คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 259 เสี่ยวจินร้องไห้
“เจ้ามาทำอะไรที่โลกระดับเทพกันแน่? ดูแล้วว่างมาก ยังมีอีกเหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าคนของสำนักตงอวี้หวงรู้ว่าข้ามีเทาเที่ย เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับที่พวกเขาไม่เผยแพร่ออกไปภายนอก” จินเฟยเหยามองปู้จื้อโหยวที่เกียจคร้านบนพัดปาเจียวแล้วอดเอ่ยถามไม่ได้
พวกเขาสองคนบินมุ่งไปทางตะวันออกตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนมาขัดขวาง ผลของการคาดเดาคือรีบไปเก็บกวาดสนามรบ ดังนั้นจึงไม่ว่างมาตามหาจินเฟยเหยา ฉวยโอกาสช่วงเกียร์ว่างนี้ ทั้งสองคนรีบเร่งรุดหนีไปโลกระดับเทพส่วนนอก อีกทั้งยังตัดสินใจจะหนีเข้าไปในดินแดนที่มีเผ่ามารมากมาย
ปู้จื้อโหยวหาวหวอด เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องมีธุระแน่นอน ข้าเป็นคนที่ยุ่งที่สุด ตอนนี้โลกระดับเทพจะสู้รบกัน ข่าวสารขายดีอย่างยิ่ง โอกาสค้าขายเช่นนี้หากยังไม่มาแล้วจะรอถึงเมื่อใด”
“ทำไมเจ้าต้องขายข่าวสารด้วย ทำอย่างอื่นน่าจะได้เงินมากกว่า คิดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องที่ทั้งอันตรายทั้งทำดีไม่ได้ดีจะเป็นสิ่งที่ใต้เท้าชนชั้นสูงซึ่งมีคนหนุนหลังอย่างเจ้ากระทำ” จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งจำเป็นต้องกระทำ อีกทั้งปู้จื้อโหยวยังมีคนหนุนหลัง โลกเผ่ามารและโลกเผ่ามนุษย์ล้วนให้การต้อนรับ เหตุใดต้องกระทำเรื่องประเภททำดีแต่ไม่ได้ดีด้วย
“นี่เป็นความชอบของข้า นอกจากหาเงินได้เล็กๆ น้อยๆ แล้ว หลักๆ คือสนใจ ข้าชอบรู้ความลับของผู้อื่น แอบดูเรื่องที่ผู้อื่นไม่อยากให้คนอื่นรู้ แบบนี้จึงรู้สึกว่าน่าสนใจ” ปู้จื้อโหยวยิ้มแย้มอย่างเปิดเผยโดยไม่รู้สึกขัดเขินเลยสักนิด
จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา นี่ถือว่าเป็นคนวิปริตประเภทหนึ่งหรือไม่?
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสำนักตงอวี้หวงจะจับตัวข้า ก่อนหน้านี้ข้ายังกินข้าวที่สำนักของพวกเขาอยู่หลายวัน นำสัตว์ภูติที่พวกเขาเลี้ยงไว้จำนวนไม่น้อยมากรอกท้อง ถ้าตอนนั้นพวกเขาไม่ไล่ข้าไปเพราะกลัวข้ากินเยอะ ข้าก็กำลังคิดจะจากไปพอดี” จินเฟยเหยาเอ่ยถามต่อ
ปู้จื้อโหยวก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ที่จริงได้ข่าวมาจากทางเผ่ามาร ไม่รู้ว่าเป็นใครในสำนักตงอวี้หวงเผยแพร่ออกมา รู้เพียงแต่ว่าคนที่หมายตาเจ้าไม่ได้มีเพียงคนเดียว อาจมีคนคิดจะพาตัวเจ้าไปอย่างลับๆ ไม่เช่นนั้นจู๋ซวีอู๋ต้องคิดจะให้เจ้าเป็นสัตว์เฝ้าสำนักทันทีแน่ มีคนจำนวนไม่น้อยไม่ยินยอมให้สำนักได้ผลประโยชน์ไป”
“แล้วเจ้าเล่า?” จินเฟยเหยากระพริบตาเอ่ยถาม
“ข้าอะไร?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจแล้วพลันเข้าใจขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ “ข้าคิดแบบนี้ ข้อแรกพวกเราคุ้นเคยกันนิดหน่อย ข้อสองคือข้าไม่มีความสามารถจะเลี้ยงเจ้า ข้อสามข้ากลัวว่าหลังจากเจ้าเปลี่ยนเป็นเทาเที่ยจะจับข้ากินก่อน ข้อสุดท้ายเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ถึงเทาเที่ยจะร้ายกาจยิ่ง แต่จะร้ายกาจเพียงใดนั้นข้าไม่รู้ ถ้าถึงเวลากินเก่งแต่ไร้ประโยชน์ ข้าคงถูกคนมากมายล่าสังหาร นี่ไม่เหมือนกับพฤติการณ์ในยามปกติของข้าที่ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น อีกทั้งข้าคิดจะดูว่าต่อไปเจ้าจะก่อเรื่องมากมายเพียงใด ยิ่งวุ่นวายก็ยิ่งมีความลับมากมายให้ค้นหา”
