คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 260 กินเรียบทั้งดำขาว
ใต้เท้าหลงมองผู้อาวุโสขั้นว่างเปล่าสิบสองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พวกเขาคือตัวแทนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดของเผ่ามาร ถ้าเลื่อนขึ้นเป็นขั้นผสานร่างคงไปโลกตู้เทียนนานแล้ว นานๆ ลงมาสักครั้ง ก็ต้านทานสายฟ้าทั้งวันเพียงเพื่อได้สิ่งของป้องกันสายฟ้าเล็กน้อยเท่านั้น
มองผู้อาวุโสเผ่ามารสิบสองคน ใต้เท้าหลงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนล้วนปั้นยาก ทว่าเขาก็คร้านจะถามมากความ จึงนั่งมองพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่ตรงนั้น
คนกลุ่มนั้นนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ใต้เท้าหลงพลันเอ่ยว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรข้าจะกลับล่ะ” เอ่ยพลางเตรียมจะลุกขึ้น
เห็นเขาจะไป ชายชราที่มีผมขาวโพลนทั้งศีรษะกลางบรรดาผู้อาวุโสพลันเอ่ยปากเรียกเขาไว้ “หลง เดี๋ยวก่อน”
“พวกท่านเรียกข้ามามีเรื่องอะไรกันแน่?” ใต้เท้าหลงนั่งลงอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับมีเรื่องที่ยากจะกล่าวออกจากปาก ชายชราผู้นี้ลังเลอยู่นาน ในที่สุดจึงเอ่ยปากถาม “เมืองซันจือแตกแล้ว ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของพวกเรา ทว่ามีเรื่องหนึ่งแพร่มาจากเมืองซันจือ พวกเราจึงคิดจะมาถามเจ้าดู”
“มีเรื่องอะไร? ผู้อาวุโสเซิ่นพูดมาให้ชัดเจนเถอะ” หลงขมวดคิ้ว รู้สึกหมดความอดทนอยู่บ้าง
“เจ้าเคยบอกว่าตอนนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเผ่ามนุษย์ปล่อยเจ้าออกมาจากผลึกกักมาร เรื่องนี้พวกเราทั้งหมดรู้ดี เพียงแต่เรื่องนี้ยังมีข่าวลืออื่นๆ อีก บอกว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นให้กำเนิดบุตรีคนหนึ่ง?” ดวงตาชราของผู้อาวุโสเซิ่นจับจ้องหลง เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
“หา?” หลงตะลึงงัน รู้สึกไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง
เห็นปฏิกิริยาของหลง ผู้อาวุโสเซิ่นจึงเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริง “หงจับตัวผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวมช่วงต้นได้ ขณะกำลังคิดจะสังหารนาง นางกลับบอกว่าเป็นบุตรสาวที่เจ้าและผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นให้กำเนิด อีกทั้งนางยังเป็นเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ และมีเกาะลอยได้เล็กๆ ที่เจ้าใช้เมื่อเยาว์วัย ทั้งยังบอกลักษณะพิเศษของเจ้าไว้ไม่น้อย มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?”
พอหลงได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่ายายนี่จะแล่นถึงไปโลกระดับเทพ ทั้งยังพูดจาเหลวไหลเพื่อเอาชีวิตรอด
เห็นเขาไม่ส่งเสียง ผู้อาวุโสเซิ่นก็พูดอีกว่า “สิ่งที่เผ่ามารของพวกเราใส่ใจคือสายโลหิต สายโลหิตของตระกูลพวกเจ้ามีพรสวรรค์อย่างยิ่งในด้านการฝึกบำเพ็ญ คิดไม่ถึงว่าน้องสาวของเจ้าและผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งจะให้กำเนิดโหยว เขากลับไม่ได้สืบทอดพรสวรรค์ของตระกูลพวกเจ้า แต่ไม่ได้สืบทอดก็ดี คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เจ้ากับผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ก็ให้กำเนิดบุตรสาวข้างนอก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองพี่น้อง!”
