คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 256 กำเริบเสิบสานจริงๆ
“หนึ่งก้อน สองก้อน สามสี่ก้อน ศิลาวิญญาณทั้งหมดบินเข้ากระเป๋าข้า” จินเฟยเหยาส่งเสียงฮัมเพลงไม่เป็นทำนอง กลายเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่งในอุโมงค์เหมืองซันจือ
เสียงของนางดังสะท้อนไปตามถ้ำเหมือง และล่องลอยไปในอุโมงค์เหมืองแต่ละสาย ผู้บำเพ็ญเซียนที่ขุดเหมืองแทบทั้งหมดล้วนได้ยินนางร้องเพลงที่แต่งเอง
เพียงแต่ทำนองที่ดังมาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน บางครั้งเป็นทำนองรื่นเริง บางครั้งเป็นทำนองประหลาดราวกับไคว่ซู[1] หลายครั้งเหมือนกับท่องคาถาที่ทำให้คนง่วงเหงาหาวนอน อีกทั้งในสิบวันยังมีช่วงเวลาครึ่งหนึ่งที่เหมือนนางอมสิ่งของอยู่ในปากแล้วร้องเพลงเสียงอู้อี้
ตอนแรกยังรู้สึกว่าน่าสนใจ ภายในถ้ำเหมืองที่เงียบสงบคึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าพอเวลาผ่านไปนานเข้า ร้องเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมาบ่อยๆ ก็ทำให้คนรู้สึกรำคาญ
อีกทั้งฟังเนื้อร้องของนาง เห็นได้ชัดว่าคิดจะยึดศิลาวิญญาณเป็นของตนเอง ทว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหนูตัวเล็กๆ ขนสีทองไม่ใช่ชนชั้นกินเจ เคยมีคนขโมยศิลาวิญญาณ สุดท้ายถูกตรวจสอบพบ ฮุบไม่ได้นั้นยังง่ายดายไป ถูกทุบตีจนอาจารย์ของตนเองจำไม่ได้จึงเป็นวิธีปกติ
“เอ๋! นี่คืออะไร ศิลาวิญญาณชั้นยอด! ฮ่าๆๆ ข้ารวยแล้ว!” ในอุโมงค์เหมืองมีน้ำเสียงยินดีของจินเฟยเหยาดังมาอีก นี่เป็นศิลาวิญญาณชั้นยอดก้อนที่หกซึ่งนางขุดได้หลังจากลงเหมืองมา
ศิลาวิญญาณชั้นยอดมีรูปไข่และมีห้าสีสันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาส่องประกายวิบวับอยู่ในถ้ำเหมืองไม่เหมือนกับศิลาวิญญาณธรรมดาที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เอามันมาแนบกับใบหน้า ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่บรรจุอยู่ด้านใน สิ่งของดีๆ แบบนี้ไม่อาจใช้ต่างเงินตรา นี่เป็นของดีที่ต่อไปใช้สำหรับฝึกบำเพ็ญเพื่อเลื่อนขั้นพลังการบำเพ็ญเพียร ต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีดุจของล้ำค่า
จินเฟยเหยาเช็ดถูอย่างยินดี มองหนูดมวิญญาณที่กระพริบตาปริบๆ แล้วโยนศิลาวิญญาณชั้นยอดใส่ในถุงเฉียนคุน นางใช้ถุงสองใบในเวลาเดียวกัน ใบหนึ่งบรรจุศิลาวิญญาณห้าหกร้อยก้อน ใช้สำหรับมอบให้หวังโหยวหลิง อีกใบหนึ่งแอบเก็บให้ตนเอง
จินเฟยเหยาขุดมาเกือบครึ่งปีแล้ว ด้วยระดับความเร็วในการขโมยศิลาวิญญาณวันละเกือบพันก้อน ขนาดพวกเว่ยอันและหลี่อีเจรจาเสร็จแล้ว นางยังไม่ว่างไปถาม อย่างไรตนเองก็ได้แบ่งศิลาวิญญาณชั้นบนห้าหกร้อยก้อน แต่ตนเองอยู่ที่นี่วันหนึ่งได้มากกว่านั้น ผู้ใดยังมีเวลาว่างไปสนใจเรื่องเล็กน้อยอีก ถือว่าทำความดีให้พวกเขาได้รับศิลาวิญญาณมากหน่อย