“เจ้าน่าชังเกินไปแล้ว ทำเพื่อคิดจะดูเรื่องน่าขำของข้าล้วนๆ เลย” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ถ้าข้าบอกว่าข้าทำเพื่อเจ้า คิดจะช่วยเหลือเจ้า ดังนั้นจึงดีต่อเจ้าอย่างอธิบายไม่ได้ คำพูดเช่นนี้เจ้าคงไม่เชื่อถือ มันจอมปลอมเกินไป” ปู้จื้อโหยวนำกล้องยาสูบอันนั้นออกมาสูบยา
จินเฟยเหยาจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง พลันยื่นมือไปแย่งกล้องยาสูบมา ถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้ายหลายครั้งแล้วยัดใส่ปากสูดอย่างแรงคราหนึ่ง จากนั้นนางทนอยู่หลายอึดใจก็หมุนตัววิ่งไปอาเจียนอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ! น่าขำแทบตายแล้ว เจ้าหยุดเถอะ หยวนอิงอันนี้เกรงว่าเจ้าต้องใช้เวลาเป็นเดือนจึงสามารถย่อยหมด ยังจะสูบยาอะไร อย่าเพิ่มสิ่งของอื่นๆ ลงในท้องอีกเลย! เจ้าจะอาเจียนตาย” ปู้จื้อโหยวตบพัดปาเจียวแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ทำให้จินเฟยเหยามีโทสะจนหน้าเขียว
รอจนปู้จื้อโหยวหัวเราะเพียงพอ เขาจึงหายใจหอบถามว่า “น้ำพุความฝันที่เจ้าเอ่ยถึงคือสถานที่ใด? ถ้าเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้ ข้าต้องช่วยสอบถามให้เจ้าได้แน่ ถ้าเป็นดินแดนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก ข้าคงไม่มีความสามารถ การค้นหาสถานที่ไม่ใช่จุดแข็งของข้า เรื่องแอบฟังความลับจึงเป็นสิ่งที่ข้ากระทำอยู่บ่อยๆ”
จินเฟยเหยาครุ่นคิด ปล่อยหยวนอิงของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณในขวดหยกออกมา
ปู้จื้อโหยวจุปาก “ของดีเช่นนี้เจ้าก็ได้มา นี่น่าจะเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณดั้งเดิมของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย รวมร่างกับสิ่งนี้ ต่อไปก็สามารถคืนชีพผู้อื่นได้ เจ้าคิดจะนำไปแลกเปลี่ยนกับหยวนอิงมากเพียงใด?”
“ข้าเป็นคนประเภทกินเป็นอย่างเดียวหรือ?” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา
“เจ้าเป็นคนเช่นนี้จริงๆ” ปู้จื้อโหยวสนใจมองแต่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ เอ่ยตอบไปตามสบาย
จินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กัดฟันอย่างไม่มีทางปฏิเสธ ได้แต่หยิกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแล้วถามว่า “รีบบอกมา น้ำพุความฝันอยู่ที่ใด! ไม่เช่นนั้นข้าจะกินเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียน หน้าตาอัปลักษณ์หน่อยก็ไม่เป็นไร ขอเพียงรสชาติดีเป็นใช้ได้”
“เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่งจะได้ผลหรือ? จริงจังหน่อย ข้าจะไปหาตามสถานที่ที่มีเมืองดู ไม่แน่ว่าอาจจะถามได้ความ” ปู้จื้อโหยวรู้สึกว่านางต้องกินอิ่มจนเวียนศีรษะไปแล้วแน่ๆ หรือยังหวังจะให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่งพูดจาได้
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำให้เขาตะลึงงัน เห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือตัวนั้น ยื่นมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง จากนั้นจินเฟยเหยาก็เรอและพยักเพยิดไปทางนั้นพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าอาปู้ เชิญไปทางด้านนั้น”
จากนั้นนางก็โยนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกลับใส่ขวด ผนึกให้ดีแล้วซุกเก็บ
ปู้จื้อโหยวมองความเคลื่อนไหวอันลื่นไหลของนาง จึงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณฟังคำพูดของเจ้าเข้าใจ?”