“ตอนนี้จะจัดการกับเด็กหญิงคนนี้อย่างไร หรือว่าจะรับกลับมา? ถึงตำแหน่งในเผ่ามารของเจ้าจะสูงส่ง ทว่าก็เพิกเฉยต่อความเห็นของบรรดาผู้อาวุโสไม่ได้ แบบนี้ต่อไปเจ้าจะเข้าสู่ตำหนักผู้อาวุโสได้อย่างไร” ผู้อาวุโสเซิ่นพูดไม่หยุดจนน้ำลายกระเซ็น ยิ่งพูดก็ยิ่งเบิกบานใจ
เผ่ามารให้ความสำคัญกับสายโลหิตเป็นพิเศษ อีกทั้งระดับชั้นระหว่างคนธรรมดาและชนชั้นสูงยังเคร่งครัดยิ่ง อย่างหลงที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งทั้งยังมีฐานะเป็นชนชั้นสูงหมื่นปี สายโลหิตถูกเผ่ามนุษย์พาไปเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง ไหวให้กำเนิดเด็กน้อยแก่เผ่ามนุษย์แล้ว นางเป็นสตรีก็แล้วไป ทว่าหลงเป็นบุรุษ ภาระของทั้งตระกูลอยู่ที่เขา ตอนนี้กลับให้กำเนิดเด็กน้อยเผ่ามนุษย์อีก หรือว่าคิดจะรวมเผ่าพันธุ์!
ไม่ว่าผู้อาวุโสเซิ่นจะพูดอย่างไร หลงก็นั่งมองเขาอยู่ตรงนั้นตลอดและไม่เอ่ยวาจาสักประโยค ทุกคนนึกว่าเนื่องจากครั้งนี้ทำผิดใหญ่หลวงเจ้าหมอนี่จึงรู้สึกผิดและมีการกระทำผิดไปจากในยามปกติ
“หึ” ทันใดนั้น หลงพลันหัวเราะ จากนั้นก็หัวเราะอย่างหนัก
ผู้เฒ่าเซิ่นที่กำลังพูดจาอยู่เป็นใบ้ไปทันที ภายในห้องทั้งหมดเงียบกริบ มีเพียงเสียงหัวเราะของหลงที่ดังไม่ขาดสาย
ผู้เฒ่าเซิ่นนึกไม่ออกว่าครั้งล่าสุดหลงหัวเราะเมื่อใด จริงสิ หลายพันปีก่อน ตนเองเพิ่งเข้าสู่ขั้นแปลงจิต ส่วนหลงก็เพิ่งขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย อยู่ห่างจากขั้นแปลงจิตเพียงก้าวเดียว ครั้งนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตของเผ่ามนุษย์มาหยามเกียรติเขา เขาก็หัวเราะเช่นนี้ หัวเราะอย่างเบิกบานใจยิ่ง หัวเราะจนทำให้ใจคนสั่นสะท้าน
สุดท้ายไม่เพียงหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเผ่ามนุษย์คนนั้นถูกเขานำไปจุดตะเกียงวิญญาณ ใช้เวทมนตร์ในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญทำให้ร่างกายกลายเป็นหุ่นเชิด และคุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักของหลงทั้งวัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าถูกเขาโยนทิ้งไว้ที่ใดแล้ว ทั้งยังเข้าโลกเผ่ามนุษย์ ฆ่าล้างสำนักของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นโดยไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ขณะนั้นเขาเพิ่งขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ในสำนักแห่งนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จำนวนไม่น้อยก็ยังถูกเขาซึ่งมีนัยน์ตาแดงก่ำและโลหิตอาบร่างสังหารจนเกลี้ยง
ผู้อาวุโสเซิ่นยังจำได้ รอจนเขารุดไปช่วยเหลือ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นซากศพกองเป็นทะเล ส่วนหลงนั่งโลหิตท่วมร่าง ดวงตาสองข้างยังเย็นชาดังเดิม มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เรื่องนี้คนเผ่ามารรู้กันแทบทั้งนั้น รอยยิ้มของหลงกลายเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เขาก็กลายเป็นเทพในใจของผู้เยาว์รุ่นหลัง ตอนนี้เขาหัวเราะจนกลายเป็นแบบนี้ทำให้ผู้อาวุโสในที่นั้นตกใจกลัว ผู้อาวุโสเซิ่นเปลี่ยนน้ำเสียงทันควัน เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “หลง ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเผ่ามนุษย์เผยแพร่ออกมามั่วซั่วเพื่อโจมตีขวัญกำลังใจทหารเรา พวกเราต้องไปคิดบัญชีกับพวกเขาแน่! คิดไม่ถึงว่าจะพูดจาเหลวไหลแบบนี้”
