวิญญาณเห็น พอเห็นศิลาวิญญาณ หนูดมวิญญาณก็วิ่งมาทันที ร้องจี๊ดๆ อยู่ข้างศิลาวิญญาณไม่หยุด
“พั่งจื่อ อ้าปาก” จินเฟยเหยาพลันเก็บศิลาวิญญาณกลับแล้วตะโกนบอกพั่งจื่อ
พอพั่งจื่ออ้าปาก จินเฟยเหยาก็โยนศิลาวิญญาณชั้นบนก้อนนั้นใส่ปากพั่งจื่อ พั่งจื่อก็กลืนลงไป
หนูดมวิญญาณที่เดิมทียังวนอยู่รอบจินเฟยเหยา หลังจากพั่งจื่อกลืนศิลาวิญญาณลงไปก็หยุดทันที มันดมรอบด้านอย่างงุนงง กลับสูญเสียกลิ่นอายของศิลาวิญญาณชั้นบนก้อนนั้นไป วนอยู่รอบกายจินเฟยเหยาและพั่งจื่อต้านิวหลายรอบ มันก็หาศิลาวิญญาณไม่พบว่าอยู่ที่ใด
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าโง่ เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย” ในที่สุดจินเฟยเหยาก็อดหัวเราะไม่ได้ ชี้หนูดมวิญญาณที่โง่งมแล้วหัวเราะ
เมื่อครู่ตอนจินเฟยเหยาอยู่กับหวังโหยวหลิงพลันนึกขึ้นได้ว่าพั่งจื่อกินได้ทุกอย่าง ในตอนนั้นมันสามารถกลืนอ่างมายาจิ่งเทียนเข้าปากได้อย่างไม่บุบสลาย ถ้ากลืนศิลาวิญญาณลงท้องไม่รู้ว่าหนูดมวิญญาณจะตรวจสอบได้หรือไม่
เดิมทีนางเพียงคิดจะเข้ามาทดลองดู ถ้าไม่ได้ก็จะออกไปทันที ตนเองไม่มีความคิดจะเป็นแรงงานให้พวกเขา
แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงคือหนูดมวิญญาณดมศิลาวิญญาณในท้องของพั่งจื่อไม่ได้ นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเนื่องจากพวกพั่งจื่อไม่ใช่พื้นที่มิติและไม่ใช่ถุงเฉียนคุน ทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ ดังนั้นหนูดมวิญญาณจึงล้มเหลว
ในดวงตาจินเฟยเหยาเต็มไปด้วยความร้อนแรง ลูบศิลาวิญญาณชั้นบนที่ฝังอยู่บนผนังศิลาอย่างคลั่งไคล้ แล้วหัวเราะหึๆๆ เสียงหัวเราะประหลาดของนางแผ่กระจายไปในถ้ำ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ที่ขุดเหมืองอดคาดเดาไม่ได้ว่ามีคนขุดจนบ้าไปแล้วใช่หรือไม่
ที่นี่ไม่มีคนอื่น บวกกับในถ้ำมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยของศิลาแสงจันทร์ พลังวิญญาณสีดำของจินเฟยเหยาจึงไม่ถูกผู้อื่นพบเห็น นางใช้นิ้วกลางขุดศิลาวิญญาณบนหินสีขาวอย่างยินดี และขุดได้รวดเร็วอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาเองก็คิดไม่ถึง ขณะฟื้นฟูร่างกายซึ่งถูกฟ้าผ่าที่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ นางไม่มีอะไรทำจึงฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร ตอนนั้นต้องเลือกกระดูกชิ้นหนึ่งในร่างกายมาหลอมสร้างเป็นของวิเศษรูปร่างมนุษย์ ครุ่นคิดไปมา นางจึงเลือกมือขวาที่ใช้บ่อยที่สุด อีกทั้งยังตัดสินใจหลอมกระดูกนิ้วกลางก่อน