จินเฟยเหยาเบิกตาโตมองเขา เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ไหนบอกว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ อีกทั้งนี่ยังเป็นหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิต ข่มขู่มันนิดหน่อยย่อมฟังเข้าใจเป็นธรรมดา” เอ่ยถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาดูราวกับครุ่นคิด “ว่าไปแล้วก็ประหลาด ตามหลักเหตุผลแล้วหยวนอิงน่าจะไม่แตกต่างอะไรกับร่างเดิม ทว่าหยวนอิงที่มีลักษณะสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้ดูแล้วไม่มีความคิดของเจ้านายเลยสักนิด”
“ข้ายังนึกว่าหยวนอิงของสัตว์ร้ายทั้งสี่ก็มีลักษณะสัตว์ปิศาจเสียอีก ที่แท้ยังมีแบบอื่นๆ ที่เหมือนกัน คิดว่าการรับรู้ของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นน่าจะถูกกิน ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งโดยสมบูรณ์ ต่อไปไม่แน่ว่าเจ้าจะกลายเป็นเช่นนี้ ถึงตอนนั้นให้ข้าได้เปรียบ จับเจ้าไปขาย น้ำปุ๋ยจะได้ไม่ไหลเข้าที่นาของผู้อื่น[1] ใครให้ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเล่า”
“ลูกพี่ลูกน้องอะไร!” จินเฟยเหยานิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง
ปู้จื้อโหยวแย้มยิ้มชั่วร้ายเอ่ยว่า “เจ้าอย่าลืมสิ เจ้าบอกว่าเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลงต่อหน้าทุกคน เจ้าจบสิ้นแล้ว เรื่องนี้ต้องแพร่ไปถึงหูท่านลุงของข้าแน่ ถ้าเขาพบเจ้า ต้องจัดการบุตรสาวอย่างเจ้าอย่างสาสมแน่”
“ไม่หรอก ข้าจะไม่ไปสถานที่ที่เขาปรากฏตัวแน่นอน ครั้งที่แล้วข้าโง่งมถูกเจ้าหลอกไป อานุภาพของเขายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ขอเพียงปรากฏตัวภายขึ้นในรัศมีห้าร้อยหลี่ข้าต้องรู้สึกได้แน่ ถึงตอนนั้นก็แอบหนีไป เจ้าอย่าหักหลังข้าล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าจะบอกว่าเจ้าสอนข้า” จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือให้เขา เอ่ยพลางหัวเราะหึๆ
อย่าเห็นว่านางมีสีหน้าไม่ใส่ใจ ที่จริงหวาดกลัวนิดๆ พลังการบำเพ็ญเพียรของจอมมารหลงต้องไม่เพียงแค่ขั้นแปลงจิตช่วงปลายแน่ ตอนนี้ก็ไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้แล้ว ถ้าร้ายกาจกว่านี้ มิพ่นฟองน้ำลายอัดตนเองตายหรือ
จินเฟยเหยาหัวเราะด้วยสีหน้าโง่งม เพิ่งคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินปู้จื้อโหยวเอ่ยว่า “มีเรื่องอยากจะแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ท่านลุงบรรลุขั้นว่างเปล่าแล้ว ได้ยินว่าเขาล่าสังหารได้ตันสัตว์ปิศาจของมังกรล้านเม็ดในบริเวณฮุ่นตุ้น ตอนกลับมาก็บรรลุขั้นแปลงจิตช่วงปลายอย่างสมบูรณ์ พลังการบำเพ็ญเพียรที่สูญเสียไปก็กลับคืนมา ต่อมาใช้เวลาสามปี เพิ่งบรรลุขั้นว่างเปล่าได้ก่อนหน้านี้ไม่นาน”
“มี…มีความสามารถยิ่งนัก เป็นข่าวดีจริงๆ ด้วย” จินเฟยเหยาตอบแบบปากอย่างใจอย่าง
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ปู้จื้อโหยวพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ข้าจำได้ว่าในจดหมายที่เจ้าส่งมาหาเข้าเคยเอ่ยว่า เจ้าช่วยเป็นแรงงานให้ใต้เท้าหลงอยู่หลายสิบปี หรือว่าตอนอยู่บริเวณฮุ่นตุ้น เจ้าช่วยจัดการเรื่องจิปาถะให้เขา?”
