คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 294 ไร้ยางอายยิ่งกว่า
ความเคลื่อนไหวของจินเฟยเหยารวดเร็วยิ่ง แต่เป็นกลางวันแสกๆ ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยสังเกตเห็น
เดิมทีผู้บำเพ็ญเซียนรอบหอสมบัติล้วนกำลังรอชมเรื่องสนุก ฝูงชนเงียบกริบอย่างกะทันหันเนื่องจากการข่มขู่ของจินเฟยเหยา เมื่อนางรู้สึกว่าเช่นนี้จึงเบิกบานใจ พลันมีคนหลายร้อยคนระเบิดพลังออกมาราวกับพลุไฟกระจายกันหลบหนีออกไปโดยรอบ
จินเฟยเหยาหิ้วโห่วมองผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้หลบหนีไปอย่างผิดหวัง มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นมูลสัตว์เคลื่อนที่ได้อันน่าขยะแขยง สิ่งที่มีค่าพอจะปลอบใจคือผู้ช่วยอวี้เจียวเจี๋ยจำนวนมาก บรรดาอนุภรรยาและบ่าวรับใช้ร่างกำยำหนีไปไม่มาก ทั้งหมดล้วนยืนมองอยู่ไกลๆ อย่างไรเสียที่นี่คือรังของพวกนางและพวกนางยังคาดหวังในตัวอวี้เจียวเจี๋ยไม่น้อย
พวกนางแค่มองดูไกลๆ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้หอสมบัติแม้ครึ่งก้าว มือหนึ่งกุมของวิเศษบินได้ อาวุธเวท ของวิเศษ อีกมือหนึ่งกำศิลาวิญญาณไว้แน่น ฝ่ามือชื้นเหงื่อเตรียมหลบหนีได้ทุกเมื่อ
มีผู้บำเพ็ญเซียนบางคนที่เดาฐานะของจินเฟยเหยาไม่ออกยังชมดูเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ ดังเดิม ส่วนพวกที่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนที่หลบหนีไปกระตุ้นก็จากไปอย่างลนลาน ถึงอย่างไรเพิ่มมาเรื่องหนึ่งมิสู้ลดลงไปเรื่องหนึ่ง[1] คนที่นี่ไม่ใช่ชนชั้นมีเมตตา
เห็นไม่มีใครเข้าใกล้ตนเอง จินเฟยเหยาก็นำขวดหยกออกมาสองขวด บีบลำคอของโห่วทำให้มันตาย กระต่ายที่เป็นทายาทสัตว์เทพโห่วตัวนี้ไม่พ่นลมหายใจในตำนานที่กัดกร่อนกายเนื้อได้ออกมาก็ไปสวรรค์
หลังกรีดเปิดคอของมันบรรจุเลือดลงในขวดหยก จินเฟยเหยาก็ดึงตานศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่าเมล็ดข้าวออกมาจากภายในร่างมัน มองตานศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือที่แทบจะมองไม่เห็น รู้สึกว่ากลิ่นหอมเตะจมูก
คิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้มีขนาดเล็ก ดมแล้วยังหอมประหลาด จินเฟยเหยาไม่มีความคิดจะแบ่งให้เหรินเซวียนจือเลยสักนิด โยนตานศักดิ์สิทธิ์เล็กๆ ของโห่วเข้าปากทันที อีกอย่างต่อให้นางคิดจะแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง เล็กขนาดนี้ก็แบ่งยาก
หลังกินตานศักดิ์สิทธิ์เข้าไปก็ไม่ได้ถูกดูดซับทันที ท่าทางกว่าของสิ่งนี้จะย่อยเสร็จคงต้องใช้เวลา จินเฟยเหยาเก็บขวดหยกสองใบขึ้นคิดจะจากไป ถึงอย่างไรดมหยวนอิงของอวี้เจียวเจี๋ยแล้วไม่น่าอร่อยเลยสักนิด กลิ่นเหม็นมาก ให้ฟรีนางยังไม่เอา
