คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 272 สุสานยักษ์
จินเฟยเหยาถูกลากมาตลอดทางจนถึงหน้ากำแพงศิลาในหลุมยักษ์ ที่นั่นมีถ้ำขนาดใหญ่สูงสิบจั้งกว่าแห่งหนึ่ง ตรงปากถ้ำมีท่อนไม้หยาบใหญ่ปักอยู่จำนวนไม่น้อย ด้านบนแขวนกระดูกสัตว์ปิศาจจำนวนมาก ที่นี่ไม่มีแสงไฟ และอยู่ห่างไกลจากที่พักอาศัยของยักษ์ตาเดียว ภายใต้สายฝนอันเย็นเยียบเห็นได้ชัดว่าบรรยากาศอึมครึมเป็นพิเศษ
จินเฟยเหยามองถ้ำอันมืดมิดแห่งนี้ ลูบศีรษะที่ถูกตีจนปูดพลางคาดเดาในใจ หรือว่าสิ่งของที่จอมมารหลงจะขโมยจะซ่อนอยู่ในนี้?
“ไป” หลงเก็บร่มสีดำแล้วเหยียบย่างเข้าไปในถ้ำ
มืดมิดไม่มีแสงไฟ ก็เอาหินแสงราตรีมาส่องสว่างสักหน่อยสิ จินเฟยเหยาเหลียวซ้ายแลขวาแวบหนึ่ง ก็พาพั่งจื่อและต้านิวติดตามด้านหลังหลงเดินเข้าไปในถ้ำ
ภายนอกยังสามารถมองเห็นสภาพรอบด้านได้รางๆ ภายในถ้ำกลับมืดสนิท ยื่นมือไปข้างหน้าก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า เบื้องหน้าพลันสว่าง หลงโยนผีเสื้อที่กระพือปีกและตลอดร่างส่องแสงออกมา
“ผีเสื้อไท่หยาง! ใต้เท้าหลง เหตุใดท่านจึงมีสิ่งนี้ได้?” จินเฟยเหยามองผีเสื้อที่บินร่ายนำตัวนั้นอย่างตกตะลึง คนผู้นี้มีทรัพย์สมบัติมากเพียงใดกันแน่
“แย่งชิงมา ถ้าเจ้าต้องการ ขอเพียงสังหารข้า เจ้าก็นำสิ่งของทั้งหมดของข้าไปได้” หลงหยุดก้าวไปข้างหน้าและหันหน้ามาเอ่ยประโยคหนึ่ง
จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก “ท่านล่อลวงข้าให้น้อยๆ หน่อย ข้าไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอก ที่จริงท่านคิดจะหาข้ออ้างมาสังหารข้าสินะ ข้าไม่โง่งมถึงขั้นนั้น”
“บางครั้งเจ้าก็ไม่เหมือนเทาเที่ย ขอเพียงมีผลประโยชน์ มันไม่เคยสนใจผลที่ตามมา” หลงเอ่ยอย่างชืดชา
“ดังนั้นมันจึงถูกคนกักขังอย่างโง่งม จากนั้นก็ถูกท่านเก็บกลับมา แต่สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดคือมันกลับไปแล้ว ส่วนข้าต้องแบกขนและหนังของมันอยู่รับความทุกข์ที่นี่” จินเฟยเหยาด่าทออย่างเดือดดาล
“เดิมทีนึกว่าลำบากหน่อย เจ้าจะควบคุมตนเองบ้าง แต่ดูแล้วเจ้ายิ่งเลวร้ายลงทุกที” ผีเสื้อไท่หยางวนรอบกายหลง สาดส่องสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของเขา ทำให้คนรู้สึกว่ายั่วโทสะ