“เรื่องจิปาถะ?” จินเฟยเหยาส่งเสียงฮึ “ตานสัตว์ปิศาจล้านเม็ดที่เขากินลงไปข้าเป็นคนสังหารเอง เขาจึงมอบเกาะลอยได้เล็กๆ มูลค่าห้าแสนศิลาวิญญาณชั้นบนให้ข้าเป็นค่าแรง คำนวณดูแล้ว ศิลาวิญญาณห้าแสนก้อนจะซื้อตานสัตว์ปิศาจล้านเม็ดได้อย่างไร ข้าเสียเปรียบอย่างหนัก ยังมีหน้ามาบอกว่าตนเองล่าอีก เขานั่งขังตนเองอยู่ในห้องเล็กๆ ทั้งวันไม่เคยออกมาเลย”
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยานึกถึงวันเวลาอันทุกข์ยากได้ ยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ พลังวิญญาณที่เหลืออยู่ทะลักออกมาภายนอกทันที จินเฟยเหยาตกใจจนด่าทออย่างรุนแรง รีบหลับตาสะกดพลังวิญญาณที่กำลังจะหลบหนีออกไปภายนอกไว้ รอบกายเปลี่ยนรูปเป็นชั้นพลังวิญญาณที่เหมือนเยื่อสีขาว สิ่งเหล่านี้อร่อยอย่างยิ่ง ถ้าให้หนีไปได้คงสิ้นเปลืองอาหาร
เวลาที่ใช้ดูดซับหยวนอิงยาวนานเกินคาด หนึ่งเดือนมานี้ยังเหมือนเดิม นางทรมานจนทั้งอาเจียนทั้งรู้สึกไม่สบาย บางครั้งจินเฟยเหยาถึงกับสงสัยว่าหยวนอิงกินได้หรือไม่ เหตุใดปฏิกิริยาจึงรุนแรงขนาดนี้ ถึงรสชาติจะอร่อย ทว่าก็ทนดูดซับวันละสิบสองชั่วยามโดยไม่หยุดไม่ไหว
ว่าไปแล้ว นางยังรู้สึกว่าอาหารที่กินมันเลี่ยนนิดๆ ขนาดต้านิวและพั่งจื่อแทะผลไม้ป่า ก็ทำให้จินเฟยเหยาทนไม่ได้จนต้องอาเจียน เรื่องนี้ทำให้กบสองตัวที่มีความอยากอาหาร เห็นว่าจินเฟยเหยากินไม่ลงเอง ยังใจร้ายไม่ให้พวกมันสองตัวกินอีก
ลำบากแล้วลำบากอีก ในที่สุดก็หนีออกจากโลกระดับเทพส่วนในได้ ขณะเดินข้ามสะพานแขวนไปยังเกาะลอยได้อีกแห่งหนึ่ง จินเฟยเหยาเริ่มรู้สึกว่าพลังวิญญาณมีปฏิกิริยา คิดไม่ถึงว่าตนเองจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้ ตอนที่ไม่มีอาหารกิน ยังมีหยวนอิงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของเนี่ยนซี วันๆ แบกเจ้าสิ่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะลืมประโยชน์ของมันไปเสียสนิท
แต่นางก็รู้สึกโชคดีที่ลืมไป ไม่เช่นนั้นถ้ากินลงไปก็น่าขยะแขยงอีก ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ถ้าหาน้ำพุความฝันไม่พบก็เก็บไว้ ต่อไปหลังจากเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่คาดว่าคงสามารถกินหยวนอิงได้ตามสบาย อร่อย ไม่เหนื่อย และพอเหมาะพอดีเหมือนที่กินจินตันอยู่ในตอนนี้
จินเฟยเหยามีความคิดเช่นนี้ จึงเริ่มไม่กระตือรือร้นกับเรื่องค้นหาน้ำพุความฝัน หากมิใช่ปู้จื้อโหยวเร่งรัดหลายครั้ง นางก็ไม่คิดจะนำสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมาชี้ทาง มีหลายครั้งที่เห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณชี้ทางด้วยสีหน้าเชื่อฟัง จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าเจ้านี่ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเลยสักนิด
ในฐานะที่เป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ไม่สมควรมีความภาคภูมิใจในตนเองหรือ เหตุใดขู่นิดเดียวก็ยอมทุกอย่าง สมควรเห็นการตายดุจการกลับคืนสู่มาตุภูมิ ถึงตายก็ไม่ยอมชี้ว่าน้ำพุความฝันอยู่ที่ใดสิ จากนั้นก็เก็บไว้เป็นอาหารพร้อมทานของข้า