“เรื่องนี้เป็นความจริง ข้านอนกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเผ่ามนุษย์ที่ทำลายผลึกกักมารคนนั้นจริงๆ เรื่องนี้ไม่ต้องให้พวกท่านลงมือ ข้าจะจัดการเอง” หลงหยุดหัวเราะ แล้วมองผู้อาวุโสสิบสองคนนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา
“พวกเราก็คิดแบบนี้ อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในบ้านเจ้า” หลังจากผู้อาวุโสเซิ่นชะงักไปจึงเอ่ยวาจา
นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นจะมาหาหลง เขาจึงกล่าวอำลาอย่างเย็นชาแล้วเดินออกไป
หลงยืนอยู่นอกตำหนักในที่สูงมองลงมายังผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองภูเขาเบื้องล่าง แล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “จินเฟยเหยา…ข้ากำลังขาดสัตว์เฝ้าบ้านหนึ่งตัวพอดี”
ส่วนข้างน้ำพุความฝันที่ห่างไกลออกไป ปู้จื้อโหยวกำลังยืนอยู่กับสัตว์เฝ้าบ้าน มองสัตว์เฝ้าบ้านน้ำตาร่วงแหมะๆ
คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะร้องไห้เพราะเรื่องนี้ ปู้จื้อโหยวลูบศีรษะอย่างลำบากใจอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าลงมองป้ายหยกในมือ สุดท้ายตัดสินใจกัดฟันเอ่ยว่า “เคล็ดวิชาฉบับนี้มอบให้เจ้าก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าไม่ได้ใช้ลูกศร นี่เป็นกรรมตามสนองเจ้า ใครให้เจ้าเอ่ยปากพูดจาเหลวไหลเล่า ครั้งนี้เจ้าได้รับกรรมตามสนองเอง อย่าร้องไห้เลย อายุตั้งหลายร้อยปีแล้ว ไม่กลัวถูกคนเห็นเข้าแล้วหัวเราะเยาะหรือ”
จินเฟยเหยาเช็ดน้ำตาพลางสูดจมูกเอ่ยว่า “เคล็ดวิชาบ้าบออะไร ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ข้าทนอยู่ในนั้นตั้งนาน เจ้าไม่รู้หรอก ยืนอยู่ด้านข้างก็สามารถได้กลิ่นหอม ข้าไม่เคยเห็นสิ่งที่น่าอร่อยขนาดนี้มาก่อน อยู่ใกล้ปากแต่กลับกินไม่ได้ ตอนนี้ขนาดห้วงการรับรู้ของข้ายังเสียใจ จินตันก็เจ็บปวดแทบตาย แบบนี้จะไม่ให้ข้าร้องไห้ได้อย่างไร บางทีชาตินี้คงไม่ได้พบสิ่งของที่น่าอร่อยขนาดนี้อีก”
“กิน? เจ้ากำลังพูดถึงอะไร หรือว่าไม่ใช่เพราะข้าเอารางวัลของเจ้าไป?” ปู้จื้อโหยวมองนางด้วยสีหน้างุนงง รู้สึกเหมือนทั้งสองคนพูดคนละเรื่องกัน
จินเฟยเหยาสูดจมูกต่อ ทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ก็ผู้อาวุโสขั้นผสานร่างคนนั้นนั่นแหละ ข้าอยากกินหยวนอิงของ…”
ยังเอ่ยไม่จบ ปู้จื้อโหยวพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ใช้มืออุดปากจินเฟยเหยา จากนั้นแม้แต่พัดปาเจียวก็ไม่นำออกมา ใช้เวทย่นปฐพีลากจินเฟยเหยาวิ่งตะบึงออกไป
“ไม่เสียทีที่เป็นเทาเที่ย มีความกล้าไม่เบาจริงๆ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างยังอยากกิน ถ้าข้ายังอยู่ขั้นว่างเปล่าต้องเอาเจ้าไว้เฝ้าบ้านแน่ น่าเสียดายตอนนี้ข้ายังต้องต้านทานอัสนีสวรรค์ ไม่มีทางเลี้ยงเทาเที่ยจนโตได้ น่าเสียดายจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่างคนนั้นลูบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสูงครึ่งตัวคนในถ้ำเซียนพลางเอ่ยอย่างชืดชา
สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณส่ายหัว ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นตบหัวมันเบาๆ “ข้าเลี้ยงเจ้าก็ใช้เวลายาวนานขนาดนี้แล้ว ถ้ามิใช่ทิ้งการรับรู้ไว้ในร่างของเจ้า ยังไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงพาเจ้ากลับมาได้ เห็นวิญญาณเจ้ากินไปไม่น้อย ตระกูลหวาน่าจะดีต่อเจ้าไม่เลว”