หนึ่งปีสามารถหาศิลาวิญญาณชั้นบนได้ถึงสามแสนกว่าก้อน ถ้าสิบปีก็คือสามล้านก้อน เพียงพอจะซื้อพื้นที่มิติในม้วนภาพวาดแล้ว ราคาสูงขนาดนี้ พื้นที่มิติในนั้นน่าจะกว้างมาก อาจจะเป็นสถานที่ซึ่งกลายเป็นแคว้นเล็กๆ ได้ สามารถปลูกหญ้าวิญญาณได้หลายแสนหมู่และเลี้ยงดูสำนักใหญ่แห่งหนึ่งได้อย่างเพียงพอ
เดิมทีจินเฟยเหยาคิดจะขุดสักสิบกว่าปี จนหาศิลาได้พอใช้ไปชั่วชีวิตค่อยออกไป แต่คิดถึงว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น ถ้าไม่แยกซื้อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อได้จำนวนมากขนาดนั้น ดังนั้นนางจึงคิดจะออกมาก่อน นำศิลาวิญญาณเกือบสองแสนก้อนไปซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่น จากนั้นปล่อยข่าวออกไปให้พวกเขาจัดเตรียมมากหน่อย อีกครึ่งปีตนเองจะออกไปซื้ออีกครั้ง
คิดถึงตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นที่จะกองสุมราวกับฝนตกลงมา จินเฟยเหยาก็อดยิ้มชั่วร้ายไม่ได้
เรื่องราวไม่อาจล่าช้า วันนี้ออกไปสักรอบดีกว่า ถึงอย่างไรศิลาวิญญาณที่นี่ก็มีมากมายขนาดนี้ ชั่วครู่ชั่วคราวก็ขุดไม่หมด พอคิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็นำกระเป๋าเก็บของที่เตรียมส่งมอบออกมาโยนลงบนพื้น
หนูดมวิญญาณพุ่งเข้ามา วนรอบกระเป๋าเก็บของไม่หยุด จินเฟยเหยาฉวยโอกาสนี้นำถุงเฉียนคุนอีกใบหนึ่งโยนใส่ปากพั่งจื่อ พั่งจื่อก็กลืนลงไปโดยไม่กระพริบตา
หลังพั่งจื่อและต้านิวถูกจินเฟยเหยาโยนออกมาก็ไม่ได้เก็บเข้าถุงสัตว์ภูติมาตลอด นางวางแผนจะให้พวกมันสองตัวช่วยขุดศิลาวิญญาณด้วย ดังนั้นจึงให้พวกมันสองตัวไปขุด พั่งจื่อใช้ขาหน้าขุดตามสบายอย่างเกียจคร้านแล้วกลอกตาใส่จินเฟยเหยา จากนั้นนั่งลงโดยไม่สนใจเศษหินบนพื้นพิงตัวบนกำแพงหินและหลับใหลไป
ต้านิวกลับขยันขันแข็ง ใช้เวลาสามวัน ใช้ขาหน้าขุดจนโลหิตไหล จึงนำศิลาวิญญาณเปื้อนคราบเลือดก้อนหนึ่งมายื่นให้จินเฟยเหยาด้วยสีหน้าประจบเอาใจ
จินเฟยเหยามองศิลาวิญญาณเปื้อนเลือดในมือมันและดวงตาสัตย์ซื่อเป็นประกายวิบวับก็ยกเท้าขึ้นเตะมันออกไป ศิลาวิญญาณเปื้อนเลือดร่วงพื้น จินเฟยเหยาเก็บขึ้นมาเช็ดแล้วให้พวกมันไสหัวไปเล่นอีกด้านหนึ่ง จะได้ไม่กระทบถึงการทำงานของตนเอง
ขอเพียงมีคนผ่านมา จะพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่น่าสงสารคนหนึ่งกำลังใช้นิ้วขุดศิลาวิญญาณอยู่ที่นี่ ส่วนผู้ตรวจสอบนางก็แตกต่างจากคนอื่นไม่ใช่ตัวเดียวแต่เป็นสามตัว นอกจากหนูดมวิญญาณผู้ตรวจสอบตัวหนึ่ง ยังมีกบอันธพาลเพิ่มมาอีกสองตัว
เห็นรูปร่างของกบขั้นห้าสองตัวนี้และสายตาไม่มีความรู้สึกราวกับสัตว์ประหลาดแห่งการเข่นฆ่าก็สามารถเดาได้ว่าขอเพียงพวกมันได้รับคำสั่งจากหนูดมวิญญาณ จะลงมือสังหารผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้อย่างไร้ปราณี ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้ไปล่วงเกินใครเข้า คิดไม่ถึงว่าจะถูกลากมาใช้นิ้วขุดศิลาวิญญาณที่นี่ ช่างน่าสงสารจริงๆ
จินเฟยเหยาไม่รู้เลยว่าทุกคนคาดเดาถึงตนเองเช่นนี้ นางโยนถุงเฉียนคุนทั้งหมดให้พั่งจื่ออย่างว่องไว หนูดมวิญญาณเพียงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเล็กๆ มีความสงสัยนิดๆ ทว่าก็ก้มศีรษะลงทันที วนรอบศิลาวิญญาณถุงนั้นต่อไป
