คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 297 กระจกสภาพโลกวิญญาณ
คนที่ตะโกนเสนอราคาไม่ใช่ใครอื่น เป็นจินเฟยเหยา นางยื่นมือมาเพิ่มศิลาวิญญาณอีกห้าร้อยก้อน ถ้าเพิ่มแค่ก้อนเดียวได้ก็ดีสิ
“ยังมีคนให้ราคาอีกหรือไม่?” ผู้ดำเนินการประมูลถือกู่หลิงซินแล้วตะโกนขึ้นอีก
สิ่งของที่ไม่รู้ประโยชน์ใช้สอยแบบนี้ ต่อให้มีคนคิดจะซื้อกลับไปศึกษา พอเห็นจินเฟยเหยาจ้องมองไปรอบด้านด้วยสีหน้าดุร้ายก็ตัดสินใจไม่เสนอราคา ต้องล่วงเกินผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เพื่อของสิ่งนี้ ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
สุดท้ายจินเฟยเหยาก็ใช้ศิลาวิญญาณเพียงห้าหมื่นห้าร้อยก้อนซื้อกู่หลิงซินเม็ดนี้ไป นางนำป้ายผลึกม่วงไปหักศิลาวิญญาณอย่างสง่างาม กู่หลิงซินก็ถูกส่งมาอยู่ในมือนางทันที
จินเฟยเหยาลูบคลำกู่หลิงซินก้อนนี้ ไม่สนใจว่าสิ่งของที่ประมูลถัดมาเป็นสิ่งใด ทว่าเริ่มศึกษากู่หลิงซินอย่างละเอียด นางลูบคลำก่อน จากนั้นถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป สุดท้ายใส่ปากกัดจึงมั่นใจว่าของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ
ในเวทหุ่นเชิดมีวิธีใช้ประโยชน์ แต่เนื่องจากตอนนั้นไม่มีของสิ่งนี้ นางจึงไม่ได้จดจำอย่างละเอียด ที่นี่มีคนมากมาย ค่อยดูภายหลังดีกว่า ถึงอย่างไรก็ได้ของมาอยู่ในมือแล้วคงไม่หนีไปไหน
สิ่งของที่ประมูลต่อมาเป็นสิ่งของที่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายใช้กัน ตั้งแต่วิญญาณจนถึงจินตัน กระดูกศพโบราณหลากหลายชนิด สิ่งของที่นำมาประมูลส่วนมากมีไอหยินหนาแน่น ชื่อของเคล็ดวิชายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ทั้งหมดล้วนเป็นผีเอย วิญญาณเอย หยินเอย และมีเวทเสน่ห์มาประดับประดามากที่สุด
ต่อให้ไม่ซื้อจินเฟยเหยาก็ถือว่าเปิดหูเปิดตา ฟังผู้ดำเนินการประมูลอธิบายยังเข้าใจได้ว่าสิ่งของที่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเหล่านี้ใช้มีความสามารถอันโดดเด่นใด ต่อไปถ้าพบกับผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจะได้มีความมั่นใจเอาชนะได้ มิใช่ถูกคนอื่นวางแผนทำร้ายแต่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยสักนิด
ไม่รู้ว่าคฤหาสน์อินแห่งนี้มีศิลาวิญญาณไม่เพียงพอใช่หรือไม่ หรือคิดจะให้จินเฟยเหยาประมูลสิ่งของจนรากเลือดจึงยอมปล่อยนางไปจึงไม่ส่งศิลาวิญญาณมาให้เสียที งานประมูลก็ยังไม่จบลง มักจะมีคนไปข้างหน้ายื่นส่งสิ่งของให้ อีกทั้งยิ่งเป็นสิ่งของที่ใกล้เคียงกับสำนักอันเที่ยงธรรมใช้มากขึ้นทุกที ไม่ใช่สิ่งของที่ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายใช้งานประจำ
