คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 292 คนงามแห่งลั่วรื่อ
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ที่นี่คือหอสมบัติ ท่านนี้คือบ่าวรับใช้ใกล้ชิดของเจ้าเมืองเรา จะเป็นคนพาพวกท่านทั้งสองเข้าไป” ในที่สุดก็เดินมาถึงหอสมบัติ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้โล่งอก รีบโยนสองคนนี้ทิ้งไว้ในมือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงต้นที่ยืนรอข้างนอกอยู่นานจนรู้สึกไม่พอใจแล้ว
บ่าวรับใช้สตรีขั้นหลอมรวมช่วงต้นคนนี้ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ไม่เกรงกลัวพวกจินเฟยเหยาที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่เลยสักนิด เชิดหน้าขึ้นเอ่ยอย่างเย็นชา “เชิญท่านทั้งสอง”
เย่อหยิ่งเกินไปแล้ว! จินเฟยเหยามองท่าทางของนางแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก บ่าวรับใช้ของเจ้าเมืองที่เมืองสร้างขึ้นจากกระโจมมีอะไรน่ากระหยิ่มกัน อีกทั้งหอสมบัตินี้เป็นเรื่องราวใด เป็นกระโจมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองลั่วรื่อหรือ ทำอยู่นาน ที่แท้ก็ไม่ใช่ที่พักของเจ้าเมือง ทว่าใช้สำหรับหาเงิน
จินเฟยเหยายิ่งไม่เข้าใจชื่อร้านเข้าไปใหญ่ ในความประทับใจของนางมีเพียงอาคารสองชั้นขึ้นไปจึงเรียกว่าหอได้ กระโจมแบบนี้ก็เรียกว่าหอ ฟังแล้วรู้สึกไม่เข้ากันเลย สมควรเรียกว่ากระโจมสมบัติน่าจะใกล้เคียงกว่า
เวลานี้ยืนอยู่นอกกระโจมหอสมบัติ กลิ่นอายของโห่วยิ่งเข้มข้น ไม่ต้องแยกแยะอย่างละเอียดก็ได้กลิ่นทันที จินเฟยเหยากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง คาดว่าตานศักดิ์สิทธิ์ของโห่วคงมีรสชาติดียิ่ง มีอาหารให้กินเรียกว่าดีจริงๆ บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ตลอดปีท้องไม่หิวโหยพวกนี้ คงมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย
เหล่มองเหรินเซวียนจือ จินเฟยเหยาพบว่าในดวงตาของเขาก็มีความยินดีที่ได้เห็นเจ้าเมืองคนงามแห่งเมืองลั่วรื่อ สำหรับปิศาจราคะอย่างเขาแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เบิกบานใจยิ่ง จินเฟยเหยาพกพาสีหน้าอมยิ้มนิดๆ ติดตามบ่าวรับใช้หน้าบูดบึ้งราวกับมาทวงหนี้คนนั้นก้าวเข้าไปในกระโจมสมบัติกับเหรินเซวียนจือ พอก้าวเข้าไปไอร้อนก็พุ่งมาปะทะหน้า ด้านในมีคนจำนวนมาก
ในกระโจมขนาดใหญ่มีผู้บำเพ็ญเซียนที่มาซื้อสิ่งของเบียดเสียดกันแน่นขนัด ทุกคนล้วนนั่งบนพื้นที่ปูด้วยพรม ถึงคนจะเยอะทว่าไม่เกิดเหตุการณ์คนมากองรวมกัน จินเฟยเหยามองบนพื้น ที่แท้บนพื้นใช้พรมขนาดเล็กที่แตกต่างกันแบ่งเขตพื้นที่ ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งนั่งหนึ่งผืน เป็นระเบียบเรียบร้อยไม่วุ่นวาย