ราวกับรู้สึกว่ามีเพียงแสงสว่างของผีเสื้อไท่หยางไม่เพียงพอ หลงจึงหยิบสร้อยหินแสงราตรีทรงกลมออกมาห้อยไว้บนปลอกคอธาราบนลำคอของจินเฟยเหยา จินเฟยเหยามองเขาอย่างช่วยไม่ได้ “ใต้เท้าหลง ท่านน่าเบื่อเกินไปแล้ว”
“ไปเถอะ” หลงไม่ต่อบทสนทนาของจินเฟยเหยา ลุกขึ้นเดินเข้าไปในถ้ำต่อ
จินเฟยเหยาอาศัยแสงสว่างนี้เดินตามเขาเข้าไปด้านใน ถ้ำสูงและกว้าง มีสถานที่หลายแห่งที่แสงส่องไม่ถึง มืดสนิท เดินไปครึ่งชั่วยามกว่า ภายในถ้ำปรากฏโครงกระดูกขนาดยักษ์มากมาย กระดูกของซากเหล่านี้มีขนาดยักษ์ และทั้งหมดล้วนมีเพียงเบ้าตาเดียว
“นี่คือซากของยักษ์ตาเดียว?” จินเฟยเหยามองเบ้าตาที่ใหญ่กว่าตนเองพวกนั้นพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
หลงหยุดอยู่หน้าซากที่อยู่ด้านนอกสุด ลูบกะโหลกอันเรียบลื่นพลางอธิบายนาง “ได้ยินว่าก่อนยักษ์ตาเดียวตาย จะมาถึงสถานที่หลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์ของพวกมัน ต่อให้ตายอยู่ข้างนอก ยักษ์ตาเดียวตนอื่นๆ ก็จะนำศพของมันส่งกลับมา”
“ฟังว่าสัตว์ปิศาจจำนวนมากล้วนเป็นเช่นนี้ มีสถานที่ซ่อนศพลับๆ โดยเฉพาะ ส่วนมากกลัวว่ากระโหลกหรือสิ่งอื่นๆ ของตนเองจะถูกผู้อื่นขโมยไป” จินเฟยเหยาเองก็พยักหน้าอย่างทรงภูมิ
“ที่เจ้าพูดก็โบราณเกินไป บางทีพวกมันแค่ทำเพื่อให้มีสถานที่หลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์” หลงมองกระโหลกศีรษะขนาดยักษ์ชิ้นนี้ น้ำเสียงเงียบเหงายิ่ง
“อุ๊บส์” จินเฟยเหยาหัวเราะขึ้นมา เงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาไม่พอใจของหลงจึงรีบพยักหน้าตอบรับ “ใต้เท้าหลงพูดได้ถูกต้อง ภายใต้ราตรีมีสายฝนพรำทั่วฟ้า สามารถหาสถานที่พักร่างอย่างสงบแห่งหนึ่งได้ ใช้เลือดเนื้อหล่อเลี้ยงแผ่นดิน กระดูกขาวเฝ้ามองชนรุ่นหลังอย่างเงียบๆ ก็ถือเป็นสง่างามอย่างหนึ่ง”
ฟังคำพูดของจินเฟยเหยาจบ หลงก็รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย แค่ดื่มน้ำชาชัดๆ เหตุใดจึงรู้สึกอยากจะสำรอก
“พิรุณไร้ใจ บุปผาราวสายธาร ชีวิตคนเราไม่จีรัง เหตุใดไม่…” จินเฟยเหยาโคลงศีรษะแต่งคำพูดที่ตนเองนึกว่าสง่างามอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นเยียบ ความรู้สึกเหมือนเมื่อร้อยปีก่อนทะลักขึ้นมา