ต่อให้เฉลียวฉลาดก็เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น จินเฟยเหยาหัวเราะแล้วเก็บต้านิวและพั่งจื่อลงในถุงสัตว์ภูติ จากนั้นหยิบกระเป๋าเก็บของบนพื้นขึ้น เดินส่ายอาดๆ ออกจากถ้ำเหมือง
ตอนเข้ามานางเดินนำอยู่ข้างหน้า ตอนออกไปมีหนูดมวิญญาณนำทาง นางไม่ต้องทำสัญลักษณ์ ถ้าไม่มีหนูดมวิญญาณนำทางก็ไม่รู้ว่าต้องเดินไกลเพียงใด จินเฟยเหยาฮัมเพลงที่ไม่ทราบความหมายชัดเจน จินเฟยเหยาเดินมาหนึ่งชั่วยามกว่าก็เหยียบย่างออกจากถ้ำเหมืองของเหมืองศิลาวิญญาณซันจือ
เพิ่งเดินออกจากเหมือง จินเฟยเหยาก็ขยี้ตา ศิลาแสงจันทร์ไม่สามารถแทนแสงจากดวงอาทิตย์ได้ อยู่ในสถานที่มืดมิดเป็นเวลานานไม่ได้จริงๆ ด้วย ไม่ค่อยดีต่อสายตา แต่นางสงสัยนิดๆ ว่าตนเองเป็นโรคที่อยู่ในมุมคนเดียวถึงไม่ต้องติดต่อกับคนอื่นก็ไม่เศร้าเสียใจใช่หรือไม่
นางยังอยู่ในการป้องกันสิบหกชั้นคนเฝ้ายามภายนอกก็รู้แล้ว จึงยืนรอนางอยู่ด้านหน้าการป้องกันแต่แรก
เมื่อจินเฟยเหยาเหยียบย่างออกจากการป้องกัน พวกเขาก็ล้อมไว้ ขอเพียงไม่ระวัง นางก็จะหนีไปพร้อมศิลาวิญญาณทันที จินเฟยเหยายืนอยู่ตรงนั้นแต่โดยดี ยื่นส่งกระเป๋าเก็บของใบนั้นให้ คนเฝ้ายามคนหนึ่งรับกระเป๋าเก็บของมา กวาดตาดูด้านในแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงน้อยแค่นี้ เจ้าคงไม่ได้ยักยอกไปหรอกนะ”
“ข้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร พวกท่านไร้เหตุผลเกินไปแล้ว พวกท่านมีหนูดมวิญญาณและปล่อยมันให้เฝ้าไว้มิใช่หรือ ลองถามมันดูก็ได้” จินเฟยเหยามีสีหน้าเปิดเผย นางรู้สึกถูกหยามเกียรติจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
บรรดาคนเฝ้ายามสบตากัน จากนั้นเก็บหนูดมวิญญาณ แล้วปล่อยหนูดมวิญญาณที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่าออกมาอีกครั้ง จินเฟยเหยามีสีหน้าปกติ ที่จริงในใจกลับตึงเครียด คิดไม่ถึงว่าเจ้าพวกนี้จะเลี้ยงหนูดมวิญญาณตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ คงไม่ถูกมันตรวจสอบพบหรอกนะ
ราชาหนูดมวิญญาณตัวนี้สูดจมูก วนรอบจินเฟยเหยาหลายรอบ แล้วหยุดเอียงหัวกระพริบตาเล็กๆ ครุ่นคิด แล้ววนรอบนางใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำอยู่นานก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวชัดเจน
“วนพอแล้วหรือยัง! พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร ส่งหนูตัวหนึ่งมาหยามเกียรติข้าหรือ!” จินเฟยเหยาพลันถลึงตา ด่าทออย่างดุร้าย
พอถูกนางคำรามใส่ ในที่สุดราชาหนูดมวิญญาณตัวนั้นก็ตัดสินใจได้ วิ่งกลับไปอย่างเงื่องหงอย บรรดาคนเฝ้ายามเพียงเก็บศิลาวิญญาณชั้นบนหกร้อยกว่าก้อนและป้ายหยกสีเขียวที่จินเฟยเหยาใช้เข้าเหมือง เวลานี้จินเฟยเหยาจึงสังเกตเห็น ที่แท้ของสิ่งนี้ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ท่าทางตอนกลับมาคงต้องไปหาหวังโหยวหลิงเพื่อเอาอีกอัน
