คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 291 ดมกลิ่นแยกแยะ
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก หลังบินออกจากทะเลทรายก็ผ่านทะเลทรายเกอปี้ จากนั้นก็มาถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี
เห็นทุ่งหญ้าที่ทอดตามองไปไม่เห็นขอบเขตผืนนี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ทุ่งหญ้าที่ดีขนาดนี้ อยู่ในมือของโลกวิญญาณหนานเฟิงได้อย่างไร เลี้ยงสัตว์ปิศาจที่นี่คงเหมาะสมที่สุด
บนทุ่งหญ้ามีเนินเขาเล็กๆ จำนวนมาก บนนั้นมีดอกไม้ป่าและต้นไม้สูงเจ็ดแปดจั้งงอกงามอยู่ทั่ว บินเข้าไปข้างในก็เห็นสัตว์ปิศาจที่อยู่รวมกันเป็นฝูงจำนวนนับมากปรากฏขึ้นบนทุ่งหญ้า แต่ละฝูงมีเรือนหมื่นไปจนถึงเรือนแสนตัว ปริมาณขนาดนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกตกตะลึง
ถึงแม้สัตว์ปิศาจเหล่านี้ส่วนมากจะกินพืช ทว่าก็มีพลังทำลายล้างไม่เบา โดยเฉพาะพอพวกมันวิ่งพร้อมกันขึ้นมา เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับฟ้าร้อง
“สัตว์ปิศาจมากมายขนาดนี้ ถ้าอยู่ที่นี่ต้องกินมากเพียงใดจึงสามารถกินได้หมด” จินเฟยเหยามองสัตว์ปิศาจอันหนาแน่นเหล่านี้ อดทอดถอนใจไม่ได้
เหรินเซวียนจือมองนางอย่างดูแคลนทันที “สัตว์ปิศาจมีอะไรดี ถ้าทั้งหมดเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสตรียังคู่ควรแก่การยินดีบ้าง”
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “ที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสตรีสินะ ถึงอย่างไรสัตว์ปิศาจก็มีตัวเมีย เจ้าไม่ฝืนใจสักหน่อยล่ะ? ถ้าเจ้ายอมฝืนใจ ต่อให้ไม่มีโลหิตสัตว์เทพ เกรงว่าเจ้าคงมีพลังบำเพ็ญเพียรที่สูงส่งและแข็งแกร่งจนบรรลุขั้นแปลงจิตไปนานแล้ว”
“สัตว์ปิศาจตัวเมีย?” เหรินเซวียนจือตะลึงงันแล้วเข้าใจทันที
เขาสูดลมหายใจลึกๆ สะกดเพลิงโทสะในใจ แล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าว่าหลังจากเจ้ากลายเป็นเทาเที่ยมีขนาดตัวใกล้เคียงกับข้า ในเมื่อเจ้าไม่ยอมใช้ร่างมนุษย์มาบำเพ็ญคู่กับข้า ก็ใช้ร่างเทาเที่ยมาทำกับข้าสักรอบดีกว่า”
เขาชะงักไปนิดหนึ่ง จึงหรี่ตาเอ่ยว่า “ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า”
“ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู ต่อไปคืนหนึ่งเจ้าจะไม่ได้เลยสักครั้ง ถึงเจ้าคิดจะดึงพลังข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีทางทำได้” จินเฟยเหยาตอบเขาอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ
“ถ้ามีโอกาสข้ายังคิดจะลองดูจริงๆ ว่าเจ้าจะกินข้าได้อย่างไร” เหรินเซวียนจือเอ่ยยิ้มๆ
ดวงตาของจินเฟยเหยากวาดมองสัตว์ปิศาจที่แน่นขนัดเบื้องล่าง ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้จึงแย้มยิ้มขึ้น “ต้องมีโอกาสแน่”
ทั้งสองคนต่างมีแผนการของตนเองจึงแย้มยิ้มแล้วผ่านไป ตั้งใจเร่งรุดเดินทางต่อ
ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายในโลกวิญญาณหนานเฟิงมีมากมาย ตลอดทางได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อย นอกจากบางคนแต่งตัวแปลกประหลาด ใบหน้ามีสีเขียวสีขาวสีม่วง ส่วนมากดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอันเที่ยงธรรม