เนื่องจากผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายไม่รู้สึกสนใจ ดังนั้นงานประมูลดำเนินต่อไปหลายครั้งก็หยุดชะงักลง แล้วมีคนส่งสิ่งของชิ้นหนึ่งมาอีก จินเฟยเหยาหมดความสนใจไปนานแล้ว รอคฤหาสน์อินนำศิลาวิญญาณมาให้ตลอด นางไม่เชื่อว่าสถานที่แห่งนี้จะทำให้นางเสียศิลาวิญญาณได้ แต่พอคิดอีกที ที่นี่คือโลกวิญญาณหนานเฟิง ต่อให้เสียศิลาวิญญาณก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
ขณะคิดจะเรียกคนมาถามว่าสมควรนำศิลาวิญญาณมาได้แล้วหรือไม่ ก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลด้านบนชูกระจกใสรูปสี่เหลี่ยมกว้างสี่ฝ่ามือชิ้นหนึ่งในมือขึ้นพลางกล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งที่ประมูลคือกระจกสภาพโลกวิญญาณ ภายในกระจกนี้บันทึกตำแหน่งโลกวิญญาณที่ค้นพบแล้วถึงเจ็ดสิบสองแห่ง มีที่อยู่ของสำนักสิบอันดับแรกและเมืองบำเพ็ญเซียนหลักๆ ของแต่ละโลกวิญญาณเมื่อสามพันปีก่อน รวมถึงพื้นที่ว่างกลางอากาศหนึ่งร้อยแปดแห่งในโลกระดับเทพ ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงว่าเมืองและสำนักเมื่อสามพันปีก่อนจะแตกต่างจากในเวลานี้ ขอเพียงใช้ศิลาวิญญาณขับเคลื่อนกระจกสภาพโลกวิญญาณ ก็จะสร้างแผนที่โลกวิญญาณที่ท่านอยู่ขึ้นใหม่เองในกระจกสภาพโลกวิญญาณ ช่วงนี้ต้องใช้เวลาสามสิบวัน การสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณคิดตามขนาดของโลกวิญญาณ”
จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง โลกวิญญาณเจ็ดสิบสองแห่ง? พื้นที่กลางอากาศหนึ่งร้อยแปดแห่งในโลกระดับเทพ!
นางรู้ดีว่าไม่ได้มีโลกวิญญาณเป่ยเฉินเพียงแห่งเดียว ทว่าตอนนี้แค่โลกวิญญาณที่นางรู้จักก็มีสี่โลกแล้ว ถึงแม้โลกวิญญาณหนานเฟิงเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ที่ติดกับโลกวิญญาณเป่ยเฉินยังไม่ถือว่าเป็นโลกวิญญาณที่แท้จริง ทว่าโลกวิญญาณเจ็ดสิบสองแห่งยังเหนือกว่าที่นางจินตนาการไว้ลิบลับ โลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใดกันแน่นะ?
ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงคือคนที่หลอมสร้างกระจกสภาพโลกวิญญาณ ต้องเคยไปโลกวิญญาณเจ็ดสิบสองแห่งและโลกระดับเทพทั้งหมดแน่ นี่เป็นคนที่มีอิสระถึงเพียงใด!
ข้าต้องการ ข้าต้องการของสิ่งนี้! ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จินเฟยเหยาจึงเกิดความคิดอยากจะท่องไปทั่วโลกวิญญาณทั้งหมดอย่างกะทันหัน โลกระดับเทพก็ต้องไป ข้าอยากจะดูสิว่าที่แท้โลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด กระจกสภาพโลกวิญญาณชิ้นนี้ ข้าจะทำให้มันสร้างแผนที่ขึ้นใหม่อีกครั้ง โลกระดับวิญญาณเจ็ดสิบสองแห่ง คาดว่ายังมีโลกระดับวิญญาณอีกมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ พวกมันรอข้าอยู่!