จินเฟยเหยาสะกดความยินดีในใจเอาไว้ เดินออกจากเขตเหมืองศิลาวิญญาณซันจือมาถึงในเมืองซันจือด้วยสีหน้าสงบ
พอออกมานางไม่ได้ไปที่ใด แต่ไปซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นของตนเองก่อน ศิลาวิญญาณชั้นบนเกือบสองแสนก้อนถูกนางนำมาซื้อตานสัตว์ปิศาจทั้งหมด ทำให้ทั่วทั้งเมืองซันจือต่างรู้ว่า มีคนกำลังซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นอย่างบ้าคลั่ง
บางคนรีบลงมือก่อน ทว่าบางคนกลับลังเล มีคนซื้ออย่างบ้าคลั่งแบบนี้ แสดงว่าของสิ่งนี้มีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้ ถ้าขายทิ้งตอนนี้จะไม่คุ้มค่าหรือไม่ ต่อไปถ้าตนเองต้องการยามกะทันหันกลับหาไม่ได้ ยิ่งมีคนคิดจะกักตุนสินค้าไว้ในมือรอให้ราคาพุ่งไปหลายเท่าแล้วค่อยขาย
นางเดินวนรอบหนึ่ง ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นน้ำขึ้นเรือลอยสูง[2] คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายราคาจะทะยานขึ้นเป็นสองพันศิลาวิญญาณชั้นบน นางจึงสามารถซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นของสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดได้หนึ่งพวง จินเฟยเหยานึกว่ามีใครเป็นศัตรูกับตนเอง ตนเองอยากซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นก็มีคนบังคับขึ้นราคา น่าชังจริงๆ
คำนวณดู ครั้งนี้ตนเองเพิ่งซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นได้สามสิบกว่าพวง ศิลาวิญญาณในมือยังเหลืออีกมาก กลับไม่มีตานสัตว์ปิศาจให้ซื้อ
“ใครกันน่าชังขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าแย่งชิงตานสัตว์ปิศาจกับข้า!” จินเฟยเหยาสอบถามแล้วมีสตรีผู้หนึ่งกว้านซื้อตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นอย่างบ้าคลั่งจึงทำให้ตานสัตว์ปิศาจพวงองุ่นราคาพุ่งพรวดพราด สตรีผู้นี้ทำร้ายตนเองอย่างน่าอนาถยิ่ง นางด่าทออย่างเดือดดาล และไม่เคยคิดเลยว่าสตรีผู้นี้คือตนเอง นึกว่ามีคนแบบเดียวกันในตลาด
เมืองซันจือไม่มีคนธรรมดาและไม่มีคนที่มีพลังการบำเพียรเพียรต่ำต้อย คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำที่สุดคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ดังนั้นเมืองซันจือจึงไม่มีร้านน้ำชาและร้านอาหาร นอกจากร้านขายอาวุธเวทและร้านขายยาหลายร้านก็เป็นแผงแบกะดินเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนและร้านขายพื้นที่มิติร้านนั้น
จินเฟยเหยาไม่มีที่ไปจึงเดินบนถนนในเมืองซันจืออย่างเงียบๆ บอกว่าเป็นถนนที่จริงคือที่ว่างใต้ต้นไม้ ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดว่าจะกลับไปขุดเหมืองต่อหรือจะออกไปล่าสัตว์ปิศาจเองหรือจะไปเยี่ยมไห่หลันอินว่าครึ่งปีนี้ยายนี่เป็นอย่างไรบ้าง
ก็เห็นการป้องกันนอกเมืองซันจือพลันเกิดแสงสีเหลือง จากนั้นได้ยินเสียงคนใช้เสียงราวกับสุกรถูกเชือดตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว เผ่ามารบุกโจมตีเมืองซันจือ ทุกคนรีบออกมารับศึก เผ่ามารบุกโจมตีแล้ว!”