จินเฟยเหยากลับรู้สึกสนใจว่าโลกวิญญาณหนานเฟิงแยกแยะผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายกับสำนักอันเที่ยงธรรมอย่างไร แต่หลังจากถามเหรินเซวียนจือจึงรู้ว่าไม่มีวิธีแยกแยะ ถ้าพลังการบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายต่ำกว่าขั้นหลอมรวมลงไป ก็ให้พวกเขาเข้าออกตามสบาย ถ้ามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมขั้นไปก็ต้องสอบถามความเป็นมาของพวกเขา
ที่จริงผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายไม่ได้มีแต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกเคล็ดวิชาชั่วร้าย ยังมีจำนวนไม่น้อยเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสำนักเที่ยงธรรมที่ถูกตามล่าและไม่มีที่หยั่งเท้าในโลกวิญญาณเป่ยเฉินจึงได้แต่หลบหนีมาโลกวิญญาณหนานเฟิง ถ้าใช้เคล็ดวิชามาแยกแยะคนก็จะไม่ยุติธรรม
ยุติธรรม คำนี้พูดออกมาจากปากเหรินเซวียนจือ ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง บางครั้งก็ทำให้คนสงสัยว่า เจ้าหมอนี่เป็นคนที่สำนักอันเที่ยงธรรมส่งมา เป้าหมายคือชิงโลกวิญญาณหนานเฟิงคืน ดังนั้นเรื่องที่เขาทำจึงเข้ากันไม่ได้กับคนชั่วช้า
ในโลกระดับวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ถือว่าอยู่ระดับสูง พวกเขาหาเรื่องคนอื่นได้ฝ่ายเดียว แต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายมาหาเรื่องพวกเขา ตลอดทางผู้บำเพ็ญเซียนที่พบพวกเขาสองคนต่างเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็มาถึงเมืองลั่วรื่อได้อย่างสบายๆ
เห็นเมืองลั่วรื่อเบื้องหน้า จินเฟยเหยาหมดวาจา นี่ก็ถือเป็นเมืองหรือ เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่คนเร่ร่อนที่สร้างขึ้นจากกระโจม เหมือนทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยเห็ดงอกออกมาจากพื้นดินแน่นขนัดหลังฝนตก
กระโจมเล็กๆ กว้างไม่ถึงหนึ่งจั้ง ส่วนกระโจมขนาดใหญ่กลับมีขนาดเกือบร้อยจั้ง วัสดุที่ใช้ทำกระโจมก็ไม่เหมือนกัน มีหนังสัตว์ มีผ้า บางอย่างเป็นอาวุธเวทหรือของวิเศษ ตรงกลางที่เห็นเด่นชัดที่สุดเป็นกระโจมขนาดยักษ์ฝังหยกและอัญมณี แลดูงดงามอย่างยิ่ง กระโจมแบบนี้ไม่ว่าใครก็เดาออกว่าเป็นสถานที่ซึ่งเจ้าเมืองพำนักอยู่
พอทั้งสองคนมาถึงที่นี่ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเดินมาสอบถามพวกเขาทันที ข้อนี้จินเฟยเหยารู้สึกว่าดีกว่าเมืองจุ้ยเทียน ไม่เหมือนเมืองจุ้ยเทียนตนเองเดินเข้าเมืองมาก็ไม่มีแม้แต่คนมาสอบถาม เปิดให้เข้าออกอย่างอิสระ
สิ่งที่จินเฟยเหยาไม่รู้คือ ถ้าตอนนั้นเหรินเซวียนจือไม่ได้เดินมาเมืองจุ้ยเทียนพร้อมนาง นางก็ต้องผ่านการซักถามอย่างละเอียดที่นอกเมือง อีกทั้งยังต้องมอบสตรี ศิลาวิญญาณหรือวัตถุดิบจึงเข้าเมืองได้ เข้มงวดยิ่งกว่าเมืองลั่วรื่อ อีกทั้งยังชั่วร้ายกว่า อย่างน้อยสถานที่อื่นๆ ก็ไม่ต้องส่งมอบสตรี
ขณะถูกซักถาม จินเฟยเหยารอให้เหรินเซวียนจือแจ้งศักดิ์ฐานะ กลับได้ยินเหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “พวกเราเป็นคนที่เจ้าเมืองจุ้ยเทียนส่งมา คิดจะขอพบเจ้าเมืองลั่วรื่อ มีธุระต้องพูดคุย เพื่อแสดงความจริงใจ นี่คือน้องสาวของเจ้าเมืองเรามาเป็นตัวแทนเมืองจุ้ยเทียน ส่วนข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเมือง คุ้มครองส่งคุณหนูใหญ่มาโดยเฉพาะ”
จินเฟยเหยาถลึงตา เจ้าสารเลวนี่!