พรมล้อมเป็นรูปวงกลมและขยายออกไปเป็นวง กลางกระโจมมีแท่นรูปวงกลมสูงสามฉื่อ เวลานี้บนแท่นกำลังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงปลายกำลังประมูลซากศพอายุสี่ร้อยปีศพหนึ่ง โลกวิญญาณหนานเฟิงเป็นที่รวมของผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจริงๆ สิ่งของที่ประมูลล้วนมีเอกลักษณ์
ทว่าในกระโจมทั้งหมดมีสถานที่แห่งหนึ่งเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ นั่นเป็นแท่นสูงสามฉื่อกว้างประมาณสี่จั้ง มีสตรีกลุ่มใหญ่นั่งอยู่บนแท่น พวกนางทั้งหมดล้อมรอบสัตว์ปิศาจตัวหนึ่งไว้ กำลังชมการประมูลอย่างออกรส และยังมีคนกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสัตว์ปิศาจ
“นี่คือโห่ว? หน้าตาไม่ธรรมดาจริงๆ อีกทั้งร่างยังมีเนื้อเยอะ เพียงแต่ลักษณะแปลกประหลาดเกินไป” สัตว์ปิศาจที่นั่งอยู่บนแท่นหน้าตาเหมือนบุรุษคนหนึ่งอย่างยิ่ง บนหัวมีหูยาวสีดำสองข้าง ที่บ้าบอคือยังติดเครื่องประดับไว้บนหูจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเจ็บหรือไม่
บอกว่ามันหน้าตาเหมือนบุรุษ แต่ไม่ได้บอกว่ามันหน้าตาหล่อเหล่าอะไร ที่จริงใบหน้าของมันเหมือนถูกวัวกระทืบจนเละ เพียงแต่เนื่องจากมีจมูกมีตาจึงดูออกรางๆ ว่าเหมือนคน อีกทั้งมันยังสวมชุดปักลวดลายหงส์และมังกร นั่งอยู่ท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียนสตรีดูแล้วทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ สูงกว่าจินเฟยเหยาครึ่งตัว พลังการบำเพ็ญเพียรก็เทียบเท่าขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย
จินเฟยเหยามองมัน รู้สึกว่ารสนิยมของเจ้าเมืองลั่วรื่อย่ำแย่เกินไปจริงๆ แต่คิดๆ ดูแล้วอาจจะเป็นไปได้ว่าตัวของโห่วเองหน้าตาน่าเกลียด ต่อให้น่าเกลียดก็จัดการสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แบบนี้จะกระทบถึงความอยากอาหาร นางรู้สึกขยะแขยงมาก ยกเลิกการตัดสินใจที่คิดจะกินเนื้อให้หมดก่อนหน้านี้ทันที หลับตาดึงเอาตานศักดิ์สิทธิ์และโลหิตไปก็พอ
ในเวลานี้ เหรินเซวียนจือกลับมองจินเฟยเหยาแล้วถ่ายทอดเสียงเอ่ยว่า “ขนาดตัวไม่เล็กไปหรือ? ความอยากอาหารตอนกินเนื้อของเจ้าเล็กแค่นี้เอง!”
“หา?” จินเฟยเหยาฟังคำพูดของเขา มองไปยังสถานที่ที่เหรินเซวียนจือบอกใบ้ด้วยความสงสัย นางเห็นกระต่ายอ้วนขนาดเท่าแตงโมตัวหนึ่งกำลังกลิ้งอยู่บนแท่นเบื้องหน้าสัตว์ปิศาจตัวนั้น
หูยาวสีดำ ร่างสีขาว ขนฟูฟ่องไปทั้งตัว ดวงตาสีทองคู่นั้นเปล่งประกาย น่ารักอย่างยิ่ง
“สัตว์ปิศาจขั้นสาม?” จินเฟยเหยากวาดดูระดับขั้นของกระต่ายตัวนั้นแล้วนิ่งอึ้งทันที คิดไม่ถึงว่าแค่ขั้นสาม เจ้านี่ก็ถือว่าเป็นทายาทสัตว์เทพได้!