จินเฟยเหยาราวกับถูกสิ่งลึกลับบางอย่างเข้าสิง ในใจมีเป้าหมายเช่นนี้อย่างอธิบายไม่ได้ อีกทั้งยังบ้าคลั่งอย่างยิ่ง
“เนื่องจากกระจกนี้มีเพียงบานเดียวในโลก เจ้านายของมันข้ามด่านเคราะห์บินขึ้นสวรรค์เป็นเทพไปนานแล้ว ระดับความล้ำค่าหายากแค่คิดดูก็รู้ เดิมทีเจ้าคฤหาสน์ของเรามีความคิดจะท่องเที่ยวโลกวิญญาณทั้งหมดมาตลอด ทว่าลำบากตรงที่กิจธุระรัดตัว ตอนนี้ต้องตัดใจจากของรักยอมมอบกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมา เปิดราคาที่ห้าล้านศิลาวิญญาณชั้นกลาง แต่ละครั้งเพิ่มอย่างน้อยห้าแสนศิลาวิญญาณชั้นกลาง” ผู้ดำเนินการประมูลชูกระจกสภาพโลกวิญญาณชิ้นนั้นขึ้นและตะโกนเริ่มเปิดราคา
ในงานเงียบกริบ ระหว่างโลกวิญญาณล้วนกั้นไว้ด้วยทะเลหรูเมิ่งที่เต็มไปด้วยสัตว์ทะเล ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนไม่เคยไปจากโลกวิญญาณที่ตนเองถือกำเนิดเลยชั่วชีวิต ต่อให้เป็นโลกวิญญาณซิงหลัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็มีคนจำนวนไม่มากไปงานคบหาสหายทางเวทมนตร์ ส่วนมากระหว่างโลกวิญญาณไม่มีวงเวทส่งตัวและเส้นทางไม่เชื่อมถึงกัน
ถ้าคิดจะไป นอกจากสถานที่หลายแห่งนอกเหนือโลกวิญญาณที่คุ้นเคยแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องบ่งชี้ทิศทาง สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ในทะเลหรูเมิ่งอันไร้ขอบเขต ทว่ากระจกสภาพโลกวิญญาณชิ้นนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ทิศทางอย่างหนึ่ง ขอเพียงตั้งใจก็สามารถไปถึงโลกวิญญาณอื่นๆ ได้
เพียงแต่…จะไปโลกวิญญาณมากมายและโลกระดับเทพทำไม? เพื่อท่องเที่ยวชมทิวทัศน์และทำแผนที่อีกครั้งหรือ?
นี่เป็นความคิดของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ในที่นั้น และนี่ก็เป็นความจริง เป้าหมายหลักของผู้บำเพ็ญเซียนคือฝึกปรือเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียร ต่อให้ท่องเที่ยวไปทั่วก็เพื่อเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียร สุดท้ายผ่านด่านเคราะห์บินขึ้นสวรรค์มีอายุขัยเสมอผืนฟ้าและแผ่นดิน ไม่มีอะไรทำก็ใช้เงินมากมายเพื่อวิ่งพล่านไปทั่ว จะมีความหมายใด
อีกทั้งที่สำคัญคือราคาสูงเกินไป ถ้าถูกหน่อยยังสามารถซื้อมาเล่นได้ แพงขนาดนี้ซื้อวิญญาณขั้นหลอมรวมหรือขั้นกำเนิดใหม่มาเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองดีกว่า
ในงานประมูลไม่มีใครเอ่ยปากเสนอราคาเป็นคนแรก ดวงตาของผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่งอย่างดูไม่ออก ในใจร้อนรนอยู่บ้าง เจ้าคฤหาสน์ออกจากบ้านไปแล้ว ถ้ารู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำให้คนผู้นี้ซื้อสิ่งของราคาสูง แล้วให้นางนำศิลาวิญญาณจากไปแบบนี้ต้องลงโทษพวกเขาแน่ สิ่งของอื่นๆ ก็นำออกมาหมดแล้ว แต่นางก็ไม่สนใจ ถ้ากระจกสภาพโลกวิญญาณที่เจ้าคฤหาสน์ได้มาโดยบังเอิญชิ้นนี้ทำให้นางชื่นชอบไม่ได้ ก็ได้แต่จ่ายศิลาวิญญาณแล้ว
ในขณะที่เขากำลังกลัดกลุ้ม จินเฟยเหยาก็เอ่ยปาก “ห้าล้านห้าแสนศิลาวิญญาณ”