ในขณะที่นางถลึงตาแสดงความไม่พอใจเหรินเซวียนจือ ก็ได้ยินเหรินเซวียนจือถ่ายทอดเสียงมาหานาง “เจ้าอย่าอาละวาด อีกสักครู่ข้าจะบอกสาเหตุให้เจ้ารู้ ตอนนี้เจ้าแสร้งทำไปก่อน ข้าไม่ให้เจ้าเสียเปรียบหรอก อย่าทำเสียงานใหญ่ พวกเรามาเพื่อโห่วนะ”
เพื่อสถานการณ์ใหญ่ จินเฟยเหยาจึงกัดฟันอดทน อีกสักครู่ฟังคำอธิบายของเขาก่อน ถ้ามีโทสะก็จะจากไป
เห็นว่าเป็นคนของเมืองจุ้ยเทียน คนซักถามจึงรีบไปแจ้งเจ้าเมืองและข่าวสารก็มาทันที แสงสดใสสายหนึ่งบินมา ผู้บำเพ็ญเซียนที่ซักถามก็รู้คำสั่งในนั้น จึงเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “เจ้าเมืองกำลังอยู่ในงานประมูลที่หอสมบัติชมดูสิ่งของล้ำค่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนในแต่ละท้องที่นำมาประมูล จึงเชิญท่านทั้งสองไปประเมินสิ่งของสักครา”
“เชิญนำทาง” เหรินเซวียนจือยิ้มนิดๆ
เดินตามหลังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายที่นำทาง จินเฟยเหยาก็ถ่ายทอดเสียงไปหาเหรินเซวียนจืออย่างไม่พอใจ “เจ้าสารเลวนี่ เหตุใดต้องผลักข้าไปข้างหน้าด้วย หรือคิดจะให้ข้าเป็นโล่กันธนู! ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าคนอย่างเจ้าพูดจาเชื่อถือไม่ได้ ไร้มโนธรรมจริงๆ ที่ต้องมาที่นี่กับเจ้า”
“ไร้มโนธรรมอะไร เจ้าถูกความโลภบดบังจิตใจชัดๆ อย่างไรนี่ก็เป็นฐานะปลอม เจ้าแสร้งทำหน่อยก็ไม่เป็นไร” เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างจริงจัง ราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“เจ้าแอบวางแผนร้ายกับข้า ถึงอย่างไรคนหนึ่งเป็นน้องสาวเจ้าเมือง อีกคนหนึ่งเป็นเจ้าเมือง เจ้าบอกว่าเป็นเจ้าเมืองตรงๆ มิยิ่งได้รับความสำคัญหรือ เจ้าคิดจะสลัดโคลนทิ้งภายหลังและเทถังอุจจาระใส่ศีรษะข้า” จินเฟยเหยาไม่พอใจ เจ้าหมอนี่เปลี่ยนเรื่องที่เพิ่งตกลงกันเมื่อครู่
“เจ้าเมืองคนนี้ชอบสตรี ถ้าได้ยินว่าผู้มาเป็นบุรุษจะยินดีได้อย่างไร เจ้ามีโทสะทำไม หรือว่ายังไม่ได้กลิ่นหอม?” เหรินเซวียนจือมีไพ่ตาย ไม่กลัวว่าจินเฟยเหยาจะสะบัดมือไม่ยอมกระทำอย่างกะทันหัน
จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง “กลิ่นหอมอะไร?”
“เจ้าดมดูให้ละเอียด ต้องมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นแน่” เหรินเซวียนจือเชื่อว่าตนเองรู้จักสี่สัตว์ร้ายเป็นอย่างดี ที่นี่ต้องมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษแน่นอน ขอเพียงตนเองไม่ได้กลิ่น คนอื่นก็ไม่ได้กลิ่น มีเพียงเทาเที่ยเท่านั้นที่ได้กลิ่น
ได้ยินการถ่ายทอดเสียงอย่างมั่นใจของเขา จินเฟยเหยาได้แต่สูดดมลึกๆ ใช้จมูกแยกแยะกลิ่นในอากาศ นางรู้ว่าตนเองหลังจากเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ ความสามารถในการรับกลิ่นดีกว่าเมื่อก่อนหลายร้อยเท่า เพียงแต่ต้องดมอย่างละเอียด ส่วนมากกลิ่นทั้งหมดล้วนปะปนอยู่รวมกัน
ดมไปดมมา ดวงตาของนางพลันเคร่งขรึม ท้องหิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในปากมีน้ำลายออกมาจำนวนมาก
หอมมาก นี่คือกลิ่นอะไร จางอย่างยิ่ง ทว่ากลับทำให้น้ำลายสอ นี่เป็นความรู้สึกหิวของเทาเที่ยที่จินเฟยเหยาไม่ได้รู้สึกมานาน นี่คือสิ่งใดกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ตนเองรู้สึกหิวขึ้นมาได้? หรือว่าเป็นหยวนอิงที่น่าอร่อย!