เจตนาสังหาร เจตนาสังหารอันแข็งแกร่ง จินเฟยเหยาแอบมองไปด้านข้างแวบหนึ่ง พบว่าหลงที่ยืนอยู่ตรงกะโหลกยักษ์ตาเดียวราวกับจมลงในความมืดมิด ตรงนั้นมีเจตนาสังหารอันแข็งแกร่งส่งมาจากดวงตาของหลง
ดังนั้น ประโยคถัดจากชีวิตคนเราไม่จีรังจึงติดอยู่ในลำคอของจินเฟยเหยา นางหุบปากอย่างสงบนิ่งแล้วถอยไปด้านหลัง ไม่ส่งเสียงเพิ่มอีกสักนิด อย่างช้าๆ เจตนาสังหารที่ราวกับงูพิษจึงค่อยๆ ลดลงไป เนิ่นนานจึงได้ยินเสียงหลงดังมา “ข้าจะเก็บกระดูกเหล่านี้ไป เจ้าเฝ้าปากถ้ำให้ดี ถ้ามียักษ์ตาเดียวเข้ามาก็ตะโกนบอก”
“อ้อ” เห็นเจตนาสังหารล่าถอยไป จินเฟยเหยาจึงตอบรับคำหนึ่ง
ไม่เข้าใจว่าตนเองแค่พูดคำพูดอันสูงส่งและสง่างามนิดหน่อย เพราะเหตุใดจึงทำให้หลงมีเจตนาสังหาร แต่นางก็ไม่กล้าไปถามสาเหตุ ทว่าคาดเดาในใจว่าบางทีเนื่องจากจอมมารหลงยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่เคยเรียนหนังสือ ดังนั้นจึงอับอายกลายเป็นโทสะ
ท่าทางจอมมารก็ไมได้สมบูรณ์พร้อม จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างมั่นใจ นางรู้สึกราวกับตนเองครองความได้เปรียบจึงไปเฝ้าปากถ้ำด้วยความยินดี
หลงกลับนั่งขัดสมาธิลง มือเริ่มผนึกคาถา จากนั้นแสงสีดำสายหนึ่งโจมตีลงบนกะโหลกยักษ์ตาเดียว แสงสีดำเจิดจ้าค่อยๆ หลอมกะโหลกศีรษะชิ้นนี้อย่างช้าๆ
จินเฟยเหยาเพียงระวังไม่ให้ยักษ์ตาเดียวเข้ามาก็พอ ความสามารถการได้ยินของนางยอดเยี่ยมยิ่งไม่จำเป็นต้องวิ่งไปเฝ้าด้านนอกสุด ดังนั้นจึงนั่งอยู่ด้านข้างมองหลงหล่อหลอมกะโหลกศีรษะเหล่านี้อย่างช้าๆ
“ร้ายกาจจริงๆ ของสิ่งนี้ดูแล้วไม่เหมือนเพลิงแท้เลย คิดไม่ถึงว่าจะสามารถหลอมกะโหลกได้ ไม่รู้ว่าหลอมออกมาทำอะไร” จินเฟยเหยานอนมองอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย นึกว่ากะโหลกชิ้นหนึ่งอย่างมากครึ่งชั่วยามก็หลอมเสร็จ ผู้ใดจะรู้ว่าต้องรอถึงสิบวัน นี่หลอมออกมาเป็นสิ่งใด
ใช้เวลาสิบวันเต็มๆ เห็นกะโหลกศีรษะกว้างหลายจั้งค่อยๆ หดเล็กลง หดจนกระทั่งมีขนาดเท่ากะโหลกศีรษะคนธรรมดา หลงจึงหยุด
จ้องมองเขาเก็บกะโหลกชิ้นนี้ในถุงเฉียนคุน จินเฟยเหยากระพริบตาเอ่ยถามว่า “แค่นี้เสร็จแล้วหรือ? พวกเราสามารถไปได้แล้วกระมัง”