เวลานี้ภายในห้องส่วนตัวที่เหมือนกับหลุมศพเหล่านั้น พลันมีเสียงตะโกนบอกราคาดังมา “สิบล้าน”
“หา?” ภายในงานเสียงดังเซ็งแซ่ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนตะโกนบอกทันทีว่าสิบล้าน
จินเฟยเหยามีโทสะเล็กน้อย เมื่อครู่เนิ่นนานไม่มีคนเสนอราคา ตอนนี้ตนเองเพิ่งตะโกนเสนอราคา เจ้าหมอนี่ก็เสนอราคาตามทันที หรือว่าคิดจะเป็นศัตรูกับนาง! นางมองผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินงานประมูลแวบหนึ่ง เห็นแววยินดีในดวงตาของเขา ไม่เหมือนเจ้าคฤหาสน์ไหว้วานมา
ผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลไม่ได้ส่งคนไปเสนอราคาเพิ่มจริงๆ ถึงแม้กระจกสภาพโลกวิญญาณชิ้นนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่า แต่พูดไปพูดมานอกจากบันทึกแผนที่แล้วก็ไม่มีความสามารถอื่นๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเจ้าคฤหาสน์โยนทิ้งไว้ในห้องเก็บของ เขาเกรงว่าถ้าหาคนมาเสนอราคาเพิ่ม สุดท้ายจะทำให้คนที่คิดจะซื้อจริงๆ ตกใจหนีไป
“หนึ่งแสนศิลาวิญญาณชั้นบน” จินเฟยเหยาหน้าเขียว เอ่ยปากตะโกน
ทุกคนไม่เข้าใจ แค่กระจกชิ้นเดียว เหตุใดราคาจึงพุ่งทะยานถึงศิลาวิญญาณชั้นบน? จินเฟยเหยาคำนวณแล้ว บวกกับศิลาวิญญาณที่ตนเองขุดได้ที่เหมืองศิลาวิญญาณซันจือ ตอนนี้ในมือนางมีศิลาวิญญาณชั้นยอดเจ็ดสิบแปดก้อนและศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งแสนห้าหมื่นหกร้อยห้าสิบก้อน นางไม่เชื่อว่าตนเองจะประมูลของวิเศษที่ใช้เป็นแผนที่ชิ้นเดียวไม่ได้ ถ้าประมูลไม่ได้ ต่อให้ข้าต้องทำลายเมืองหยวนก็ต้องได้มาไว้ในมือ!
คนภายในห้องส่วนตัวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเรียบๆ “ห้าแสนศิลาวิญญาณชั้นบน”
ฟุ่บ จินเฟยเหยายืนขึ้น มองห้องส่วนตัวที่เหมือนโลงศพห้องนั้นอย่างเดือดดาล แล้วเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เพิ่มศิลาวิญญาณชั้นยอดอีกสิบก้อน!”
“ศิลาวิญญาณชั้นยอด! คนผู้นี้บ้าไปแล้ว!” เวลานี้ภายในงานประมูลทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่พวกเขามีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นศิลาวิญญาณชั้นยอด ทว่าวันนี้กลับได้เห็นคนสองคนตะโกนเสนอราคาศิลาวิญญาณชั้นยอดสิบก้อนเพื่อแผนที่ชิ้นเดียว
“ศิลาวิญญาณชั้นยอดสามสิบก้อน” คนในห้องส่วนตัวยิ่งจะเอาให้ได้ ตะโกนเสนอราคาต่อ
คนผู้นี้จงใจ! เขาเดาออกว่าข้าอยากได้กระจกสภาพโลกวิญญาณเป็นพิเศษ เขาจงใจไม่อยากให้ข้าซื้อ จินเฟยเหยาเดือดดาลจริงๆ แล้ว นางกำหมัด ปราณวิญญาณสีดำแผ่กระจายออกมาจากร่าง อานุภาพกดดันอันแข็งแกร่งแผ่ขยายไปทั่วห้องประมูล
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าก่อเรื่องในงานประมูลของคฤหาสน์อิน ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนต่างตกตะลึง ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลรีบตะโกนว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้โปรดสงบใจหน่อย ทุกคนแข่งขันกันอย่างยุติธรรม อย่ามีโทสะ!”