“โฮก” สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคำรามต่ำๆ ถูไถหัวเข้ากับร่างของผู้บำเพ็ญเซียน
ทางด้านปู้จื้อโหยวนำเรี่ยวแรงดูดน้ำนมมารดาออกมาฉุดลากจินเฟยเหยาวิ่งตะบึงไปร้อยหลี่ หลังจากมั่นใจว่าหนีออกมาพ้นรัศมีการโจมตีของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่าง เขาจึงหยุดลงหอบหายใจแฮ่กๆ
“ยาย…ยายโง่! เจ้าพูดแบบนี้ต่อหน้าเขา รำคาญในการมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่!” ปู้จื้อโหยวชี้หน้าด่าทอจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ ท่าทางน่าสงสารเมื่อครู่หายไปจนเกลี้ยง “กลัวอะไร ผู้อื่นเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นผสานร่าง มองดูตามสบายก็ต้องรู้สภาพของข้าแล้ว อีกทั้งสิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริง นี่มิใช่ข้าอยากกิน แต่เป็นเจ้าตัวตะกละในห้วงการรับรู้อยากกิน ตอนนี้มันเจ็บปวดแทบตาย กำลังกลิ้งไปมา”
ครั้งนี้นางกลับไม่ได้พูดจาเหลวไหล ตอนนี้เทาเที่ยกำลังกลิ้งอย่างเดือดดาลอยู่ในห้วงการรับรู้ หลายวันก่อนเพิ่งกินจนพุงกาง ตอนนี้ได้แต่มองอาหารเลิศรสแต่กลับกินไม่ได้จึงมีโทสะจนร้องคำรามไม่หยุด มันบิดก้นอ้วนใหญ่กลิ้งอยู่ในทะเลสีดำในห้วงการรับรู้ ในลำคอยังส่งเสียงดังฮึดฮัดไม่หยุด
แค่นี้ยังไม่พอ จินเฟยเหยายังใช้นิ้วนับ “เลยขั้นกำเนิดใหม่ไปคือขั้นแปลงจิต ขั้นแปลงจิตข้าเคยเห็นแล้ว หยวนอิงมีกลิ่นหอมมากกว่าขั้นกำเนิดใหม่จริงๆ ถัดไปคือขั้นว่างเปล่า ข้ายังไม่เคยเห็นหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่า น่าจะน่ากินมากกว่าขั้นแปลงจิตนะ ขั้นผสานร่างเหนือกว่าขั้นว่างเปล่าหนึ่งขั้น มิน่าเล่าทั่วทั้งร่างแม้แต่ใบหน้าก็แทบจะมองเห็นไม่ชัด ได้แต่กลิ่นหอมหวน ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นมหายานจะมีรสชาติอย่างไร อยากจะลองชิมจริงๆ”
เห็นท่าทางน้ำลายสอของนาง ปู้จื้อโหยวจึงด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี “ทำไมเจ้าจึงไม่อยากกินผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสู่สวรรค์ถัดจากขั้นมหายานเลยล่ะ คนเหล่านี้น่าอร่อยกว่าเยอะ ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สติสัมปชัญญะต้องถูกเทาเที่ยยึดครองแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าคงต้องไปช่วยบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเฝ้าประตูสำนักจริงๆ”
“กินเก่งมิใช่เรื่องดีหรือ?” จินเฟยเหยาเบ้ปากเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าเอาเปรียบข้าก็สมควรรับผิดชอบข้าใช่หรือไม่”
ปู้จื้อโหยวกระโดดขึ้นมาราวกับเหยียบถูกกองไฟ “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล! ข้าเอาเปรียบเจ้าเมื่อใด! อย่างมากข้าก็ฉุดดึงแขนเจ้า เจ้าเพิ่งบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องข้า ตอนนี้ยังคิดจะทำลายชื่อเสียงของข้าอีก!”
เห็นเขามีท่าทางปั่นป่วนสุดขีด จินเฟยเหยาก็กระพริบตาเอ่ยว่า “ที่ข้าพูดคือเจ้าอาศัยข้าจึงได้เคล็ดวิชาชุดนี้มา หรือว่าไม่ได้เอาเปรียบข้า ข้าโมโหแทบตาย เห็นได้ชัดว่าเป็นของขวัญขอบคุณข้า สุดท้ายกลับกลายเป็นของเจ้า ตอนนั้นเจ้าปฏิเสธไม่ได้หรือ ยังเอ่ยปากขอสิ่งของจริงๆ และเอาไปโดยไม่เกรงใจอีก เจ้าทำอะไรลงไป!”