“อะไรนะ! โชคร้ายขนาดนี้เชียว!” จินเฟยเหยาตะลึงงัน เห็นผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากเหาะออกไปนอกเมืองซันจือ นางเหยียบทงเทียนหรูอี้ ติดตามทุกคนมานอกเมืองซันจือทันที
เห็นเบื้องหน้ามีกองทัพเผ่ามารปรากฏขึ้น จินเฟยเหยาอดส่งเสียงขำออกมาไม่ได้
เผ่ามารกล้าเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะพาลูกสมุนขั้นหลอมรวมที่มีเส้นผมต่างสีสันกันมาเพียงสิบคน อีกทั้งทุกคนล้วนเป็นสตรี พวกนางยืนอยู่บนหลังสัตว์ปิศาจเซี่ยงซู่สูงเจ็ดแปดจั้ง รถเทียมสัตว์บนหลังสัตว์ปิศาจเซี่ยงซู่ดูดีจริงๆ ใช้ปะการังอันงดงามทำเป็นหลังคา รอบด้านแขวนผ้าโปร่งสีขาวยาวหลายจั้ง
ด้านหน้ารถเทียมสัตว์มีสตรีเผ่ามารเส้นผมสีดำสองคนนั่งอยู่ ดูเหมือนจะเป็นหญิงรับใช้หรืออนุภรรยา นี่แย่เกินไปแล้ว เส้นผมสีดำล้วนเป็นชนชั้นสูงมิใช่หรือ?
จินเฟยเหยามองคนในรถเทียมสัตว์ผ่านผ้าโปร่งสีขาวเหล่านั้นอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง ราวกับเห็นชุดสีแดงทั้งตัว หรือว่าเป็นใต้เท้าไหวซึ่งเป็นน้องสาวของจอมมารหลงและเป็นท่านแม่ของปู้จื้อโหยว?
ไม่จริงน่า…เรื่องนี้จำเป็นต้องให้นางออกโรงด้วยหรือ? เดี๋ยวก่อน ถ้านางปรากฏตัว หมายความว่าจอมมารหลงก็อยู่ใกล้ๆ ใช่หรือไม่ จินเฟยเหยาตกใจ อดมองไปรอบด้านไม่ได้ คิดจะดูว่านอกจากหลายคนนี้ยังมีเผ่ามารคนอื่นๆ อีกหรือไม่
ในเวลานี้เอง ทางด้านเมืองซันจือมีตาเฒ่าที่จินเฟยเหยาไม่เคยเห็นกลุ่มหนึ่งรุดมา นางมาถึงเมืองซันจือก็ยุ่งอยู่กับการขุดศิลาวิญญาณ ไม่รู้ว่าตาเฒ่าเหล่านี้คือใคร หนึ่งในบรรดาตาเฒ่าเหล่านั้นพลันก้าวมาข้างหน้า เอ่ยวาจากับเผ่ามาร “ไม่ทราบว่าท่านแล่นมาถึงเมืองซันจือด้วยธุระใด ควรรู้ว่าพวกเราไม่ได้ล่วงล้ำดินแดนของเผ่ามาร ตามกฎที่เจรจาไว้ในอดีต พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำแม่น้ำ[3] ท่านมาวันนี้หมายความว่าอย่างไร?”