นางเลือกนิ้วกลางเพราะมีสาเหตุ นั่นคือนิ้วทั้วห้า นิ้วกลางยาวที่สุด ยาวหนึ่งส่วนได้เปรียบหนึ่งส่วน นิ้วอื่นๆ สั้นเกินไป ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้มค่า ดังนั้นขณะที่ช่วยไห่หลันอิน นิ้วกลางของจินเฟยเหยาก็ได้กลายเป็นของวิเศษชั้นกลางไปแล้ว คิดจะให้กระดูกเลื่อนขั้น ต้องรอจนนางหลอมกระดูกทั่วร่างเป็นของวิเศษก่อน จากนั้นจึงหลอมร่างให้เลื่อนขั้นได้ ตอนนี้มีนิ้วเดียวก็ไม่เลวแล้ว
จินเฟยเหยายิ้มแย้มพลางขุดศิลาวิญญาณบนผนังศิลา มองเห็นอนาคตอันสดใสของตนเองแล้ว ตอนออกไป พกพาศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อนไปส่งมอบก็พอ ถึงอย่างไรตนเองก็ยินยอมมาขุดเหมืองเอง ไม่ได้ถูกสำนักบังคับส่งมาเสียหน่อย ศิลาวิญญาณอื่นๆ ตอนออกไปก็โยนให้พั่งจื่อและต้านิวกินทั้งหมด หลังออกไปค่อยคายออกมาก็จะรวยแล้ว!
ตอนนี้ความเสียใจเพียงอย่างเดียวคือตอนนั้นเพราะเหตุใดสิ่งที่ตนเองหลอมจึงไม่ใช่นิ้วชี้ ถึงนิ้วกลางจะยาวกว่านิ้วชี้ แต่ถ้าต้องขุดสิ่งของ ดูเหมือนจะไม่ค่อยสะดวก จินเฟยเหยาพกพาความสำนึกเสียใจเต็มอก ใช้นิ้วกลางขุดศิลาวิญญาณชั้นบนในก้อนหินสีขาวอย่างแรง
จินเฟยเหยาขุดทรัพย์สมบัติของผู้อื่นอย่างยินดีอยู่ที่นี่ ส่วนเรือเหาะที่จะบินไปโลกระดับเทพที่เมืองวั่นเซียนสุ่ยผ่านมาเกือบสามปีแล้ว ในที่สุดก็ออกเดินทางได้
จู๋ซวีอู๋คิดไม่ถึงว่าเตรียมออกเรือต้องใช้เวลานานขนาดนี้ เรือเหาะยาวเก้าร้อยเก้าสิบก้าวจั้ง ก่อนออกเรือตัวเรือล้วนต้องวาดคาถาป้องกันสายฟ้าขึ้นใหม่ทั้งหมด อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังใช้เพลิงพิภพหลอมสร้างขึ้นใหม่มาสามสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าต้องทำซับซ้อนถึงขนาดนี้ทำไม เรือเล็กส่วนตัวของพวกสำนักฉีเทียน แค่วาดคาถาเล็กน้อยก็ส่งขึ้นฟ้าแล้ว
ถึงแม้ถูกฟ้าผ่าร่วง ทว่าก็มักจะมีปลาที่เล็ดรอดจากตาข่ายไปถึงโลกระดับเทพได้สำเร็จ ตอนนี้ห่างจากช่วงเวลาที่จินเฟยเหยาร่วงลงสู่ชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพสามปีแล้ว รอจนตนเองรุดไปถึงโลกระดับเทพ หวงฮวาไช่คงเย็นหมดแล้ว[2] จู๋ซวีอู๋ยืนครุ่นคิดอย่างหงุดหงิดอยู่บนเรือ
“เด็กน้อยเบื้องหน้า ถ้าจะขึ้นเรือก็รีบขึ้นหน่อย อย่ายืนขวางทางอยู่ข้างหน้า” ด้านหลังมีคนตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ จู๋ซวีอู๋มองไปด้านหลังอย่างอารมณ์ไม่ดี ทางขึ้นเรือยาวเหยียดด้านล่างมีผู้บำเพ็ญเซียนของแต่ละสำนักที่จะไปโลกระดับเทพยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนล้วนเป็นขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวม ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ใครตะโกนขึ้นมา ต่อให้เขาคิดจะหาเรื่องก็หาเป้าหมายไม่พบ