เหรินเซวียนจือสังเกตสีหน้าของจินเฟยเหยา เห็นนางดมไปทั่วราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ไม่ใส่ใจภาพพจน์เลยสักนิด จากนั้นสีหน้าแข็งค้าง ตอนนี้ในดวงตาเต็มไปด้วยแววหิวโหย คาดว่าคงหากลิ่นชนิดนั้นพบแล้ว
“เป็นอย่างไร ได้กลิ่นบางอย่างใช่หรือไม่?” ดวงตาจินเฟยเหยาเต็มไปด้วยแววเข่นฆ่า มองเหรินเซวียนจือที่ถ่ายทอดเสียงมาพลางเอ่ย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ถ้าเจ้าไม่พูดให้ชัดเจน ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะแปลงร่างเป็นเทาเที่ยตอนนี้และกินคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ โห่วอะไร ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อะไร ต่อให้เจ้าเป็นฉยงฉี ข้าก็จะให้เจ้าได้ลิ้มลองว่าเทาเที่ยที่หิวโหยเป็นเช่นไร”
“หึหึหึ ไม่ต้องรีบร้อน” เหรินเซวียนจือเผยสีหน้าอ่อนโยนมีรอยยิ้มและถ่ายทอดเสียงมา “กลิ่นหอมนั้นเป็นกลิ่นของโห่ว ทายาทสัตว์เทพเหล่านี้จะซ่อนกายอยู่ท่ามกลางสัตว์ปิศาจธรรมดา ถ้าไม่ใช่คนที่ตั้งใจค้นหาโดยเฉพาะ ต่อให้ได้ทายาทสัตว์เทพมาก็จำไม่ได้ พวกมันไม่ได้มีลักษณะเหมือนบรรพบุรุษ สายโลหิตที่ได้รับมาก็น้อยมาก อีกทั้งรูปโฉมจะมากจะน้อยก็ไม่เหมือนบรรพบุรุษ มีจำนวนมากเป็นสัตว์ปิศาจที่พบเห็นได้บ่อยและไม่ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญเซียน”
เขามองจินเฟยเหยาและเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ทว่าเทาเที่ยตะกละกินอย่างยิ่ง เจ้าที่มีร่างแยกเทาเที่ยสามารถค้นหาสายโลหิตของทายาทสัตว์เทพพบท่ามกลางสัตว์ปิศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีลักษณะเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว กลิ่นที่เจ้ารับรู้ได้ตอนนี้คือกลิ่นของโห่วตัวนั้น นี่ก็ยืนยันการคาดเดาของข้าว่ากระต่ายโหยวเฟิงที่อวบอ้วนตัวนั้นเป็นทายาทของสัตว์เทพโห่ว”
จินเฟยเหยาฟังเขากล่าวจบ พลันแย้มยิ้มขึ้น “หมายความว่า ตอนนี้ข้าเป็นนายท่าน เจ้าคิดจะหาสัตว์เทพก็ต้องอาศัยข้า”
“เจ้าคิดจะทำอะไร!” เหรินเซวียนจือมีสีหน้าอึมครึม ถ่ายทอดเสียงไปถาม
“ไม่คิดจะทำอะไร ข้าเพียงรู้สึกเหมือนไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าก็ได้ ค้นหาสัตว์เทพก็ต้องให้ข้าทำ อีกทั้งเจ้ายังไม่ได้ร้ายกาจกว่าข้าสักเท่าไร เจ้ายังแย่งสตรีในมือข้าไปดึงพลังหยินอีก จินตันและหยวนอิงของสตรีถือเป็นของบำรุงขนานใหญ่สำหรับข้า นี่มิใช่เสือสองตัวอยู่ภูเขาเดียวกันและกินอาหารอย่างเดียวกันหรือ” จินเฟยเหยาแย้มยิ้มชั่วร้ายแล้วเลียริมฝีปาก สายตาที่มองเหรินเซวียนจือเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู
เหรินเซวียนจือก็มองมาด้วยเจตนาสังหาร “ทางที่ดีเจ้าครุ่นคิดให้กระจ่าง เจ้ามีความสามารถค้นหาทายาทสัตว์เทพพบ ข้าก็มีความสามารถอื่นๆ เจ้านึกว่าจะจัดการสัตว์เทพได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?”
ทั้งสองคนมีเจตนาสังหารวาบขึ้นในดวงตาอยู่ด้านหลัง ส่วนศิษย์ขั้นสร้างฐานที่นำทางอยู่ด้านหน้ากลับเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคนนี้เผยเจตนาสังหารและอานุภาพกดดันออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขารู้สึกว่าบนแผ่นหลังราวกับมีหนามแหลมนับหมื่นทิ่มแทง คิดแต่ว่าเหตุใดหอสมบัติจึงอยู่ไกลขนาดนี้นะ!