“ไม่ต้องรีบร้อน ยังขาดอีกแปดสิบชิ้น” หลงเอ่ยเรียบๆ
“หา!” จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึง ชิ้นหนึ่งใช้เวลาสิบวัน แปดสิบชิ้นมิต้องใช้เวลาแปดร้อยวันหรือ นั่นคือสองปีกว่า
“ข้าต้องใช้งาน เจ้าเฝ้าปากถ้ำให้ดี ถ้าหิวเจ้าก็กินตานสัตว์ปิศาจ ถ้าไม่พอข้าคิดจะให้เจ้าหาในถุงเฉียนคุนเองน่าจะมีสะสมไว้” หลงโยนถุงเฉียนคุนใบหนึ่งมาให้แล้วเดินไปยังกะโหลกยักษ์ตาเดียวอีกชิ้น
จินเฟยเหยามองถุงเฉียนคุนบนพื้น ด่าทอแล้วหยิบขึ้นมา กวาดมองดูด้านใน ถุงเฉียนคุนที่ใหญ่ขนาดนี้มีเพียงตานสัตว์ปิศาจกองหนึ่งใส่ไว้ด้านใน เห็นได้ชัดว่าน่าสงสารอย่างยิ่ง
“คิดไม่ถึงว่านอกจากตานสัตว์ปิศาจแล้วจะไม่มีสิ่งของอื่นๆ ทั้งหมดนี้เพื่อระวังป้องกันข้าแท้ๆ” จินเฟยเหยาคาบถุงเฉียนคุนขึ้นมาอย่างเดือดดาลแล้วโยนให้ต้านิวที่อยู่ด้านข้าง
ตอนนี้นางไม่มีทางห้อยถุงเฉียนคุน จึงมอบสิ่งของทั้งหมดให้ต้านิวจัดการ เห็นหลงเริ่มหลอมกะโหลกอีกชิ้นโดยไม่ต้องพักผ่อน จินเฟยเหยาคิดจะฉวยโอกาสนี้อ่านแผ่นหยกที่ปู้จื้อโหยวมอบให้ตนเอง
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อยู่ในสุสานของยักษ์ตาเดียว จอมมารหลงหลอมกะโหลกศีรษะยักษ์ตาเดียวเป็นขนาดเท่ามนุษย์ธรรมดาทีละอันแล้วเก็บไป
ส่วนจินเฟยเหยาศึกษาแผ่นหยกที่อาปู้มอบให้ บนนั้นเพียงบันทึกวงเวทเล็กๆ สามอัน ทว่าระดับความซับซ่อนทำให้จินเฟยเหยามองเห็นดาวทอง[1] ระดับความยากสูงเกินไปหน่อย แต่คิดถึงว่านี่เป็นวงเวทรักษาชีวิตของอาปู้ คาดว่าหลังจากเรียนรู้จนเป็น ของวิเศษป้องกันแบบใดก็สามารถบังคับเปิดออกได้
แต่สิ่งนี้จะให้จอมมารหลงเห็นไม่ได้ ดังนั้นนางมักจะวิ่งไปกลางโครงกระดูกยักษ์ตาเดียว หันหลังให้หลง ส่ายหางเรียนวงเวทสามอันนี้ใต้อุ้งเท้า นางซ่อนอยู่ตรงนั้นอย่างลับๆ ล่อๆ หลงอดสงสัยไม่ได้ว่านางกำลังขุดหลุมฝังตานสัตว์ปิศาจใช่หรือไม่ ตอนไม่มีจะกินจึงขุดออกมา
แต่นี่เป็นเพียงภาพหลอนในชั่วพริบตา ถึงอย่างไรยายนี่ก็ไม่ใช่สุนัขจริงๆ ต้องแอบทำเรื่องอะไรที่ให้คนเห็นไม่ได้แน่นอน แต่คิดว่านางคงทำอะไรไม่ได้ หลงจึงคร้านจะสนใจว่านางแอบทำอะไร
วันเวลาอันมืดมิดในถ้ำน่าเบื่อหน่ายยิ่ง พั่งจื่อและต้านิวไม่มีอะไรทำก็แอบหนีออกไปเล่น ถูกจินเฟยเหยาด่าทอหลายครั้งพวกมันสองตัวก็ยังหนีออกไป