เหรินเซวียนจือที่ถูกจินเฟยเหยาถ่ายทอดเสียงมาถามก็กระแอมให้คอโล่ง ตอบรับอย่างจริงจัง “ใช่ มันเป็นทายาทของสัตว์เทพโห่วขั้นสาม เจ้าลองดมกลิ่นดู กลิ่นส่งมาจากร่างของมัน”
มองกระต่ายตัวที่มีขนาดใกล้เคียงกับอาไตของไป๋เจี่ยนจู๋ จินเฟยเหยาคิดอย่างใจร้าย เจ้านี่ตัวเล็กกว่าอาไตอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นทายาทสัตว์เทพ! สัตว์แบบนี้ก็มีตานศักดิ์สิทธิ์หรือ? เกรงว่าขนาดคงไม่ถึงเม็ดถั่ว ถ้านี่คือโห่ว แล้วสัตว์ปิศาจที่สวมเสื้อผ้าตัวนั้นคือใคร? มันก็มีหูกระต่ายเหมือนกันนะ
“เจ้าล้อข้าเล่นหรือ แค่ขั้นสามก็ถือเป็นสัตว์เทพได้?” พลังของโห่วน้อยนิดจนน่าสงสาร ทำให้จินเฟยเหยาเกิดความไม่พอใจ เอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี
ถึงเหรินเซวียนจือจะไม่เคยเห็นโห่วตัวจริง ทว่ากลับเคยเห็นโห่วในม้วนภาพวาดที่ตกทอดจากบรรพชน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างมั่นใจ “ใครบอกว่าทายาทสัตว์เทพล้วนมีระดับขั้นสูงๆ พวกมันแค่มีสายโลหิตของสัตว์เทพ ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงเสียหน่อย อีกทั้งดูเหมือนตัวจริงก็ใหญ่แค่นี้ เพียงแต่ระดับขั้นสูงกว่าหน่อยเท่านั้น เดิมทีโห่วก็ไม่ใช่สัตว์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษอยู่แล้ว ถ้าเจ้ามีร่องรอยของฉีหลิน ข้าก็ไม่กล้าไป”
“เจ้าให้ข้ามาก็เพื่อกระต่ายตัวหนึ่งที่แค่หิ้วหูก็สามารถขโมยไปได้ เจ้าว่างงานเกินไปสินะ! ข้าเดาว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าคือเจ้าเมืองลั่วรื่อ หลอกข้ามาก็เพื่อให้ข้าช่วยเจ้ากระทำชำเรานาง เจ้าไร้ยางอายเกินไปแล้ว” จินเฟยเหยาไม่พอใจอย่างยิ่ง ถลึงตาใส่พลางเอ่ยถาม
เหรินเซวียนจือถูกพูดแทงใจดำกลับยังมีสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม เอ่ยปฏิเสธ “ไม่มีเรื่องเช่นนี้ เป้าหมายของพวกเราคือโห่ว เจ้าเมืองลั่วรื่อเป็นเพียงสินสงครามที่ติดมาด้วย”
จินเฟยเหยากำหมัด อยากจะฉีกหน้า อย่าคิดจะได้ผลประโยชน์เลย
ในเวลานี้เอง บ่าวรับใช้สตรีใบหน้าเย็นชาที่นำทางคนนั้นพลันเดินขึ้นบนแท่นราบ คุกเข่าลงเบื้องหน้าสัตว์ปิศาจตัวใหญ่แล้วรายงาน “เจ้าเมือง พาคนของเมืองจุ้ยเทียนมาถึงแล้ว”
สัตว์ปิศาจตัวนั้นเงยหน้าขึ้น เสียงแหบห้าวดังมา ถึงแม้เสียงจะต่ำและระคายหู ทว่ายังฟังออกว่าเป็นสตรี “เชิญท่านทั้งสองขึ้นมานั่งบนแท่น พอดีจะได้ดูว่าเมืองลั่วรื่อของข้าเทียบกับเมืองจุ้ยเทียนของพวกเจ้าเป็นอย่างไร”
จินเฟยเหยาและเหรินเซวียนจือกลายเป็นหินทันที
จินเฟยเหยาได้สติคืนมาอย่างช้าๆ หันหน้ามามองเหรินเซวียนจือแล้วหัวเราะ หัวเราะได้น่ารักอย่างยิ่ง เหรินเซวียนจือรู้สึกว่าแย่แล้ว ก็เห็นนางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไป
จินเฟยเหยานั่งอยู่ด้านล่างเจ้าเมืองลั่วรื่อ เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ “เจ้าเมืองช่างถ่อมตัวจริงๆ สิ่งที่ข้าเฆ้นตอนมาถึงเมืองลั่วรื่อคือผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมาก สิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายต่างถิ่นและเจ้าเมืองที่ทำให้คนไม่กล้าเบือนหน้าหนี เทียบกันแล้ว เมืองจุ้ยเทียนของพวกเราล้าสมัยเกินไป แค่ทำเอาหน้า ใช้ทรายสร้างเป็นเมืองแก้ว แค่เรื่องจุดไฟแบบนี้ ใครๆ ก็ทำได้”
“ไม่ทราบว่าพวกเจ้ามาด้วยเรื่องใด?” เจ้าเมืองลั่วรื่อยกมือมาป้องตรงข้างแก้มเป็นท่าทางสงสัย
ไม่รอให้จินเฟยเหยาเอ่ยปาก บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีข้างกายนางก็พูดขึ้นมา “เจ้าเมือง พวกเขาต้องได้ยินว่าเจ้าเมืองมีรูปโฉมอันน่าตื่นตะลึง ดังนั้นจึงมาเพื่อชมโฉมโดยเฉพาะ”
“เจ้าเมือง ได้ยินว่าเจ้าเมืองจุ้ยเทียนเป็นปิศาจราคะ ใช้เวทดึงหยินเสริมหยาง เจ้าเมืองต้องระวังนะ”
“ฮึ พวกเขาคิดเสียเลิศลอย สาวงามอย่างเจ้าเมือง จะชอบโจรราคะแบบนั้นได้อย่างไร”
“จริงด้วย พวกเจ้าดูบุรุษของเมืองจุ้ยเทียนสิ นั่งหน้าซีดขาวอยู่ตรงนั้น ทั้งยังใช้สายตาบ้ากามมองดูพวกเราอีก น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ”
“บุรุษช่างน่าชังจริงๆ เจ้าเมือง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มาพร้อมกันสองคน จะใช้กำลังแย่งชิงตัวพวกเราไปหรือไม่ พวกผู้น้อยหน้าตาน่าเกลียดคงไม่เป็นไร ทว่ารูปโฉมอย่างเจ้าเมือง ถ้าให้โจรราคะมองมากๆ จะเป็นการไม่เคารพนะ!”