ขณะหมุนตัว จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องที่รับปากเหรินเซวียนจือก่อนหน้านี้ได้ เป็นคนต้องรักษาสัจจะ ดังนั้นจินเฟยหยาจึงค้นในถุงเฉียนคุนได้กระเป๋าเก็บของใบหนึ่งและหิ้วเข้าไปในหอสมบัติอีกครั้ง
เพิ่งเข้าไป ภาพด้านในก็ทำให้จินเฟยเหยาตกใจ ด้านในมีอวี้เจียวเจี๋ยสิบแปดคนกำลังล้อมเหรินเซวียนจือไว้ภายใน บนร่างของพวกนางแผ่กลิ่นเหม็นแบบเดียวกันออกมา ทำให้จินเฟยเหยาที่จมูกไวแทบเป็นลม
สิ่งที่ยิ่งทำให้คนหมดวาจาคือพวกนางทั้งสิบแปดคนไม่ได้สวมชุดท่อนบน กำลังเปลือยสะบัดซาลาเปาบนทรวงอก ขอเพียงสะบัดซาลาเปาก็จะมีพลังแหลมคมแหวกอากาศไป สิบแปดคนก็เท่ากับซาลาเปาสามสิบหกใบ เห็นเหรินเซวียนจือภายในวงล้อมปรากฏตัวขึ้นแล้วหายวับไปอย่างต่อเนื่อง
เหรินเซวียนจือเล่นสายลมมาชั่วชีวิต ครั้งนี้เจอลมถันไม่รู้ว่าจะจัดการได้หรือไม่ จินเฟยเหยาอดถอนหายใจไม่ได้ว่าเคล็ดวิชาในโลกนี้ช่างมีหลากหลายชนิด ใช้เต้านมโจมตีแบบนี้ก็ยังมีคนกระทำ ทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ น่าขายหน้าจริงๆ คาดว่าศึกครั้งนี้ต้องทิ้งความประทับใจอันลึกล้ำไว้ให้เหรินเซวียนจือแน่
ที่จริงกระบวนท่านี้ของอวี้เจียวเจี๋ยและเคล็ดวิชาสร้างร่างมารของจินเฟยเหยามีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่คนหนึ่งหลอมสร้างกระดูก อีกคนหนึ่งหลอมสร้างกล้ามเนื้อ มองอีกมุม อาวุธของอวี้เจียวเจี๋ยว่องไวอย่างยิ่ง สะบัดแล้วพลังทำลายล้างยิ่งมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสังหารคนได้โดยไร้ร่องรอยในระยะประชิด เพียงแต่จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ อวี้เจียวเจี๋ยสมองมีปัญหาหรือไม่ จึงมีกระบวนท่าวิปริตเช่นนี้
จินเฟยเหยาเข้าใจอวี้เจียวเจี๋ยผิด สิ่งที่ผู้อื่นฝึกตั้งแต่เล็กคือเวทเสน่ห์ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ฝึกเวทเสน่ห์ส่วนมากล้วนมีกระบวนท่านี้ อีกทั้งยังต้องให้ทุกส่วนในร่างเป็นอาวุธสังหารจึงเป็นขอบเขตขั้นสูงสุดของเคล็ดวิชาเสน่ห์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีบางคนขนาดท่อนล่างก็ฝึกจนกลายเป็นของวิเศษ สามารถเปลี่ยนเป็นใบมีดหรือฟันอันแหลมคมตัดส่วนนั้นของผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษได้ทันที
ทว่าความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือสตรีที่ฝึกวิชาเสน่ห์เหล่านั้นสวยกว่า ดูแล้วไม่ค่อยหยาบคายจนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
