คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 299 จากไป
จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคนเหาะมาก็รู้สึกหงุดหงิดแทบตาย ภายในสามสิบวันมีผู้บำเพ็ญเซียนปรากฏขึ้นสิบเจ็ดระลอก
ความเคลื่อนไหวของกระจกสภาพโลกวิญญาณใหญ่โตเกินไป เสาแสงแบบนี้ไม่ต้องเดินทางผ่านมาก็สามารถมองเห็นได้แต่ไกล หากมิใช่จินเฟยเหยามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ เสาแสงและเกาะลอยได้เล็กๆ ก็เพียงพอจะทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาตาแดงก่ำด้วยความริษยา บังเกิดความคิดปล้นชิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าที่นี่คือโลกวิญญาณหนานเฟิงที่มีคนชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด
“พั่งจื่อ อานุภาพของเจ้าใช้ไม่ได้เลย ทำอย่างไรจึงสามารถเลื่อนขั้นได้เร็วขึ้นหน่อย ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมก็ยังไม่กลัวเจ้าเลย นำพลังที่ทำลูกออกมา ตั้งใจเลื่อนขั้นหน่อย” จินเฟยเหยายืนเท้าสะเอวอยู่ข้างพั่งจื่อ สั่งสอนอย่างอารมณ์ไม่ดี
พั่งจื่อหดร่างให้มีขนาดเท่านางและมองนางด้วยสีหน้าโง่งม ไม่รู้ว่ามันได้ยินหรือไม่ ไม่เห็นขยับเขยื้อนสักนิด
จินเฟยเหยามองดูอย่างละเอียด พลันพบว่ามันกำลังนอนหลับทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่ครึ่งหนึ่ง มิน่าเล่าจึงไม่มีปฏิกิริยากับการสั่งสอนของนาง กลายเป็นว่าเมื่อครู่พูดอย่างเสียเปล่าอยู่นาน จินเฟยเหยายกขาขึ้นเตะพั่งจื่อไปกระแทกเกาะลอยได้เล็กๆ อย่างเดือดดาล
พั่งจื่อหัวกระแทกเกาะลอยได้จนตื่นขึ้นมา มันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบด้าน เมื่อพบว่าตนเองอยู่บนเกาะลอยได้จึงวางใจ ก็หัวเอียงหลับลงกับพื้นอีก
“น่าโมโหยิ่งนัก!” จินเฟยเหยาด่าทออย่างเดือดดาล หันหน้าไปมองกระจกสภาพโลกวิญญาณ คำนวณวันดูน่าจะใกล้เสร็จแล้ว
เสียงดังวิ้งๆ รัศมีแสงที่กระจกสภาพโลกวิญญาณยิงออกไปค่อยๆ ถูกเก็บกลับมา หลังจากแสงรัศมีหายไปหมด วงเวทบนพื้นก็หดกลับเข้ามาอยู่ในกระจกสภาพโลกวิญญาณ หลังจากบานกระจกกระพริบแสงก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ
จินเฟยเหยาหยิบกระจกสภาพโลกวิญญาณขึ้น หลังจากใช้การรับรู้ถ่ายเทเข้าไปแล้วมองดู ในแผนที่โลกวิญญาณเป่ยเฉินปรากฏแผนที่โลกวิญญาณหนานเฟิงแล้ว โลกวิญญาณหนานเฟิงบนแผนที่มีขนาดแค่เส้นเล็กละเอียด สามด้านติดกับแผ่นดินใหญ่ อีกด้านหนึ่งติดทะเล แม้แต่เมืองหยวนและเมืองจุ้ยเทียนก็มีสัญลักษณ์อยู่บนนั้น
ส่วนโลกวิญญาณเป่ยเฉินกลับเปลี่ยนเป็นมีขนาดเล็กอย่างน่าสงสาร ท่าทางสามพันปีมานี้ไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก่อน
การสู้รบครั้งที่แล้วเกิดขึ้นที่โลกระดับเทพ จุดนี้เนื่องจากไม่ได้ไปโลกระดับเทพ ดังนั้นแผนที่ยังเป็นเหมือนเดิม ส่วนที่มีสีขาวคือโลกระดับวิญญาณ ส่วนเล็กๆ สีเขียวที่ปรากฏขึ้นรางๆ บนนั้นคือโลกระดับเทพ บนนั้นไม่ได้เขียนชื่อเป็นพิเศษ เพียงแต่เนื่องจากอยู่เหนือโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ดังนั้นจึงเขียนด้วยอักษรแบบเดียวกันว่าโลกเทพเป่ยเฉิน