“สายตาของเจ้าคืออะไร! เจ้าเคยบอกว่านี่คือการไหว้วานของสตรีที่อาศัยอยู่กับเจ้ามาห้าสิบปี ให้เจ้าปลดปล่อยเป็นอิสระ อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็กินจนอยากอาเจียนแล้ว ยังมองมันด้วยสายตาเช่นนั้นทำไม!” บางครั้งเห็นสายตาที่จินเฟยเหยาจับจ้องสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณก็ทำให้ปู้จื้อโหยวคาดเดาความคิดของนางได้ เพื่อไม่ให้นางผิดสัญญา ปู้จื้อโหยวจึงเก็บขวดที่บรรจุสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไว้
จินเฟยเหยามองเขาหลายครั้งแล้วส่งเสียงขึ้นจมูก “เชอะ” แล้วไม่สนใจเรื่องนี้อีก ปล่อยให้ปู้จื้อโหยวรับหน้าที่นำทาง นางแค่อยู่ว่างๆ กินแล้วก็นอน
น้ำพุความฝันอยู่ไกลเพียงใด จินเฟยเหยาไม่รู้ชัด นางเพียงรู้ว่าออกจากเกาะลอยได้ที่ตั้งอยู่ในเมืองซันจือ ตลอดทางผ่านเกาะลอยได้น้อยใหญ่ที่มีคนเผ่ามารและเผ่ามนุษย์ผลุบๆ โผล่ๆ รวมทั้งหมดสามสิบเอ็ดเกาะ สุดท้ายจึงเลี้ยวมาถึงโลกระดับเทพส่วนนอก
ยังต้องหลบผู้บำเพ็ญเซียนของทั้งสองเผ่าและระวังสัตว์ปิศาจที่โลกระดับเทพส่วนนอก ทรมานอยู่นาน จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวที่มีสีหน้าสำนึกเสียใจและแค้นเคืองว่าหากรู้แต่แรกคงไม่ยุ่งไม่เข้าเรื่องก็เดินทางมาถึงน้ำพุความฝัน
น้ำพุความฝันไม่ใช่สระน้ำและไม่ใช่ธารน้ำ ทว่าเป็นบ่อน้ำผุพังแห่งหนึ่ง
หากสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไม่ชี้ว่าที่นี่และด้านข้างยังตั้งก้อนหินผุพังก้อนหนึ่งเขียนว่าน้ำพุความฝันด้วยลายมือประหลาดและอัปลักษณ์อย่างยิ่ง จินเฟยเหยาที่กินจนพุงกางคงไม่ยอมเชื่อว่าน้ำพุความฝันที่ค้นหามานานคือบ่อน้ำเบื้องหน้าซึ่งใช้ก้อนหินผุพังก่อขึ้นและมีวัชพืชงอกเต็มไปหมด
ดูภายนอกบ่อน้ำแห่งนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง เหมือนสิ่งที่เด็กน้อยสามขวบน้ำมูกไหลย้อยก่อขึ้นตอนเล่นดิน สิ่งเดียวที่ทำให้คนมองแล้วรื่นหูรื่นตาคือน้ำในบ่อใสกระจ่างและเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง ใกล้กับขอบบ่อมาก ขณะมีลมพัดมา สามารถเห็นผิวน้ำกระเพื่อมนิดๆ น้ำในบ่อราวกับจะไหลและไม่ไหลออกมา
ขณะที่ทั้งสองคนยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ก็มีนกสามตัว สัตว์ปิศาจขนาดเล็กสองตัวแล่นมาราวกับด้านข้างไม่มีใคร ดื่มน้ำในบ่อ จากนั้นก็จากไปอย่างช้าๆ โดยไม่เหลือบแลพวกเขาสองคน
คิดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาขนาดนี้ สัตว์ปิศาจที่นี่กล้ามาก จินเฟยเหยาเหล่มองสัตว์ปิศาจตัวเล็กๆ ที่หันก้นให้นางและย่างเท้าเล็กๆ เตรียมจากไป รู้สึกเหมือนสมควรจะสั่งสอนพวกมันหน่อย ให้พวกมันรู้ว่าสิ่งใดเรียกว่าอันตราย
“พอแล้ว อย่าก่อเรื่อง รีบปล่อยสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณให้เป็นอิสระ พวกเราจะได้จากไป” ปู้จื้อโหยวดึงนางไว้อย่างเบื่อหน่ายสุดขีด รู้ว่ายายนี่คงคิดจะทำเรื่องน่าเบื่ออะไรอีก