แต่เหรินเซวียนจืออย่างอื่นไม่เป็น ความเร็วคือจุดแข็งของเขา ในเวลาเดียวกันลมถันของอวี้เจียวเจี๋ยจำนวนสามร้อยกว่าสายโอบล้อมเขาไว้ภายในกลับมิอาจทำร้ายเหรินเซวียนจือได้แม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ต้องรวบรวมสมาธิ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเวทเสน่ห์ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ต่อให้ไม่มีความสามารถในการมอมเมาคน กระบวนท่าอื่นๆ ก็ยังแข็งแกร่งยิ่ง
ที่นี่คือในเมืองลั่วรื่อ เหรินเซวียนจือไม่อยากให้ร่างจริงของฉยงฉีถูกเห็น ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงร่างจริง เพียงอาศัยพละกำลังร่างเดิมของตนเองต่อสู้กับอวี้เจียวเจี๋ย
เหรินเซวียนจือก็เหมือนกับจินเฟยเหยา ขณะที่ยังไม่ได้แปลงเป็นสัตว์ร้าย พลังการบำเพ็ญเพียรก็แค่ที่เห็นภายนอก ถ้าเปลี่ยนเป็นระดับขั้นของสัตว์ปิศาจก็เป็นเพียงขั้นแปดช่วงกลางถึงช่วงปลาย แต่ถ้าแปลงเป็นสัตว์ร้ายกลับเป็นขั้นเก้าขึ้นไป สัตว์ปิศาจขั้นแปดและขั้นเก้าคือการก้าวกระโดดขั้นใหญ่ ราวกับขั้นกำเนิดใหม่บรรลุเป็นขั้นแปลงจิต ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า
จินเฟยเหยารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองสมควรช่วยเหรินเซวียนจืออีกแรง นางยกถุงในมือขึ้น ใช้พลังวิญญาณกั้นบนฝ่ามือไว้แล้วคว้าผงสีเหลืองกำมือหนึ่งโยนใส่พวกเขา
“สหายเซียนเหริน! ข้าช่วยเจ้าอีกแรง ข้าทำเรื่องที่รับปากเจ้าแล้วนะ!” จากนั้นผงสีเหลืองก็ฟุ้งตลบและห่อหุ้มเหรินเซวียนจือและอวี้เจียวเจี๋ยไว้ในนั้น จินเฟยเหยาตะโกนขึ้นแล้วรีบวิ่งออกมานอกกระโจมหอสมบัติ
จากนั้นจินเฟยเหยาก็เหยียบพรมบินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
สองเดือนต่อมา หน้าแผงเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เมืองหยวน จินเฟยเหยากำลังจ้องมองชามบะหมี่เบื้องหน้า
นางมองเนื้อหมักซีอิ๊วขนาดเท่าฝ่ามือสามชิ้นที่วางบนบะหมี่แล้วถามท่านลุงขั้นฝึกปราณช่วงต้นซึ่งเป็นเจ้าของแผงเล็กๆ อย่างสงสัย “เถ้าแก่ เนื้อนี่คงไม่ใช่เนื้อมนุษย์นะ?”
“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ในโลกวิญญาณหนานเฟิงเนื้อมนุษย์แพงมากกว่าเนื้อสัตว์มาก แผงเล็กๆ ของข้าจะขายเนื้อมนุษย์อย่างไรไหว” เจ้าของแผงยิ้มประจบและเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง เผชิญหน้ากับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อย่างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้เขาไม่อยากยิ้มประจบก็ไม่กล้า
ฟังคำพูดของเขา จินเฟยเหยาก็หยิบตะเกียบขึ้นเริ่มกินบะหมี่ ด้านข้างคือพั่งจื่อที่นั่งอยู่บนโต๊ะกำลังอุ้มชามกินอย่างเอร็ดอร่อย บนโต๊ะข้างกายพวกเขามีชามบะหมี่กองอยู่หลายสิบชามแล้ว เนื่องจากไม่มีผู้รับใช้ เจ้าของแผงที่ล้างชาม ต้มบะหมี่เองจึงยุ่งอยู่กับการต้มบะหมี่ไม่ว่างไปเก็บชาม
