คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 295 คฤหาสน์อิน
จินเฟยเหยาคิดว่าตนเองไม่ได้ติดค้างอะไรเหรินเซวียนจือแล้ว ก็ไม่คิดถึงเรื่องของเขาอีก ทว่าวางชามสอบถามเจ้าของแผง “เถ้าแก่ วิญญาณของพวกท่านขายแพงหรือไม่?”
ในมือของนางมีวิญญาณจำนวนมาก อยากจะแลกเป็นศิลาวิญญาณนานแล้ว เพียงแต่ไม่ทันได้แลกที่เมืองลั่วรื่อและเมืองจุ้ยเทียน จึงฉวยโอกาสนี้สอบถามราคาจะได้จัดการในเมืองหยวน
เถ้าแก่เกรงว่าจินเฟยเหยากินบะหมี่แล้วจะไม่จ่ายศิลาวิญญาณ ดังนั้นจึงใช้กลยุทธ์กระตือรือร้น บอกนางอย่างมีน้ำใจ “วิญญาณคนธรรมดาจะถูกหน่อย มีคนไปรวบรวมที่สุสานของโลกวิญญาณเป่ยเฉินโดยเฉพาะ วิญญาณคนธรรมดาหนึ่งดวงราคายี่สิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง แต่ค้าขายกันทีนับร้อยนับพันดวง”
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างตกตะลึง “ถูกขนาดนี้เลย?”
“วิญญาณคนธรรมดาหาได้ง่ายมาก เดินวนสุสานรอบหนึ่งก็ได้วิญญาณมาไม่น้อย ยังมีคนไปโลกระดับดิน วิญญาณที่นั่นมากกว่า ถ้าพบสุสานที่ปล่อยให้คนฝังจนยุ่งเหยิง ไม่กี่วันก็ได้วิญญาณคนธรรมดาเรือนหมื่น” เจ้าของแผงอธิบาย
คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ วิญญาณคนธรรมดาไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเซียน ต่อให้หลอมสร้างเป็นอาวุธเวทก็มีพลังทำลายล้างต่ำสุด ถ้าขายแพงผู้ฝึกวิชามารที่เพิ่งเข้าสำนักคงไม่มีอาวุธเวทใช้ นางมองเจ้าของแผง แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านซื้อวิญญาณกี่ดวงแล้ว?”
เจ้าของแผงตอบอย่างขัดเขิน ทำให้ผู้อาวุโสหัวเราะเยาะแล้ว “ธงหยินหยางที่ข้าฝึกตอนนี้สะสมวิญญาณได้เพียงสามร้อยกว่าดวงเท่านั้น ต้องโทษที่ข้าเข้าสู่สำนักช้าเกินไปจึงไม่ได้เจอวันที่เข่นฆ่าคนธรรมดาแถบชายแดน ตอนนี้เนื่องจากอานุภาพต่ำเกินไป ตั้งแผงบะหมี่จะคุ้มทุนกว่า”
จินเฟยเหยาจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเหรินเซวียนจือจึงช่วยผู้ฝึกวิชามารเหล่านี้ ลำบากเกินไป เข้าสำนักฝ่ายธรรมะยังดีกว่า
ทว่าเจ้าของแผงกลับเอ่ยอย่างยิ้มแย้มต่อ “แต่ขอเพียงซื้อวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนได้ดวงหนึ่ง ข้าก็ไม่ต้องตั้งแผง สามารถออกไปปล้นฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนได้”
“ดวงหนึ่งราคาเท่าไร?”
“ราคาของขั้นฝึกปราณช่วงต้น ช่วงกลาง และช่วงปลายแตกต่างกัน แบ่งเป็นสองพัน ห้าพัน และหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง ส่วนขั้นสร้างฐานแพงกว่า ก็ปริมาณเท่านี้แหละแต่ใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางมาคำนวณแทน ขั้นหลอมรวมขึ้นไปขายจินตันและหยวนอิง ราคาไม่แน่นอนล้วนนำมาประมูลขาย วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไปที่ถูกแยกออกมาถึงจะอ่อนแอไปหน่อยทว่าก็มีราคาถึงหลายหมื่นศิลาวิญญาณชั้นกลาง วิญญาณพวกนี้ข้าไม่กล้าคาดหวัง ขอเพียงได้วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณหลายดวงก็พอ” เจ้าของแผงแย้มยิ้มอย่างจนใจ
วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนดีๆ ผู้ใดจะไม่ต้องการ หลอมหยวนอิงของผู้บำเพ็ญเซียนลงในอาวุธเวทของตนเอง ยิ่งเป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกวิญญาณส่วนมาก เพียงแต่ของสิ่งนี้ไหนเลยจะได้มาอยู่ในมือง่ายๆ ต่อให้มีถ้าให้ผู้ฝึกวิญญาณระดับสูงรู้เข้าก็น่าจะถูกปล้นชิงไป
“ราคาของสิ่งนี้ไม่เลว ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักอันเที่ยงธรรมสังหารสัตว์ปิศาจเอาตาน ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายสังหารผู้บำเพ็ญเซียนเอาวิญญาณ เข้ากันได้ดีมาก” จินเฟยเหยาพยักหน้าพลางเอ่ยวาจา
จากนั้นนางก็เอ่ยถามอย่างสงสัยอีก “ทำความชั่วคงลำบากมากสินะ?”