“ฮึ” จู๋ซวีอู๋ส่งเสียงฮึ สาวเท้ายาวๆ ขึ้นดาดฟ้าเรือ ไม่รู้ว่าเมืองวั่นเซียนสุ่ยคิดจะทำอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเรียกให้ทุกคนต่อแถวเดินขึ้นเรือ บินขึ้นไปก็ได้ชัดๆ ตอนนี้ยังมาทำให้ยุ่งยากอีก
“เอ๋? เจ้าควักกระเป๋าขึ้นเรือเองหรือ?” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมทำหน้าที่รับรองแขกบนเรือเหาะคนหนึ่งมองคนเบื้องหน้าอย่างตกใจ
“ทำไม เรือที่เพิ่มมาไม่อนุญาตให้คนซื้อตั๋วขึ้นเรือหรือ เจ้าดูให้ละเอียด ตั๋วชิ้นนี้เป็นของแท้ ไม่ใช่ของปลอม” คนเบื้องหน้าเขายิ้มแย้มเผยให้เห็นฟันสีขาวราวกับหิมะ ผิวสีทองแดงภายใต้แสงอาทิตย์เห็นได้ชัดว่าเป็นประกายอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่ ตั๋วชิ้นนี้เป็นของจริงแน่นอน เพียงแต่ข้านึกว่าครั้งนี้ถูกสำนักเหมาเรือแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีแขกที่เดินทางเองขึ้นเรือ ขออภัยจริงๆ สหายเซียนอย่าถือโทษเลย เชิญเข้าด้านใน” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้คืนหยกประดับที่มีลวดลายเคลื่อนไหวได้ในมือให้คนเบื้องหน้าแล้วเอ่ยเชื้อเชิญเข้าด้านใน
มือสีทองแดงรับหยกประดับมา เดินขึ้นดาดฟ้าของเรือเหาะด้วยรอยยิ้มแฉ่ง จากนั้นหลังคนผู้นี้มองไปรอบด้าน ก็จุปากเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรู้จักมากมายขนาดนี้ บวกกับคนที่อยู่ในโลกระดับเทพ สิบอันดับแรกของผังสงครามวิญญาณสามารถไปรวมตัวดื่มกันสักจอกที่โลกระดับเทพได้ ยายเสี่ยวจินนั่นไปโลกระดับเทพได้อย่างไร หรือว่าอยู่ในเรือที่ถูกฟ้าผ่าเสียหายของสำนักฉีเทียนลำนั้นจริงๆ? ถ้าเป็นเรือลำนั้นจริง นางคงโชคร้ายอย่างยิ่ง ถึงไม่ตายก็คงต้องหายไปครึ่งชีวิต”
ปู้จื้อโหยวหยิบยาปีกสวรรค์เม็ดหนึ่งขึ้นโยนให้นกปีกสวรรค์ซึ่งบนหัวมีผลไม้สีแดงที่เกาะอยู่บนบ่า จากนั้นมองคนเต็มลำเรือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนไปโลกระดับเทพมากมายปานนี้ เห็นว่าเป็นปิ่งอันหอมหวนจริงๆ หรือ? ไม่รู้ว่าจะมีคนมีชีวิตรอดกลับมาได้มากเพียงใด”
…………………………..
[1] ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของนางขายยาอะไร หมายถึง ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร
[2] หวงฮวาไช่คงเย็นหมดแล้ว หมายถึง รอคอยมานานเกินไป