ตานศักดิ์สิทธิ์ของโห่วเม็ดเล็กๆ กระตุ้นให้ความอยากอาหารที่สะกดไว้หลังขั้นกำเนิดใหม่ออกมา แต่ที่โชคดีคืออยากกินนางก็กินได้ ถึงไม่กินก็ไม่หิว ต้องดูอารมณ์ล้วนๆ
จินเฟยเหยากินบะหมี่พลางเอ่ยอย่างสงสัย “เถ้าแก่ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงคิดเปิดแผงบะหมี่ แบบนี้ไม่กระทบการฝึกบำเพ็ญหรือ? ถึงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจะยากจนก็ไม่ต้องค้าขายและใช้ชีวิตอย่างท่าน ท่านต้องขายบะหมี่กี่ชามจึงหาศิลาวิญญาณเพื่อฝึกบำเพ็ญได้? เข้าสำนักแห่งหนึ่งยังดีเสียกว่า”
เถ้าแก่ลูบศีรษะเอ่ยยิ้มๆ อย่างขัดเขิน “ผู้อาวุโส พวกเรามีสำนัก ข้าเป็นศิษย์สำนักอินซาน เปิดแผงบะหมี่ก็เพื่อหาศิลาวิญญาณมาซื้อวิญญาณ พอดีตอนเด็กๆ ในตระกูลเปิดแผงบะหมี่ ดังนั้นจึงมีฝีมือทางด้านนี้”
“สำนักของพวกท่านก็ยากจนเกินไป ถึงกับว่าจะให้ศิษย์ออกมาตั้งแผง?” จินเฟยเหยาตะลึง เคยได้ยินว่าให้ศิษย์ออกไปล่าสัตว์ปิศาจหรือปล้นชิงศิลาวิญญาณ ไม่เคยได้ยินว่าให้ศิษย์ไปค้าขาย มิน่าเล่าอายุสี่สิบกว่าแล้วเพิ่งขั้นฝึกปราณช่วงต้น ตั้งแผงแบบนี้ไปจนตายก็สร้างฐานไม่ได้
เจ้าของแผงเอ่ยอย่างเคยชินเสียแล้ว “ผู้อาวุโส ผู้บำเพ็ญเซียนที่ค้าขายในเมืองหยวน ส่วนมากล้วนเป็นคนที่สังกัดสำนัก ในบรรดาเจ้าของแผงรอบๆ มีหลายคนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า โลกวิญญาณหนานเฟิงมีชื่อเสียงไม่ดี คนธรรมดาไม่กล้ามา ต่อให้ตอนแรกสุดมีคนธรรมดาก็ถูกสังหารหลอมเป็นอาวุธเวทจนเกลี้ยงแล้ว ศิษย์ขั้นฝึกปราณต้องกินอาหาร ที่นี่ไม่ร่ำรวยเหมือนโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ดังนั้นศิษย์ระดับล่างของสำนักอย่างพวกเราก็ต้องออกมาทำงาน”
จินเฟยเหยามองพินิจรอบด้าน บรรดาคนขายเกี๊ยวทอด ขายศพคนตายล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ หลายคนในนั้นยังสวมใส่ชุดสำนักแบบเดียวกัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายในเมืองหยวน จะมีความสามารถและรักษากฎระเบียบขนาดนี้ นอกจากคนน้อยกว่าแล้ว เมืองหยวนก็ใกล้เคียงกับเมืองอื่นๆ ของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน
จินเฟยเหยาเพิ่งมาถึงเมืองหยวน ยังไม่เคยมองพินิจเมืองนี้อย่างละเอียดจริงๆ เทียบกับเมืองจุ้ยเทียนของเจ้าบ้ากามและเมืองลั่วรื่อที่แอบลดคุณภาพวัสดุก่อสร้างแล้ว เมืองหยวนเป็นเมืองธรรมดาที่มิอาจจะธรรมดาไปกว่านี้ได้อีก
หลังจากวันที่จินเฟยเหยาทิ้งเหรินเซวียนจือไว้คนเดียวแล้วหนีมาก็กลับไปเมืองจุ้ยเทียนทันที แปะยันต์ซ่อนกายลอบเข้าจวนจุ้ยเทียนวางโลหิตของโห่วขวดเล็กๆ ไว้ให้เหรินเซวียนจือ นี่ไม่ใช่ว่านางใจดี ทว่าในฐานะผู้บำเพ็ญเซียน คนส่วนมากล้วนรักษาสัญญา ขณะที่เลื่อนขั้นแต่ละครั้งความซื่อสัตย์จะกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเลื่อนขั้นอย่างอธิบายไม่ได้