จินเฟยเหยาไม่สนใจเลยสักนิด นางกำหมัดแน่น ปากมีเขี้ยวอันแหลมคมงอกออกมา เตรียมกลายร่างเป็นเทาเที่ยฉีกคนในห้องส่วนตัวเป็นชิ้นๆ
“ข้าเพียงแค่คิดจะเก็บป้ายผลึกม่วงที่มีศิลาวิญญาณชั้นยอดเจ็ดสิบสองก้อนกลับไป เศษเงินไม่ต้อง ส่วนกระจกสภาพโลกวิญญาณมอบให้เจ้า” คนในห้องส่วนตัวพลันถ่ายทอดเสียงมาหาจินเฟยเหยา
“หืม?” จินเฟยเหยารู้ฐานะของคนผู้นี้ทันที ถ่ายทอดเสียงไปอย่างหมดความอดทน “เจ้ามีฐานะเป็นเจ้าคฤหาสน์ คิดไม่ถึงว่าจะเรียกราคาเพิ่มอยู่เบื้องหลังเอง เกินไปแล้วนะ หรือว่าคฤหาสน์อินของพวกเจ้ายากจนจนกลายเป็นเช่นนี้ เก็บวิญญาณไปแล้วศิลาวิญญาณเล็กน้อยแค่นี้ก็ตัดใจมอบให้ไม่ได้ ไม่มีความซื่อสัตย์ของคนค้าขายมากเกินไปแล้ว”
“สิ่งที่ไม่มีค่าเลยสักนิดสำหรับข้า สำหรับเจ้าแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง สิ่งของชนิดเดียวกันในสายตาของแต่ละคนล้วนมีค่าไม่เหมือนกัน อย่างครั้งนี้ข้าได้ผลอวี้หลงพันปีมา ถึงมันจะอร่อยอย่างที่สุด รสชาติของมันถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่ติดที่สิบอันดับแรกของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ทว่าราคาของมันในสายตาของข้าและเทาเที่ยแตกต่างกัน” บุรุษในห้องส่วนตัวเอ่ยเรียบๆ อย่างสงบนิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อว่า “สหายเซียนจิน สำหรับข้าผลอวี้หลงและกระจกสภาพโลกวิญญาณล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทว่าสำหรับเจ้ากลับเป็นสิ่งล้ำค่าที่จำเป็นต้องได้มา สำหรับข้ามีเพียงศิลาวิญญาณเท่านั้นที่เป็นสิ่งล้ำค่า ใช้สิ่งล้ำค่าในใจของข้าแลกเปลี่ยนกับสิ่งล้ำค่าในใจของเจ้า ข้ารู้สึกว่ายุติธรรมอย่างยิ่ง เจ้าระงับโทสะก่อน ร้านเล็กๆ ของข้าทนรับการอาละวาดของเจ้าไม่ไหว คนตายที่เมืองหยวนมีมากพอแล้ว คฤหาสน์อินของข้ายังเคยไม่มีคดีถึงแก่ชีวิตในบ้านมาก่อน”
“เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร” จินเฟยเหยาค่อยๆ เก็บอานุภาพกดดันและพลังวิญญาณที่แผ่ออกไปกลับมา แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“หึหึหึ” เจ้าคฤหาสน์อินหัวเราะ “สหายเซียนจิน เป็นบุคคลที่สว่างไสวราวกับแสงไฟในราตรีอันมืดมิดแบบนี้ ข้าน้อยจะจำไม่ได้ได้อย่างไร”