“ไม่รู้สิ จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยสังหารใครเลย แต่ถึงไม่ได้ฆ่าคน เป็นผู้ฝึกวิญญาณชื่อเสียงก็เลวร้ายแล้ว” เจ้าของแผงตะลึงงัน รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง เป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายกลับไม่เคยฆ่าคนก็เหมือนผู้บำเพ็ญเซียนสำนักอันเที่ยงธรรมที่ไม่เคยสังหารสัตว์ปิศาจ จะว่าไปคือไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง เป็นสิ่งของที่ดูดีแต่ภายนอกเท่านั้น
จินเฟยเหยากลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พลางทอดถอนใจ “ข้าก็รู้สึกว่าไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายมาก่อน ทว่ากลับมีชื่อเสียงเลวร้ายอยู่ภายนอก ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอันเที่ยงธรรมอยากถลกหนังกลืนกินข้าทั้งเป็น”
“ผู้อาวุโสมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่ง ต้องล่วงเกินคนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” เจ้าของแผงเอ่ยคล้อยตามอย่างระแวดระวัง
“ข้าชอบฟังคำพูดนี้ของเจ้า เห็นเจ้าสะสมศิลาวิญญาณอย่างยากลำบาก ข้าจะมอบวิญญาณผู้บำเพ็ญเซียนให้เจ้าดวงหนึ่ง” จินเฟยเหยามองเขาแล้วเอ่ยยิ้มๆ
เจ้าของแผงยินดีอย่างยิ่ง บะหมี่เหล่านี้คำนวณดูแล้วมีราคาเพียงสองศิลาวิญญาณชั้นล่าง ถ้าสามารถแลกวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นดวงหนึ่งได้คือโชคดีครั้งใหญ่โดยแท้
จินเฟยเหยาหยิบขวดที่บรรจุตานสัตว์ปิศาจของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมา นางกินแก่นด้านในจนว่างเปล่าไปนานแล้ว ยื่นสองนิ้วเข้าไปดึง ตัดสินใจไม่มองดูด้านใน จะดูว่าเจ้าของแผงคนนี้จะโชคดีหรือไม่ดี ถ้าวิญญาณที่ลากออกมาเป็นขั้นหลอมรวมขึ้นไปก็ถือว่าเขาโชคดีมหาศาล
จินเฟยเหยาดึงวิญญาณออกมาดวงหนึ่งภายใต้สายตาวาดหวังของเจ้าของแผง มองวิญญาณในมือที่ถูกกดจนกลายเป็นดวงแสงกลมๆ ดวงหนึ่ง นางถอนหายใจแล้วยื่นส่งให้เจ้าของแผงที่อยู่ด้านข้าง “ถือว่าเจ้าดวงไม่ดี เป็นเพียงขั้นฝึกปราณช่วงปลาย แต่ก็ลองใช้ดู ต่อไปก็ไปหาวิญญาณเอง”
วิญญาณขั้นฝึกปราณช่วงปลายราคาถึงหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง เจ้าของแผงไม่ยอมพลาด รีบนำกล่องไม้วิญญาณที่เก็บสะสมวิญญาณออกมาเก็บวิญญาณดวงนั้นอย่างเคารพนบนอบ
เขาทั้งโค้งคารวะทั้งเอ่ยขอบคุณจินเฟยเหยา ทว่าจินเฟยเหยาเพียงแค่ยกพั่งจื่อขึ้น โบกไม้โบกมือแล้วจากไป
อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เป็นคนใจบุญสุนทาน จินเฟยเหยาเดินอยู่บนถนนเมืองหยวน นางเดินเล่นในร้านที่ขายวิญญาณโดยเฉพาะหลายร้าน สิ่งที่อยู่ในร้านในเมืองจึงเป็นวิญญาณผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ในตัวนางมีวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนสี่หมื่นกว่าดวง สถานที่แห่งนี้รองรับปริมาณสินค้ามากขนาดนี้ไม่ไหว ท่าทางได้แต่ลองไปดูที่สถานประมูล
ถามคนข้างทาง จินเฟยเหยาก็พบสถานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหยวนตามที่ได้ยิน พันปีไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ สถานประมูลล้วนอยู่ในร้านขายสิ่งล้ำค่าที่ใหญ่ที่สุด
มองหอเล็กๆ สี่ชั้นที่สร้างจากไม้ที่ชื่อว่าคฤหาสน์อินหลังนี้ ตรงประตูมีผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายคนหนึ่งกำลังคิดจะนำโลงศพเข้าไปในร้าน กลับถูกคนด้านในสกัดเอาไว้ บอกว่าสิ่งของของเขากินพื้นที่มาก ขอให้ไปวางไว้ด้านข้าง