“ข้าอยากไปโลกวิญญาณซิงหลัว แต่ข้าไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร จะส่งนกปีกสวรรค์ไปถามเสี่ยวปู้หรือไม่” จินเฟยเหยามองกระจกสภาพโลกวิญญาณอย่างละเอียด รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
ทันใดนั้น นางก็สังเกตเห็นตรงริมทะเลโลกวิญญาณเป่ยเฉินมีจุดสีแดง ส่วนบนโลกวิญญาณซิงหลัวก็มีจุดสีแดงเล็กๆ สามแห่ง จินเฟยเหยารีบเลื่อนแผนที่มาดู พบสถานที่บนทะเลที่นำไปสู่โลกวิญญาณซิงหลัวยังมีจุดสีแดงเล็กๆ หลายจุด
“หรือว่านี่คือวงเวทส่งตัวหรืออุโมงค์?” จินเฟยเหยาคิดถึงความเป็นไปได้นี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปดูก่อน
นางหายร่างกลับมาที่เกาะลอยได้ เตะพั่งจื่อปลุกให้มันตื่น จากนั้นรีบเดินเข้าไปหน้ากระท่อมที่ต้านิวอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้แล้วตะโกนบอกข้างในว่า “พวกเราจะไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวก่อนชั่วคราว รอให้ข้าหาสถานที่ปลอดภัยได้จะมาจัดการร่างให้เจ้า ตอนนี้เจ้าใช้ไปก่อนชั่วคราว”
ในกระท่อมเงียบกริบ ไม่มีคนตอบรับคำพูดนาง ทว่าจินเฟยเหยาไม่ใส่ใจเลยสักนิด มอบหมายให้เสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่ดูแลเกาะลอยได้ จากนั้นนางก็หิ้วพั่งจื่อเดินออกจากเกาะ
จินเฟยเหยาเก็บเกาะลอยได้แล้วพาพั่งจื่อรุดไปยังสถานที่ที่มีจุดสีแดง
สถานที่ที่มีจุดสีแดงอยู่ในโลกวิญญาณเป่ยเฉิน นางออกจากโลกวิญญาณหนานเฟิงก่อน หลีกเลี่ยงผู้บำเพ็ญเซียนที่ลาดตระเวนชายแดนก็เข้าโลกวิญญาณเป่ยเฉินอย่างง่ายดาย
ถึงแม้นางมีชื่อเสียงเลวร้าย แต่ทุกคนไม่ได้มีภาพเหมือนของนางอยู่ในมือ อีกทั้งตอนนี้นางมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ ขอเพียงไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กลุ่มใหญ่มาสกัดขัดขวาง ต่อให้มีคนเห็นก็ได้แต่กินฝุ่นด้านหลังของนาง
จินเฟยเหยาเหาะเหินครึ่งเดือนก็มาถึงสถานที่ที่มีจุดสีแดง ที่นี่เป็นแหลมอันไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
นี่คือแหลมที่สร้างขึ้นจากเศษหินและหาดทราย เวลานี้พอดีเป็นฤดูที่เต่าเจ็ดสีขึ้นฝั่งมาวางไข่ บนทรายจึงมีเต่าเจ็ดสีจำนวนมากกำลังขุดหลุมทรายวางไข่ ส่วนตำแหน่งของจุดสีแดงก็อยู่ใกล้ๆ
จินเฟยเหยานำกระจกสภาพโลกวิญญาณมาเปรียบเทียบ มองลงไปจากกลางอากาศ จุดสีแดงอยู่ที่นี่ ทว่านางค้นหาอยู่นานก็ไม่พบสถานที่ที่น่าสงสัยบนแหลมแห่งนี้
“จริงๆ เลย ใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางของข้าไปห้าหมื่นกว่าก้อน เจ้าจะบอกให้ละเอียดหน่อยไม่ได้หรือ?” จินเฟยเหยาเก็บกระจกสภาพโลกวิญญาณลงในถุงเฉียนคุนอย่างไม่พอใจ จากนั้นเก็บไข่เต่าเจ็ดสีหลายสิบใบ ใช้เวทอัคคีย่างแล้วหาก้อนหินนั่งลงรับประทาน
พั่งจื่อก็นั่งปอกไข่เต่าอยู่ด้านข้างแล้วยัดใส่ปากไม่หยุด จินเฟยเหยาเห็นท่าทางการกินของมันก็อดด่าทอไม่ได้ “เจ้ากินช้าๆ หน่อยได้หรือไม่ เป็นผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดหรือ หาดทรายแห่งนี้เต็มไปด้วยไข่เต่า กินเสร็จค่อยย่างอีก ดูท่าทางการกินของเจ้าสิ แค่ชั่วพริบตาก็กินไปสามสี่สิบฟองแล้ว”