จินเฟยเหยาพยายามกลั้นยิ้ม กัดริมฝีปากไว้ ถ่ายทอดเสียงไปหาเหรินเซวียนจืออย่างสะกดกลั้น “สหายเซียนเหริน เจ้าเมืองลั่วรื่อคนนี้รูปโฉมงดงามดั่งบุปผาจริงๆ ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตของข้า ข้าก็จะช่วยให้เจ้าดึงหยินเสริมหยาง สตรีผู้นี้ต้องเป็นของเจ้าแน่นอน”
“ไม่ต้อง สัตว์ปิศาจแบบนี้ใครอยากได้ก็เอาไปเลย เพราะเหตุใดโลกวิญญาณหนานเฟิงจึงมีข่าวลือว่านางงดงามเป็นเอก เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอปล่อยข่าวลือผิดๆ ให้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าล้อข้าเล่น” เหรินเซวียนจือนั่งหน้าเขียวอยู่ตรงนั้น ในใจเกิดโทสะ อยากสังหารคนที่พูดจาเหลวไหลพวกนั้นทิ้งให้หมด
“น่าจะเป็นการเสียดสีกระมัง ข้ารู้สึกสงสัยยิ่ง สหายเซียนเหรินอยู่โลกวิญญาณหนานเฟิงมาหลายร้อยปีแล้วสินะ เหตุใดจึงไม่เคยเห็นนางมาก่อน ที่จริงก็อยู่ห่างไม่ไกล สาวงามในคำเล่าลือแบบนี้ เจ้าก็ไม่มาดูด้วยตาตนเอง ได้แต่จดจำไว้ในใจและคะนึงหาอย่างขมขื่นมานาน อีกทั้งดูเหมือนว่าจะมิได้ไม่ชอบบุรุษตามคำเล่าลือ เจ้าดูสิในหอสมบัติมีผู้บำเพ็ญเซียนเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมด ส่วนมากเป็นบุรุษด้วย” จินเฟยเหยากลั้นหัวเราะ ถ้ามิใช่ถ่ายทอดเสียง พอพูดจานางอาจจะหัวเราะเสียงดังลั่นทันที
เหรินเซวียนจือถ่ายทอดเสียงมาอย่างดุร้าย “พวกเราสามเมืองเป็นสามขั้วอำนาจใหญ่ของโลกวิญญาณหนานเฟิง ปกติไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะแล่นมาพบหน้าได้อย่างไร อีกทั้งนี่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นบอกข้า ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้คิดย่อมไม่แล่นมาดูโดยเฉพาะ ข้าไม่ใช่คนว่างงานเสียหน่อย”
“ใครเป็นคนบอกเจ้า?” จินเฟยเหยาสงสัยอย่างยิ่ง ที่แท้เป็นคนเช่นไรจึงกล้าหลอกลวงเขา
“ขั้วอำนาจอีกขั้ว เจ้าเมืองแห่งเมืองหยวนบอกข้าว่าเจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วรื่อเป็นสาวงามแห่งลั่วรื่อ ที่น่าชังคือคนทั้งโลกวิญญาณหนานเฟิงล้วนกล่าวกันเช่นนี้ เมืองจุ้ยเทียนมีคนสนิทของข้า เขาก็เคยเห็นมา แต่ก็บอกข้าว่านางเป็นสาวงาม” เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จินเฟยเหยาเกือบจะหัวเราะออกมา น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา ถ้ายังพูดกับเจ้าหมอนี่ต่อไป อาจจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งตรงนี้จริงๆ
ในเวลานี้เอง เจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วรื่อให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีรอบด้านหยุดพูดจา แล้วถามจินเฟยเหยาทันที “พวกเจ้ามาครั้งนี้ มีธุระอะไร?”