ตั้งแต่นางดูดซับหยวนอิงทั้งหมดเมื่อสิบวันก่อนก็อยู่ว่างจนเบื่อหน่าย ท้องและใบหน้าไม่บวมอย่างยากลำบาก นางกลับตะโกนว่าหิวอีกแล้ว ขนาดปู้จื้อโหยวยังฟังจนอยากจะกระอัก นี่มันคนและกระเพาะบ้าๆ อะไร
“สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอยู่ที่เจ้า เจ้าปล่อยมันไปก็พอ” จินเฟยเหยามองเขาแล้วเอ่ยวาจา มีท่าทางคร้านจะขยับตัว
ปู้จื้อโหยวได้แต่นำขวดออกมาอย่างจนปัญญา และเปิดฝาขวดออก ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้พลังวิญญาณจับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไว้ สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพุ่งออกมา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสูงสองจั้งกว่า เห็นมันหยุดชะงักอยู่ครึ่งอึดใจก็ตะกุยเท้าวิ่งผ่านพุ่มพฤกษ์ไปกลางอากาศ
เดิมทีจินเฟยเหยายังรอดูว่าจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดอะไร ทว่ากลับเห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณวิ่งไปเหมือนปกติ นางมองปู้จื้อโหยวอย่างว่างเปล่า “ข้าก็ถือว่าเป็นคนพูดได้ต้องทำได้ ไม่ว่าที่นี่จะใช้น้ำพุความฝันหรือไม่ ถึงอย่างไรบนก้อนหินก็เขียนไว้ อีกทั้งยังเป็นทางที่มันชี้เอง ถึงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น และมันวิ่งหนีไปแล้ว แต่ก็ถือว่าข้าพูดได้ทำได้สินะ?”
ปู้จื้อโหยวมองนาง กำลังคิดจะผงกศีรษะ ในป่าพลันมีนกที่ตื่นตระหนกบินขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพกดดันอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ กดทับคนทั้งสองให้นอนลงกับพื้นทันที
น้ำในบ่อน้ำผุพังแห่งนี้พลันลอยออกมาและกลายเป็นแขนน้ำยาวๆ ข้างหนึ่ง ยื่นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว หยดน้ำสาดกระเซ็น สายลมคลั่งพัดขึ้นรอบด้าน ใบไม้ปลิวว่อนทันที จากนั้นจินเฟยเหยาก็เบิกตาโต เห็นแขนน้ำชักกลับมา สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนั้นถูกแขนน้ำคว้าไว้อย่างแน่นหนาแล้วเก็บลงในบ่อน้ำ
จากนั้นแขนน้ำก็กระแทกลงในบ่อน้ำ รอบด้านพลันกลับคืนสู่สภาพเดิม สายลมหยุดพัด อานุภาพกดดันหายไป หากมิใช่มีรอยน้ำเต็มพื้น ทุกแห่งหนล้วนเป็นใบไม้ระเกะระกะ จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวต่างนึกว่าเมื่อครู่เพิ่งเห็นภาพหลอน
ทั้งสองคนสบตากัน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นในเวลาเดียวกัน “พวกเราไปเถอะ”
สบตากันแล้ว ทั้งสองคนก็ถอยหลัง ถอยไปสามก้าว อานุภาพกดดันพลันปรากฏขึ้นอีก “รีบหนี!” ปู้จื้อโหยวตะโกนลั่น ใช้มือผลักจินเฟยเหยา แล้วหายวับไปจากที่เดิม ส่วนจินเฟยเหยาถูกเขาผลักก็หยิบยืมแรงกำลังคิดจะหลบหนี แขนน้ำในบ่อพลันปรากฏขึ้นอีก ใช้มือกวาดม้วนจินเฟยเหยาเอาไว้
จินเฟยเหยาเห็นปู้จื้อโหยวหายไป พลันนึกได้ว่าตอนนั้นจอมมารหลงมอบมุกเทียนจี้ให้เขา ดูเหมือนจะเคยบอกไว้ว่า ถ้าเจออันตรายก็สามารถหลบเข้าไปได้ ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะหลบเข้าไปโดยไม่พาข้าไปด้วย จินเฟยเหยามีโทสะจนตะโกนลั่น “อาปู้เจ้าคนสารเลว! คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งข้าไว้แล้วหนีไปคนเดียว!”