“อ๊บ! อ๊บๆๆ” พั่งจื่อชี้ไข่เต่าแล้วร้องอย่างไม่ยินยอม
จินเฟยเหยาก็เหล่มมองมันแล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนข้าจะจำได้ว่าจะไม่กินอาหารที่ไม่อร่อยเยอะๆ อีก แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่กินอาหารอร่อยมากๆ ไข่เต่าเจ็ดสีเลิศรสอย่างยิ่ง ข้ากินมากหน่อยจะกลัวอะไร อีกทั้งข้าก็ไม่ได้กินมากเท่าไร แค่ห้าสิบหกสิบฟองเท่านั้นเอง”
พั่งจื่อกลอกตาใส่นาง ไข่เต่าถือเป็นของเลิศรสอะไร เห็นได้ชัดว่ามีของกินก็กินจนพุงกางเหมือนเมื่อก่อน ยังมีหน้ามาบอกว่าต่อไปตนเองจะกินแต่อาหารอร่อยและไม่กินมากๆ อีก
จินเฟยเหยายัดไข่เต่าใบหนึ่งใส่ปากต่อแล้วพูดจาอู้อี้ว่า “พั่งจื่อ อีกสักครู่เจ้าลงทะเลไปดูหน่อยว่าในทะเลมีสถานที่แปลกประหลาดอะไรหรือไม่ บนฝั่งข้าหาแล้ว ไม่พบสถานที่ที่น่าสงสัย”
พั่งจื่อที่ยุ่งอยู่กับการยัดไข่เต่าใส่ปากพยักหน้าตอบรับ
เต่าเจ็ดสีหลั่งน้ำตามองพวกนางกินอย่างรวดเร็วและดุร้าย กินจนเปลือกไข่กองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ เห็นพวกมันหลั่งน้ำตา จินเฟยเหยาถือน้ำเต้าเฉียนคุนดื่มน้ำแล้วเอ่ยว่า “ทำเสียเหมือนกำลังร้องไห้ ข้ารู้นะว่าพวกเจ้าร้องไห้ตอนวางไข่ ทรายเข้าตาสินะ เช่นนั้นก็ร้องไห้มากๆ ล้างดวงตาเถอะ ว่าไปแล้ว ไข่แดงแห้งเกินไป ไข่ขาวอร่อยกว่า รู้แต่แรกจะเอาไข่แดงทั้งหมดให้พั่งจื่อ แล้วข้ากินไข่ขาวก็พอ”
น่าเสียดายที่เวลานี้พั่งจื่อลงทะเลไปแล้วจึงไม่ได้ยินคำพูดพึมพำกับตนเองของจินเฟยเหยา ไม่เช่นนั้นมันต้องชี้หน้านางด่าว่าเห็นแก่ตัวแน่ ไม่ได้มีนางคนเดียวที่ไข่แดงติดคอเสียหน่อย
จินเฟยเหยาที่กินไข่เต่าจนมีกลิ่นอุจจาระเต่านั่งมองทะเลหรูเมิ่งอยู่บนก้อนหินริมทะเลรอคอยพั่งจื่อ นางอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงครุ่นคิดว่า เหตุใดทะเลผืนนี้จึงชื่อว่าทะเลหรูเมิ่ง[1] ชื่อไม่ดุร้ายเลยสักนิด
หรือว่าทะเลผืนนี้ดุร้ายจนเหมือนความฝัน ไม่มีใครสยบมันได้ ดังนั้นจึงเรียกมันว่าทะเลหรูเมิ่ง มีความหมายโดยนัยรางๆ
“อ๊บๆๆ” ในเวลานี้เอง พั่งจื่อพลันโผล่ขึ้นจากทะเลแล้วตะโกนเรียกจินเฟยเหยาอย่างตื่นเต้น
“อะไรนะ! ด้านล่างมีถ้ำน่าสงสัยแห่งหนึ่ง?” จินเฟยเหยารีบลุกขึ้นยืน หรือว่าจุดสีแดงอยู่ใต้ทะเลจริงๆ?
ตอนนี้นางเป็นขั้นกำเนิดใหม่แล้ว คิดจะลงทะเลขอเพียงไม่อยู่เป็นระยะเวลานานหลายวันก็สามารถไม่หายใจชั่วคราวได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงดำลงทะเลไปกับพั่งจื่อทันทีโดยไม่ได้ครอบฟองแสงนรกให้ตนเอง
ว่ายติดตามพั่งจื่อในทะเลครู่หนึ่ง ก้นทะเลเปลี่ยนจากทางลาดเป็นหน้าผาที่ตั้งตระหง่านใต้ทะเลทันที บนหน้าผามีถ้ำอันมืดมิดสูงเท่าสองตัวคนแห่งหนึ่ง นางลอยอยู่ตรงปากถ้ำ นึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีขึ้นได้ ตอนนั้นก็เป็นถ้ำแบบนี้ ทำให้ตนเองเดินอยู่ในนั้นหนึ่งปีจึงมาถึงโลกระดับวิญญาณ ตอนนี้คงไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ?