จินเฟยเหยาเบี่ยงตัวเดินเข้าคฤหาสน์อิน ถึงด้านหลังเป็นท้องฟ้าแจ่มใสก็รู้สึกเย็นเยียบนิดๆ
ด้านนอกเป็นแสงอาทิตย์เจิดจรัสอันอบอุ่น ทว่าภายในคฤหาสน์อินกลับเย็นเยียบและมืดครึ้ม ทั้งห้องโถงรับแขกชั้นหนึ่งมืดมาก ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ภายในห้องแขวนหินแสงราตรีสีขาวไว้ ปกติไม่รู้สึกอะไร ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกว่าแสงสว่างของหินแสงราตรีเหล่านี้ขาวซีดอย่างยิ่ง
ในห้องมีวงเวทส่งตัววงเล็กๆ ไม่รู้ว่าคนไร้คุณธรรมคนใดเป็นคนทำ จึงใช้วัสดุสีแดงโลหิตสร้างขึ้น กระพริบแสงรัศมีสีแดงบนพื้นสีดำ เพิ่มความน่ากลัวให้คฤหาสน์อินหลายส่วน
บนกำแพงรอบด้านตั้งโลงศพเต็มไปหมด และมีเสียงของผู้บำเพ็ญเซียนที่ขนโลงศพดังมาจากประตู “เพราะเหตุใดโลงศพของผู้อื่นจึงสามารถเข้าไปได้ ของข้าต้องวางตากแดดไว้นอกประตู”
“สหายเซียน ท่านก็เห็นแล้วว่าด้านในมีของวางเต็มไปหมด ท่านก็ฝืนใจวางไว้ข้างนอกหน่อยเถอะ พวกเรามีคนเฝ้าให้โดยเฉพาะ รับประกันว่าไม่ถูกคนขโมยไป ทางนั้นยังมีที่ร่ม ถ้าไม่วางจะถูกคนอื่นยึดไปนะ ด้านหน้าแสงอาทิตย์แรงมาก ถ้าวางไว้ตรงนี้กลับไปก็เน่าแล้ว” เสียงผู้รับใช้ของคฤหาสน์อินเยียบเย็น ยืนอยู่ในร่มเงาประตูเอ่ยวาจาเรียบๆ
เห็นเขายื่นนิ้วที่มีเล็บสีเขียวงอกยาวชี้ไปนอกประตู คนที่แบกโลงศพผู้นั้นจึงได้แต่แบกโลงไปวางตรงที่ร่มนอกคฤหาสน์
จินเฟยเหยาหันหน้ากลับมามองพินิจร้านที่มืดครึ้มต่อ ด้านหลังพลันมีเสียงดังมาราวกับเรียกวิญญาณ “ผู้อาวุโส…”
เสียงนี้ทำให้จินเฟยเหยาตกใจจนรีบหันมา ก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานที่เส้นผมสยายและใบหน้าถูกผมปิดบังไปกว่าครึ่งสวมชุดสีขาวยืนอยู่ด้านหลังตนเอง เบ้าตานางดำคล้ำ สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากสีแดงดุจโลหิตสด
จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกอยากจะใช้ฝ่ามือตบสักที ใครให้เจ้าปลอมตัวเป็นผี
“ทำไม!” นางเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ล่องลอยราวกับไม่มีน้ำหนักเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ข้าเป็นผู้ดูแลชั้นหนึ่งในคฤหาสน์อิน มารับรองแขกผู้มีเกียรติเช่นผู้อาวุโสโดยเฉพาะ”
“เจ้ามารับรองแขกผู้มีเกียรติโดยเฉพาะ?” จินเฟยเหยามองพินิจนางอย่างสงสัย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ายายนี่เป็นสิ่งของจำพวกวิญญาณ
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีพยักหน้า ตอบเสียงสั่นสะท้าน “ใช่…เจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดจาดีๆ ได้หรือไม่ เสียงจะสั่นทำไม!” จินเฟยเหยามีโทสะ ตวาดอย่างอารมณ์ไม่ดี
“เจ้าค่ะ” เสียงของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมั่นคงขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงน่าฟังดังมา “เจ้าคฤหาสน์ของพวกเราบอกว่าพูดแบบนี้น่าฟังมาก จึงต้องการให้พวกเรารับรองแขกผู้มีเกียรติแต่ละท่านเช่นนี้ แต่ถ้าผู้อาวุโสไม่ชอบ ข้าก็จะไม่พูดแบบนั้น”
คนวิปริตจึงชอบฟังน้ำเสียงแบบนี้ จินเฟยเหยาด่าทอผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเหล่านั้นในใจ ไม่มีคนปกติสักคน เปิดร้านยังทำแบบนี้อีก เล่นบ้าอะไร!