ยังพูดไม่จบแขนน้ำก็ลากลงไปในบ่อ หลังน้ำกระเซ็น รอบด้านก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เงาร่างวาบขึ้น ปู้จื้อโหยวปรากฏตัวขึ้นข้างบ่อน้ำด้วยสีหน้าจนใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มุกเทียนจี้เพียงพาตนเองเข้าไปได้เท่านั้น ต่อให้ข้าอยากพาเจ้าเข้าไปด้วยก็ทำไม่ได้ ข้าไม่ได้ตั้งใจทิ้งเจ้าไว้ เมื่อครู่เป็นความเคลื่อนไหวตามความเคยชิน สมองข้ายังไม่ทันได้คิด การรับรู้ก็โยนตัวเองเข้าไปแล้ว”
ปู้จื้อโหยวคิดจะวนรอบบ่อน้ำรอบหนึ่ง ขณะที่ดูว่ามีที่ใดสามารถพาจินเฟยเหยาออกมาหรือพาตนเองเข้าไปได้หรือไม่ น้ำในบ่อน้ำก็ยื่นมาอีก ครั้งนี้ปู้จื้อโหยวฝืนสะกดความอยากจะหายแวบเข้าไปในมุกเทียนจี้ของตนเองไว้ ถูกแขนน้ำกวาดม้วนและลากเข้าไปในบ่อน้ำ
รู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าพราย ใต้เท้าเหยียบพื้น ปู้จื้อโหยวก็เห็นจินเฟยเหยากอดอกมองเขาอย่างมีโทสะ จินเฟยเหยาเห็นปู้จื้อโหยวเข้ามาก็ชี้เขาพลางเอ่ยว่า “เขาเป็นคนพาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมาและปล่อยเป็นอิสระ”
“เอ๋!” ปู้จื้อโหยวสูดลมหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาไม่กี่อึดใจยายนี่จะเริ่มแก้แค้นแล้ว
ปู้จื้อโหยวสงบจิตใจลงจึงพบว่าสถานที่ซึ่งตนเองอยู่เป็นถ้ำศิลาธรรมดาแห่งหนึ่ง บนผนังศิลาเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีที่ราบเรียบสักแห่ง พอเห็นก็รู้ว่าเจ้าของถ้ำเซียนแห่งนี้เป็นคนเกียจคร้าน สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือบนผนังศิลาวาดคาถาแน่นขนัด นอกจากบนพื้นที่ไม่มีคาถาแล้ว สถานที่อื่นๆ กลับมีคาถาอยู่เต็มไปหมด
จินเฟยเหยายืนอยู่กลางถ้ำ ด้านข้างนางมีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนหนึ่งอายุราวสามสิบสี่สิบปี สีหน้าเย็นชา
อาศัยประสบการณ์ที่พเนจรไปทั่วสารทิศมานานหลายปี ปู้จื้อโหยวดูออกทันทีว่า นี่คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างช่วงต้น เขารีบคารวะอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยปู้จื้อโหยว คารวะผู้อาวุโส”
ปู้จื้อโหยวมีมารยาทเพียงพอแล้ว ทว่าเวทมองทะลุของจินเฟยเหยาย่ำแย่ยิ่ง นางเพียงรู้ว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของคนเบื้องหน้าสูงส่ง ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับจอมมารหลง เห็นปู้จื้อโหยวปราศจากท่าทางเอื่อยเฉื่อย ก็ชี้เขาแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เขาเป็นคนพาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมา ท่านจับคนผิดแล้ว ตอนนี้เขาเข้ามาแล้ว ท่านปล่อยข้ากลับไปได้หรือไม่?”
ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างตกตะลึง น่าชังนัก คิดไม่ถึงว่าในเวลาสำคัญจะให้ผู้อื่นแบกหม้อดำทันที เจ้าพามันขึ้นมาจากโลกวิญญาณเป่ยเฉินเองชัดๆ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย!