ปู้จื้อโหยวไม่ยอมมอบสิ่งของออกมาหรอก เขาทำท่าทางว่าเข้าใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จริงสิ เจ้าบอกว่าจะหาสถานที่แห่งหนึ่งตั้งใจฝึกบำเพ็ญ อยู่ในโลกระดับเทพมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงหน่อยจะดีกว่า ข้าว่าเจ้ากินหยวนอิงแล้ว อย่างไรก็ต้องเลื่อนเป็นขั้นหลอมรวมช่วงกลาง ไป ข้าจะพาเจ้าไปหาสถานที่ซ่อนตัวดีๆ หลังจากหาที่พักเรียบร้อยแล้วข้าค่อยไปจัดการธุระ”
“อย่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญอยู่” จินเฟยเหยาเหล่มองเขาแล้วเอ่ยวาจา
“เฮ้อ ถือว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว” ปู้จื้อโหยวถอนใจ เอ่ยอย่างจนปัญญา “เอาอย่างนี้ ครั้งนี้ถือว่าข้าผิดต่อเจ้า ทว่าข้าต้องการเคล็ดวิชานี้จริงๆ ข้าจะเอาตัวเองชดเชยให้เจ้า พลีกายใช้หนี้น่ะ”
“ไปตายเสียเถอะ!” จินเฟยเหยายกกำปั้นขึ้นชกไป ปู้จื้อโหยวกลับหายตัวแวบ หัวเราะแล้ววิ่งหนีไป
จินเฟยเหยาไล่ตามเขาไม่ทัน ได้แต่ด่าทออย่างดุร้าย “ชาติที่แล้วข้าทำชั่วอะไรไว้ ชาตินี้จึงต้องเจอกับเจ้าสารเลวพวกนี้”
สุดท้ายเรื่องนี้ปู้จื้อโหยวก็เป็นแรงงานจัดการแก้ปัญหา ทั้งสองคนหาสถานที่มากมาย ในที่สุดก็หาเกาะลอยได้แห่งหนึ่งพบในโลกระดับเทพส่วนนอก เกาะมีขนาดไม่ใหญ่นัก กว้างเพียงยี่สิบสามสิบหลี่ บนเกาะมียอดเขาแห่งหนึ่ง ในนั้นมีนกตงจือขั้นหกฝูงหนึ่งอาศัยอยู่
นกพวกนี้ล้วนอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง อีกทั้งยังชอบอาศัยอยู่ในถ้ำภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจัดการนกตงจือทั้งหมด จากนั้นย้ายไปอาศัยอยู่ในถ้ำ ดังนั้นปู้จื้อโหยวจึงรับหน้าที่เป็นคนไล่นก
จินเฟยเหยานั่งอยู่ไกลๆ อย่างสบายอารมณ์ มองปู้จื้อโหยวเข้าไปในยอดเขาที่ไม่มีพืชพรรณเลยเพียงคนเดียว เห็นศรอาคมดอกแล้วดอกเล่าร่ายรำอยู่กลางอากาศ นกตงจือหลายพันตัวถูกเขาสังหารจนบินหนีไปรอบด้าน
ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ถูกต้อง ความแข็งแกร่งของปู้จื้อโหยวเหนือกว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของตัวเขาลิบลับ ถึงจะเทียบผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาร้ายกาจกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมธรรมดาหลายส่วน โดยเฉพาะศรอาคมเหล่านี้ราวกับมีชีวิต ถึงกับไม่ต้องใช้ดาบไร้ลักษณ์ที่รู้จักกันดีของเขา
ท่าทางพลังการบำเพ็ญเพียรไม่ค่อยสูง ทว่าในด้านความเชี่ยวชาญและต่อเนื่องต้องมีการสะสมพลังวิญญาณและการรับรู้จึงใช้ได้ นกตงจือสูงหนึ่งจั้งกว่าร่วงลงมาจากบนท้องฟ้าทีละตัว จินเฟยเหยาปล่อยพั่งจื่อและต้านิวออกมา ให้พวกมันสองตัวไปเก็บตานสัตว์ปิศาจ ส่วนนางรับหน้าที่พักผ่อน
ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ปู้จื้อโหยวจึงสังหารนกตงจือจนหมด จากนั้นนำจินเฟยเหยามาตรวจสอบถ้ำภูเขาที่นกตงจืออาศัยอยู่ ถ้ำภูเขาไม่ใหญ่นัก มีขนาดสิบกว่าหมู่ ทว่ากลับสูงเพียงหนึ่งถึงสองจั้ง จินเฟยเหยาจึงให้ปู้จื้อโหยวทำให้ถ้ำทั้งหมดมีขนาดความกว้างสิบหมู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง เป็นรูปวงกลมจะดีที่สุด
ปู้จื้อโหยวช่วยนางขุดถ้ำโดยไม่บ่น นางกลับนั่งกินตานสัตว์ปิศาจอยู่ด้านข้าง หลังจากขุดถ้ำภูเขาเสร็จ จินเฟยเหยาเห็นว่าขนาดเกือบได้แล้วจึงโยนเกาะลอยได้เล็กๆ มากลางถ้ำทันที
“เกาะลอยได้เล็กๆ ของท่านลุงไม่เลวเลย มีการป้องกันของตนเอง แบบนี้ลดปัญหาไปได้มาก มีบ่อน้ำมีนามีบ้านมีต้นไม้ สบายกว่าอาศัยอยู่ในถ้ำภูเขาเพียงอย่างเดียวมากนัก” จินเฟยเหยากระโดดเข้าไปในเกาะลอยได้เล็กๆ พาปู้จื้อโหยวเข้าไปดูทรัพย์สมบัติของตนเองอย่างกระหยิ่ม
ปู้จื้อโหยวดูพลางพยักหน้าเอ่ยว่า “ดูแล้วไม่เลว เพียงแต่เข้าออกลำบากเกินไป ต้องเปลี่ยนขนาดให้ใหญ่จึงใช้ได้ ไม่เหมือนของข้า แค่ขยับการรับรู้ก็เข้าไปได้แล้ว”
“…” จินเฟยเหยาไม่ส่งเสียง เพียงถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้ายหลายครั้ง
เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่เลว ถึงจะอยู่ในถ้ำภูเขา แสงมืดไปหน่อย แต่ขอเพียงแขวนศิลาแสงราตรีก็สามารถกลายเป็นกลางวันได้ ดังนั้นปู้จื้อโหยวจึงเอ่ยว่า “ข้าว่าที่นี่ใช้ได้ เจ้าอยู่ฝึกบำเพ็ญที่นี่อย่างวางใจเถอะ ถ้าไม่มีอะไรอย่าออกมาเด็ดขาด ตอนข้าไปจะช่วยผนึกปากถ้ำให้ ถ้าเจ้ามีการป้องกันก็กางไว้เป็นดีที่สุด เผื่อไว้หน่อยก็ดี”
ได้ยินคำพูดของเขา จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าจะไปแล้ว?”
“เจ้านี่พูดไร้สาระ ถ้าข้าไม่ไปจะอยู่มองเจ้าฝึกบำเพ็ญที่นี่หรือ! ข้ายังมีธุระต้องไปทำ ไม่ว่างมาฆ่าเวลากับเจ้าที่นี่” ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างไม่พอใจ หรือว่าตนเองดูเหมือนคนว่างงาน?
“มีเรื่องสำคัญอะไร?” จินเฟยเหยาสงสัยยิ่ง นอกจากแอบดูคนอื่น เจ้าหมอนี่ยังจะมีธุระอะไรได้
ที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ปู้จื้อโหยวจึงเอ่ยว่า “ตำแหน่งบนผังสงครามโลหิตของข้าจะถูกคนชิงไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ต้องการให้ข้าขึ้นมา บอกว่าห้ามทำให้นางเสียหน้า ข้าต้องฉวยโอกาสนี้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปอีกครั้ง”
“ผังสงครามโลหิต? เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นอันดับสิบเอ็ดบนผังสงครามวิญญาณมิใช่หรือ” คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะสังหารเผ่ามารและเผ่ามนุษย์ เขาล้วนมีชื่อติดอันดับอยู่บนผังแห่งการเข่นฆ่าของทั้งสองฝ่าย ทำให้จินเฟยเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับเขาเรื่องนี้!
ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างขัดเขินอยู่บ้าง “ไม่ถือว่าอันดับดีเท่าไร แค่อันดับสาม”
“เดี๋ยวนะ!” จินเฟยเหยามองเขาตาโต “เจ้าอยู่อันดับสามบนผังสงครามโลหิต เจ้าต้องสังหารคนไปมากมายเพียงใด! อีกทั้งตอนนี้เจ้าเพิ่งขั้นหลอมรวมช่วงกลาง”
ผังสงครามโลหิตมีเขียนไว้ในซื่อเต้าจิง จินเฟยเหยาเคยอ่านทว่าไม่ได้จำชื่อ เพียงรู้ว่า พวกนี้คือคนเผ่ามารที่สังหารผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ได้มากที่สุด มีชื่อบนผังถูกคนชิงชังแทบตาย
“ชื่อที่ใช้บนผังเป็นชื่อในเผ่า อันดับสามของข้าในตอนนี้ใช้ชื่อว่าโหยว แต่คนธรรมดาเพียงรู้ว่าข้าคือใต้เท้าอาปู้ ไม่รู้ว่าข้าชื่อโหยว” ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ
จินเฟยเหยาใช้นิ้วเทียบบนฝ่ามือของตนเองแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ เจ้าอยู่ที่เผ่ามนุษย์ชื่อปู้จื้อโหยว อยู่ที่โลกเผ่ามารชื่อใต้เท้าอาปู้ ส่วนบนผังสงครามโลหิต เจ้าชื่อโหยว ขอเพียงรวมเข้าด้วยกันก็คือปู้จื้อโหยวแล้ว! ของแบบนี้คิดไม่ถึงว่าเผ่ามนุษย์จะไม่รู้ โง่ไปหน่อยนะ!”
ปู้จื้อโหยวยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่มีทางเลือก ไม่มีคนพบเห็นก็คือไม่มีคนพบเห็น อาจจะเนื่องจากข้าควบคุมได้ดี อยู่อันดับที่สิบเอ็ดบนผังสงครามวิญญาณพอดี ผังสงครามวิญญาณมีสิบอันดับ ไม่ขึ้นไม่ลง ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไม่ได้ ทว่าเนื่องจากใกล้สิบอันดับแรกมาก ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงบ้าง”
“เจ้านี่เจ้าเล่ห์จริงๆ ว่าไปแล้วสมควรเรียกเจ้าว่าใต้เท้าโหยว” จินเฟยเหยาเอ่ย
“ไม่มีทางเลือก ครั้งนี้ข้าใกล้จะถูกปินที่อยู่อันดับสี่เบียดลงมาแล้ว ตระกูลนี้ชอบประชันขันแข่งกับท่านแม่ของข้า ถ้าถูกเบียดลงมา ข้าต้องถูกท่านแม่จัดการแน่ เจ้าอยู่ที่นี่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าข้าว่างจะมาเยี่ยมเจ้า ถ้าไม่ว่างข้าจะให้นกปีกสวรรค์ส่งจดหมายมาหา” ปู้จื้อโหยวนึกถึงใต้เท้าไหวที่โมโหโกรธาก็ยิ้มอย่างขมขื่น
จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างลังเล “จะไปตอนนี้เลย?”
“อืม”
“เช่นนั้นข้าขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?” จินเฟยเหยาเอ่ยผิดไปจากยามปกติ
“เรื่องอะไร?” ปู้จื้อโหยวรู้สึกประหลาดใจนิดๆ มีเรื่องอะไร คิดไม่ถึงว่าจะทำท่าทางเคร่งขรึม
จินเฟยเหยาชี้พั่งจื่อและต้านิวแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า รบกวนเจ้าดูแลเจ้าสองตัวนี้ด้วย พวกมันไม่เคยทำสัญญาโลหิตกับข้า ที่จริงไม่มีความสัมพันธ์กับข้าสักนิด อีกทั้งกินเก่งและเกียจคร้าน อายุก็เยอะแล้วต้องไม่มีใครอยากจะรับมันไว้แน่ ถ้าปล่อยให้พวกมันสองตัวเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ข้ากลัวว่าจะถูกสัตว์ปิศาจอื่นๆ หรือผู้บำเพ็ญเซียนล่าสังหารเป็นเหยื่อ”
“ความหมายของเจ้าคือให้ข้ารับพวกมันเป็นสัตว์ภูติหรือ?” ปู้จื้อโหยวมองพั่งจื่อและต้านิว ว่ากันตามจริงแล้วเขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีสัตว์ภูติ
จินเฟยเหยายิ้ม “เจ้ามีมุกเทียนจี้นี่นา โยนพวกมันสองตัวเข้าไปเลี้ยงก็พอ ต้านิวมีความสามารถต้องดูแลเจ้าได้แน่ ถ้ารู้สึกยุ่งยากเจ้าก็เลี้ยงไว้ในสวนของใต้เท้าไหว แค่ให้อาหารแล้วว่างๆ เล่นด้วยก็พอ พวกมันเกียจคร้านยิ่ง ไม่ยุ่งยากมากหรอก ทั้งยังไม่มีขนและอาบน้ำเองได้”
ปู้จื้อโหยวมองนางอย่างตั้งใจและเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่มีปัญหา เพียงแต่เกิดเรื่องที่เจ้าเอ่ยถึง เจ้าจะเกิดเรื่องอะไรได้? ถ้าถูกคนสังหาร ในฐานะที่เป็นสัตว์ภูติของเจ้าพวกมันต้องถูกกำจัดไปด้วยแน่ ไม่แน่ว่าเจ้าเห็นพวกมันสองตัวน่าเกลียด คิดจะเปลี่ยนสัตว์ภูติใหม่ ดังนั้นจึงมอบพวกมันให้คนอื่น?”