บนสัตว์เซี่ยงซู่เงียบงันไปเล็กน้อย ก็มีเสียงบุรุษที่ฟังดูหยิ่งผยองอย่างยิ่งดังมา “น้ำบ่อไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำแม่น้ำ? หกเดือนก่อนพวกเจ้ารวบรวมผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มใหญ่ มิใช่คิดจะรุกรานเผ่ามารเราหรอกหรือ? หากมิใช่พวกเจ้ากังวลอยู่บ้าง เกรงว่าตอนนี้คงโจมตีดินแดนเผ่ามารนานแล้ว”
ไม่ใช่ใต้เท้าไหว จินเฟยเหยาโล่งอก แต่คนเผ่ามารบนหลังสัตว์เซี่ยงซู่ดุร้ายจริงๆ เมืองซันจือมีผู้บำเพ็ญเซียนหลายพันคน ต่อให้เจ้าจะมาแสดงอานุภาพของตนเองหรือคิดจะมาบุกโจมตีเมืองซันจือจริงๆ ก็ต้องพาคนมามากหน่อย มีเพียงสิบกว่าคน คิดไม่ถึงว่าจะมาท้าทายเมืองซันจือ มีความกล้าไม่เบา
ได้ยินคำพูดของผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารคนนี้ บรรดาตาเฒ่าแห่งเมืองซันจือก็ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะทำให้เผ่ามารไม่พอใจ มีคนมาอาละวาดก่อนล่วงหน้า ถึงแม้การโจมตีดินแดนเผ่ามารจะเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่พวกเขายังหวังว่าจะสังหารเผ่ามารโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ไม่อยากยอมรับเรื่องนี้กับเผ่ามารกลุ่มเล็กๆ
อีกทั้งยังไม่มีอะไรน่ายอมรับ เพราะไม่ได้รวบรวมคนไปโจมตีเผ่ามารจริงๆ ดังนั้นชายชราคนที่ออกมาคนแรกสุดจึงเอ่ยปากอธิบาย “ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การรวบรวมคนไปโจมตีเผ่ามาร อีกทั้งนี่ยังเป็นเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อน พวกเราไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ มาโดยตลอด ต่อให้ระดมกำลังมากล่าวหาท่านก็มาช้าเกินไปกระมัง?”
“ความหมายของเจ้าคือรังเกียจที่ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่อง? รู้สึกว่าคนที่ข้าพามามีน้อยเกินไป พวกเจ้าจึงไม่เห็นอยู่ในสายตา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่อาจกลับไปมือเปล่า ข้าจะขอรับเมืองซันจือนี้ไว้” บุรุษเผ่ามารบนหลังสัตว์เซี่ยงซู่ เอ่ยอย่างชัดเจน
“พูดจาโอหังบังอาจ! ในเมื่อเจ้าอยากตาย วันนี้พวกเราจะให้เจ้ามาได้กลับไม่ได้” ทางด้านเมืองซันจือก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ พวกเจ้าแค่สิบกว่าคนยังโอหังแบบนี้ ถ้าร้อยคนพวกเจ้ามิกลืนพวกเราทั้งเป็นหรอกหรือ จะได้สังหารความหยิ่งผยองของเผ่ามารเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับศึกใหญ่ในวันหน้าพอดี!
……………………………………
[1] ไคว่ซู คือ เพลงละครเพลงชนิดหนึ่ง ใช้แผ่นไม้ไผ่และแผ่นทองเหลืองเคาะจังหวะคลอเสียงไปด้วย
[2] น้ำขึ้นเรือลอยสูง หมายถึง ของบางอย่างเพิ่มขึ้นเนื่องจากสิ่งที่มันพึ่งพาอยู่เพิ่มขึ้น
[3] น้ำบ่อไม่ยุ่งเกี่ยวกับน้ำแม่น้ำ หมายถึง ไม่ล้ำเส้น หรือ รุกล้ำเขตแดนกันและกัน