ส่วนจินเฟยเหยากลับกระพริบตาให้เขา ความหมายในดวงตาคือ เจ้ามีมุกเทียนจี้ รอข้าหนีออกไปแล้ว เจ้าก็สามารถหลบอยู่ด้านในได้หลายร้อยปีโดยไม่ต้องกลัว
คนเบื้องหน้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างนะ แค่สายตาก็สามารถสังหารคนได้แล้ว ปู้จื้อโหยวไม่กล้าพูดจาเหลวไหล สองมือคำนับ ขณะกำลังคิดจะอธิบาย สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไม่ใช่สิ่งของ ไม่น่าถึงขั้นเกิดความคิดสังหารคน อีกทั้งพลังการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมากขนาดนี้ น่าจะไม่คู่ควรแก่การลงมือ ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้พลันเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าพาสัตว์ภูติกลับมาให้ข้า ข้าสมควรจะมอบของขวัญให้เจ้า ว่ามาเถอะ เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“เอ๋?” จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวตะลึงงันในเวลาเดียวกัน ที่แท้จับพวกเขาเข้ามามิใช่เพื่อคาดคั้นเอาผิด ทว่าเพื่อประทานรางวัล
“ผู้อาวุโส สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้…” ปู้จื้อโหยวยังพูดไม่จบ จินเฟยเหยาก็ถลันมาขวางเบื้องหน้าเขา
“ผู้อาวุโส สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้เป็นสตรีที่ข้าดูแลมาห้าสิบปี หลังจากถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคืนชีพก็จำได้ว่าข้าดีต่อนางจึงให้ข้าช่วยส่งมันกลับมา อาปู้ช่วยข้าพามันมาตลอดทาง หลังจากมาถึงที่นี่ข้าก็ให้เขาปล่อยสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณให้เป็นอิสระ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลย เขาทำโดยไม่เปลืองแรงสักนิด” จินเฟยเหยาขวางเบื้องหน้าปู้จื้อโหยวแล้วพูดเป็นต่อยหอย
หลังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างคนนี้มองจินเฟยเหยาด้วยดวงตาชืดชา ก็เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เจ้ายังจำตอนที่เพิ่งเข้ามาได้หรือไม่ ข้าถามเจ้าแล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร?”
ถึงดวงตาของเขาจะสงบนิ่ง ทว่าจินเฟยเหยากลับเห็นเจตนาสังหารอันไร้ที่สิ้นสุด นางสูดจมูกเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าบอกว่าอาปู้เป็นคนพาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณมา ข้าเพียงแค่ตามเขามาด้วย และขอร้องให้ท่านปล่อยข้าไป”
“ถอยไป” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
จินเฟยเหยากัดริมฝีปาก เดินถอยไปอยู่อีกข้างหนึ่งอย่างช้าๆ
ปู้จื้อโหยวถูกฉากนี้ทำเอาโง่งมไปเล็กน้อย นี่เรียกว่าปิ่งไส้เนื้อร่วงลงมาจากฟ้าหรือ? เห็นจินเฟยเหยามีสีหน้าเศร้าเสียใจ เขาก็บอกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างคนนี้อย่างเคารพ “อยากจะขอให้ผู้อาวุโสประทานเคล็ดวิชาชุดหนึ่ง”
ผู้อาวุโสคนนี้มองพินิจปู้จื้อโหยว แล้วเชิดหน้าขึ้นนิดๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้ใช้วงเวทศร? ข้ามีวงเวทหมื่นศรพลิกวิญญาณอยู่เล่มหนึ่งพอดี มีทั้งหมดเก้าขั้น แต่ละขั้นมีวงเวทศรหนึ่งชุด แปรเปลี่ยนได้นับพันนับหมื่น ก่อนขั้นว่างเปล่าไม่ต้องเปลี่ยนเคล็ดวิชา ด้านในมีวิธีหลอมสร้างศรอาคมเก้าชนิด ถ้าจะใช้วงเวทศรทั้งเก้าชนิดต้องหลอมสร้างศรอาคมทั้งหมดออกมา”
หลังเอ่ยจบ เขาก็หยิบป้ายหยกสีดำชิ้นหนึ่งออกมาและให้ลอยกลางอากาศมาถึงมือของปู้จื้อโหยว
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ปู้จื้อโหยวขอบคุณอย่างปีติยินดียิ่ง
จากนั้นได้ยินผู้อาวุโสคนนี้เอ่ยอย่างชืดชา “หลังจากออกไปห้ามแพร่งพรายสถานที่ที่ข้าอยู่ ไม่เช่นนั้น…ไปเถอะ”
สิ้นเสียง ปู้จื้อโหยวรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าพราย คนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างบ่อน้ำอีกครั้ง เรื่องเมื่อครู่ราวกับฝันไป ทำให้เขาอดใช้การรับรู้ตรวจสอบป้ายหยกในมือไม่ได้ เป็นวงเวทศรที่ลึกล้ำสุดจะหยั่งฉบับหนึ่งจริงๆ
ขณะที่เขามองอย่างยินดี พลันนึกถึงจินเฟยเหยาขึ้นได้จึงมองไปด้านข้าง พบว่าจินเฟยเหยายืนอยู่ห่างจากเขาห้าก้าว กำลังใช้มือปิดปาก น้ำตาไหลอาบหน้า
“เจ้าร้องไห้แล้ว…” ปู้จื้อโหยวชะงักไปนิดหนึ่งจึงเอ่ยออกมา
…………………………….
[1] น้ำปุ๋ยจะได้ไม่ไหลเข้าที่นาของผู้อื่น หมายถึง ผลประโยชน์จะตกสู่คนกันเอง ไม่ใช่คนนอก