“เจ้าพูดจนข้ากลายเป็นคนแบบนั้นอีกแล้ว ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ ถูกคนสังหารอะไร พูดจาให้เป็นมงคลหน่อยไม่ได้หรือ” จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขาและเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
“แล้วคืออะไร?”
จินเฟยเหยาตบท้อง เอ่ยอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ข้ามักจะมีความรู้สึกว่า ข้าคงจะกลายเป็นเทาเที่ยเสียแปดส่วน ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ กินพวกมันสองตัว ดังนั้นจึงคิดจะให้เจ้าช่วยดูแลหน่อย”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ไม่เป็นเคล็ดวิชาทงเสินก็ต้องตอนเจี๋ยหยวนอิงจึงกลายเป็นเทาเที่ย ตอนนี้เจ้าเพิ่งขั้นหลอมรวมช่วงต้น จะกังวลเรื่องนี้ทำไม อีกทั้งข้าจะไปหาวิธีสอบถามเคล็ดวิชาทงเสินให้เจ้า ขอเพียงร่ำเรียนจนเป็นก็จะไม่มีปัญหาเลยสักนิด ผู้อาวุโสของเผ่ามารต้องรู้แน่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าจะไปถามท่านแม่ ข้ารับปากเรื่องช่วยดูแลสัตว์ภูติ แต่ถ้าไม่ได้เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าตอนเจี๋ยหยวนอิง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันและเปลี่ยนเป็นเทาเที่ยอย่างกะทันหัน” ปู้จื้อโหยวเอ่ย
จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือให้เขาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าวางใจได้ เจ้าสองตัวนี้จะต้องหนีไปล่วงหน้าแน่ ถ้าเจ้าพบพวกมันก็ดูแลหน่อย ถ้าไม่พบก็ช่างเถอะ แต่ข้าจะให้พวกมันสองตัวรอเจ้าที่นี่ ถ้าข้าเกิดเรื่องจริงๆ เจ้าต้องมาดูที่นี่หน่อย”
จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้ารู้สึกว่าสัตว์ภูติแบบนี้จะรอความตายอยู่ข้างๆ หลังจากเจ้านายกลายเป็นสัตว์ร้ายหรือ? ข้ารับประกันว่าขอเพียงเจ้าอยู่ที่โลกระดับเทพ พวกมันต้องหาทางไปหาเจ้าแน่ ถ้าเจ้ากลับโลกระดับวิญญาณ พวกมันอาจจะไปตามหาเจ้าเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างเอ้อระเหยและอิสระ”
เมื่อครู่พั่งจื่อและต้านิวเพิ่งฟังคำพูดของจินเฟยเหยาเข้าใจ ตอนนี้จึงวิ่งไปอยู่ข้างขาปู้จื้อโหยว ในมือของพั่งจื่อถือดอกไม้ดอกหนึ่ง กำลังใช้กระบวนท่าในตอนนั้นมองปู้จื้อโหยวด้วยสีหน้าน่าสงสาร ส่วนต้านิวก็ไม่สนใจว่าปู้จื้อโหยวจะยืนอยู่หรือไม่ กำลังกำมือทุบต้นขาให้เขาเบาๆ เจ้าสุนัขรับใช้สองตัวนี้ รู้จักหันหางเสือตามลมทรยศนางแล้ว
ปู้จื้อโหยวมองกบสองตัวนี้อย่างหมดวาจา รู้สึกสงสารจินเฟยเหยาทันที เลี้ยงสัตว์ภูติให้เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ ปู้จื้อโหยวรับปากเรื่องนี้ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและอาลัยอาวรณ์ของกบสองตัว จากนั้นกล่าวลาจินเฟยเหยาแล้วผนึกปากถ้ำของยอดเขาแห่งนี้จากภายนอก
จากนั้นเขาก็มองดอกไม้ที่พั่งจื่อเสียบไว้ในกล่องศรและซาลาเปาบนเอวที่ต้านิวให้พกมาด้วยให้ได้แล้วถอนหายใจยาวอย่างจนใจ เป็นคนเช่นไรก็เลี้ยงสัตว์ได้เช่นนั้น