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาซื้อหรือมาขายสิ่งของ?” น้ำเสียงกลับเป็นปกติแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้เอ่ยถามอย่างมีมารยาท
“ข้ามีวิญญาณนิดหน่อยอยากจะมอบให้ร้านนำไปประมูล สถานที่อื่นๆ ล้วนรองรับปริมาณมากขนาดนี้ไม่ไหว ถ้าพวกเจ้ารับไหว จะไม่ประมูลก็ได้” จินเฟยเหยาเอ่ย
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีพยักหน้า “เชิญผู้อาวุโสตามข้าไปหอวิญญาณที่ชั้นสิบเจ็ด ต้องประเมินราคาก่อน”
“ได้” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้าง หรือว่าคฤหาสน์อินแห่งนี้เป็นพื้นที่มิติ ไม่เช่นนั้นมองดูจากภายนอกมีเพียงสี่ชั้น หรือว่าชั้นสิบเจ็ดอยู่ใต้ดิน?
ติดตามด้านหลังผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ล่องลอย จินเฟยเหยาก้าวเข้าไปในวงเวทส่งตัวสีแดงโลหิต ก็เห็นเบื้องหน้ามีแสงสีแดงกระพริบวาบ คนก็ไปจากชั้นหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ที่นี่คือหอวิญญาณชั้นสิบเจ็ด เชิญตามข้ามา” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเอ่ยพลางลอยออกจากวงเวทส่งตัว
จินเฟยเหยามองหอวิญญาณอย่างหมดวาจา นี่เป็นหอที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้ำศิลาขนาดใหญ่ที่มืดมิดไร้แสงตะวัน ทั้งยังมีวิญญาณเต็มไปหมด ภายในถ้ำเต็มไปด้วยวิญญาณที่ถูกกดจนเป็นดวงแสง บนวิญญาณแต่ละดวงล้วนวาดลวดลายสีแดง ลอยไปลอยมาในถ้ำศิลาอย่างเงียบสงบ ไม่ต้องใช้ศิลาแสงราตรี ที่นี่ก็ถูกแสงจากตัววิญญาณสาดส่องจนสว่าง
ถ้ำศิลากว้างสามสิบกว่าจั้ง นอกจากวิญญาณก็เป็นโต๊ะและเก้าอี้ศิลาหลายชุดที่วางอยู่ข้างวงเวทส่งตัว เรียบง่ายพอใช้ได้ และบนเก้าอี้ศิลาสองตัวมีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนที่ขายวิญญาณแล้ว คนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ หน้าตาธรรมดาสามัญ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนข้างกายเขา คนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย บนคอห้อยหัวกะโหลก บดบังร่างครึ่งหนึ่งเอาไว้ สวมชุดเปิดเผยมือและเท้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
แต่จินเฟยเหยารู้สึกว่ามองแวบเดียวก็ดูออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเนื่องจากเขาหัวล้าน บนศีรษะอันโล้นเลี่ยนมีเส้นขนสีขาวงอกเพียงไม่กี่เส้นเข้ากับกะโหลกคนตายบนคอของเขาอย่างยิ่ง ทำให้คนนึกว่านี่คือกะโหลกที่กองอยู่บนซากศพ
ทว่าฝั่งตรงข้ามของพวกเขา มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมช่วงกลางสวมชุดสีดำคนหนึ่ง ทั่วร่างของเขาถูกห่อหุ้มไว้ในหมอกสีดำ แลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง กำลังตรวจสอบอาวุธเวทที่บรรจุวิญญาณในมือ