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หรือว่าอาหารที่ยักษ์ตาเดียวย่างอร่อยขนาดนั้น ทำให้พวกมันสองตัวอดไปขโมยกินไม่ได้ ในคืนฝนตกหนักคืนหนึ่งจินเฟยเหยาก็ตามหลังพั่งจื่อและต้านิวไปดูสิว่าพวกมันสองตัวหนีออกไปทำอะไรทั้งวัน
รอจนจินเฟยเหยาตามพวกมันสองตัวมาถึงหน้ากระท่อมไม้ของยักษ์ตาเดียว หลังจากเห็นภาพด้านในนางก็เกือบจะมีโทสะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองตัวนี้วิ่งมาดูยักษ์ตาเดียวสร้างเด็กน้อยทุกวันราวกับมีความคิดที่ไม่เหมาะสม
หลังจากยกอุ้งเท้าขึ้นตบเจ้าสองตัวนี้แล้ว จินเฟยเหยาก็ลากพวกมันสองตัวกลับถ้ำก่อนจะถูกยักษ์ตาเดียวพบเห็น จากนั้นนางก็สั่งสอนเสียงเครียด “พวกเจ้าสองตัววิ่งไปดูของพรรค์นั้นทุกวันทำไม! คงไม่ได้คิดจะให้กำเนิดไท่จื่อโซ่วตัวน้อยๆ นะ? กบให้กำเนิดลูกอ๊อดจำนวนมาก ถ้าพวกเจ้าให้กำเนิดลูกอ๊อดนับร้อยนับพันตัว ข้าจะเลี้ยงอย่างไร?”
นางร้อนใจจนเดินไปเดินมาอยู่ที่เดิม “พวกเจ้ากินเก่งออกอย่างนี้ ถ้าให้กำเนิดไท่จื่อโซ่วจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา สวรรค์ ข้ามิยากจนตายหรือ ชีวิตนี้คงต้องถูกทำลายในมือของพวกเจ้าแน่”
พั่งจื่อมองนางอย่างตั้งใจ ไม่เข้าใจว่าจินเฟยเหยาเดินไปเดินมาทำไม ก็แค่ดูยักษ์ตาเดียวต่อสู้กัน ต้องร้อนใจจนเป็นเช่นนี้ด้วยหรือ ลูกอ๊อดเล็กๆ อะไรกัน สิ่งของยุ่งยากแบบนั้นใครจะให้กำเนิด
ต้านิวกลับมีความเห็นที่แตกต่าง ราวกับถูกจินเฟยเหยาเตือนสติ ดวงตาของมันเป็นประกาย มองพั่งจื่ออย่างคลุมเครือ
พูดอยู่นานไม่เห็นพวกมันสองตัวมีปฏิกิริยาอะไร จินเฟยเหยาได้แต่มองใต้เท้าหลง เวลานี้เขากำลังหลอมกะโหลกยักษ์ตาเดียวชิ้นสุดท้าย ขอเพียงหลอมกะโหลกชิ้นนี้เสร็จก็สามารถพาพวกพั่งจื่อไปจากสถานที่ซึ่งมีเสียงกระดานเตียงลั่นทุกคืนได้
เพียงสองปีกว่า ถึงแม้จินเฟยเหยาจะถามอยู่หลายครั้ง ทว่าใต้เท้าหลงก็ไม่ยอมบอกว่าหลอมกะโหลกศีรษะพวกนี้ไปทำอะไร
จินเฟยเหยารู้สึกหวาดผวา มักจะมีความรู้สึกว่าขอเพียงหลอมกะโหลกศีรษะเสร็จ ตนเองจะถูกบีบให้ทำเรื่องอันตรายบางอย่าง
……………………………….
[1] มองเห็นดาวทอง หมายถึง ถูกโจมตีจนมึนงงเห็นดาวเบื้องหน้า