อาจเป็นเพราะสวรรค์อยากให้ทุกคนรักษาสัญญา ไม่เช่นนั้นถ้าผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนต่างโกหกหลอกลวง โลกใบนี้คงวุ่นวายจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงแล่นกลับมาโดยเฉพาะ ฉวยโอกาสที่เหรินเซวียนจือยังไม่กลับมาทิ้งโลหิตสดของโห่วขวดหนึ่งไว้ในห้องของเขา ส่วนเนื้อของโห่วถูกนางหาโอกาสย่างกินหมดแล้ว
ทางด้านหลิ่วฉี่ปอ จินเฟยเหยาไม่ได้ไปหานาง คนเราย่อมมีหนทางที่ตนเองต้องเดิน ดังนั้นนางจึงมอบยันต์ซ่อนกายสามใบวางไว้บนหัวเตียงของนาง ไม่ว่าต่อไปนางจะได้ใช้หรือไม่ เมื่อพบเจออันตรายจึงมีโอกาสหนีรอดได้
จินเฟยเหยาไม่ใช่แม่นม นางไม่มีอารมณ์ไปดูแลใครจริงๆ หลังทิ้งยันต์ซ่อนกายไว้ให้นางก็จากมา หลบหนีมาทางเมืองหยวน
จินเฟยเหยามาถึงเมืองหยวนจึงรู้ว่าไม่มีเมืองลั่วรื่อแล้ว เมืองถูกคนทำลายแบบถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นเศษซาก ได้ยินว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เห็นกับตาตนเองแพร่ออกมา เมืองลั่วรื่อถูกสัตว์ปิศาจที่ชื่อว่าเทาเที่ยทำลาย ก่อนหน้านั้นขอเพียงไม่ได้หนีออกมาทั้งคนทั้งเมืองล้วนถูกกินจนหมด ส่วนอวี้เจียวเจี๋ย เจ้าเมืองแห่งเมืองลั่วรื่อ ได้ยินว่าตายอย่างอเนจอนาถ เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกราวกับศพแห้ง เจ้าเมืองที่ผอมตายยังใหญ่กว่าม้า[2] ต่อให้นางผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ยังตัวใหญ่ดังเดิม
เนื่องจากไม่มีใครหนีรอด นี่เป็นข่าวที่แพร่มาหลังเมืองหยวนส่งคนไปตรวจสอบหลังเกิดเหตุการณ์ จินเฟยเหยากลับเดาว่า ภายใต้ฤทธิ์ผงกระตุ้นกำหนัดเหรินเซวียนจือและอวี้เจียวเจี๋ยล้วนความคิดสับสนราคะครอบงำจนมีสัมพันธ์กันเสียแปดส่วน จากนั้นเหรินเซวียนจืออาศัยความสามารถของตนเองดึงพลังของอวี้เจียวเจี๋ย รอจนเขาได้สติคืนมาพบว่าตนเองดึงพลังของอวี้เจียวเจี๋ยดังนั้นจึงเจ็บปวด สังหารผู้บำเพ็ญเซียนของเมืองลั่วรื่อทั้งหมดจนเกลี้ยง
อีกทั้งยังเทอุจจาระลงบนศีรษะนางอย่างใจร้าย ดูถูกเขาเกินไป เจ้าหมอนี่เป็นคนสารเลวโดยสมบูรณ์แบบ มิน่าจึงสามารถปลอมตัวอยู่ในสำนักอันเที่ยงธรรมมาตลอดได้
จินเฟยเหยารู้สึกว่าถึงแม้ภายหลังเหรินเซวียนจือไม่ค่อยอยากดึงพลังอวี้เจียวเจี๋ย แต่ตนเองรับปากเขาไว้แล้ว น่าจะถือว่าเป็นการทำความดีที่ได้รักษาสัญญานะ?
…………………………………………….
[1] เพิ่มมาเรื่องหนึ่งมิสู้ลดลงไปเรื่องหนึ่ง หมายถึง อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง
[2] เจ้าเมืองที่ผอมตายยังใหญ่กว่าม้า มาจาก ประโยคเดิมที่ว่า อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า มักใช้ในทำนองที่ว่า คนรวยตกต่ำยากจนก็ยังดีกว่าคนยากจนธรรมดา