ใช้การรับรู้เข้าไปสำรวจดูด้านใน ดวงตาของจินเฟยเหยาพลันเปล่งประกาย หยิบหินแสงราตรีออกมาพาพั่งจื่อว่ายเข้าไปข้างใน
ว่ายเข้าไปได้ประมาณหนึ่งหลี่ จินเฟยเหยาก็โผล่ออกมาจากในน้ำทะเลภายใต้แสงสว่างของหินแสงราตรี ที่แท้ในนี้มีถ้ำใต้ดินที่มีช่องว่าง น้ำทะเลเต็มอุโมงค์กลับไม่ได้ท่วมขึ้นมา ด้านในมืดสนิท ระดับความสว่างของหินแสงราตรีก้อนเดียวไม่เพียงพอ จินเฟยเหยาจึงนำเปลวเพลิงสูงครึ่งตัวคนออกมาส่องสว่างภายในถ้ำ
จินเฟยเหยาวนดูรอบหนึ่ง พบว่าถ้ำแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นักกว้างเพียงสามสี่จั้งกว่าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากก้อนหิน หรือว่านี่คือถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่จริงไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าไม่ใช่ที่นี่จุดสีแดงจะอยู่ที่ใด!
ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะเห็นอะไรบางอย่างบนพื้น นางชูบอลไฟแล้วเดินเข้าไปดู ในใจไม่รู้ว่ายินดีหรือกังวล
บนพื้นมีวงเวทส่งตัวอันหนึ่ง ความแตกต่างจากวงเวทอื่นๆ เพียงอย่างเดียวคือเป็นสีเทาตุ่นๆ นอกจากสกปรกแล้ว อีกความหมายหนึ่งคือบนนั้นไม่มีศิลาวิญญาณ นี่แสดงว่าจินเฟยเหยาต้องเสียศิลาวิญญาณอีกแล้ว
“ทางที่ดีเจ้าใช้ศิลาวิญญาณน้อยๆ หน่อย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าถึงข้าอยากจะใช้เจ้าก็คงใช้ไม่ไหว” จินเฟยเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญา ปกติไม่ค่อยรู้สึกว่าศิลาวิญญาณสำคัญ เวลานี้จึงพบว่าศิลาวิญญาณยังสำคัญกว่าอาหารอีก!
สะบัดแขนเสื้อ สายลมก็พัดมาแล้วกวาดฝุ่นทั้งหมดบนวงเวทส่งตัวไป ลวดลายของวงเวทส่งตัวทั้งหมดจึงเผยออกมา
วงเวทส่งตัวอันนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ดูขนาดแล้วอย่างมากที่สุดก็ส่งตัวได้สองคน แต่ที่ทำให้คนสบายใจคือใช้ศิลาวิญญาณไม่มากนัก อีกทั้งวงเวทส่งตัวก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้อนี้สำคัญที่สุด ถ้าวงเวทเสียหาย ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกส่งตัวไปที่ใดระหว่างทาง ไม่แน่ว่าจะโยนทิ้งไว้ในรอยแยกอวกาศ[2] ตกตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
จินเฟยเหยายังนำศิลาวิญญาณชั้นล่างออกมาทดลองดูก่อน ใช้ไม่ได้เหมือนเดิมอย่างที่คาดไว้จริงๆ วงเวทส่งตัวไม่มีแสงรัศมีเลยสักนิด นางจึงนำศิลาวิญญาณชั้นกลางออกมาอย่างไม่พอใจและวางลงไปอย่างแสนเสียดาย วงเวทส่งตัวส่งเสียงวิ้งๆ ตรงที่วางศิลาวิญญาณก็สว่างขึ้น
“ศิลาวิญญาณของข้า!” จินเฟยเหยาด่าทอประโยคหนึ่งแล้วเริ่มวางศิลาวิญญาณ
โชคดีที่วงเวทส่งตัวอันนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ใช้ศิลาวิญญาณเพียงหกร้อยก้อนก็วางเต็ม จินเฟยเหยามองวงเวทส่งตัวอันสว่างเจิดจ้าที่ใช้เพียงศิลาวิญญาณขับเคลื่อนก็สามารถส่งตัวได้ แล้วกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
“ไปเถอะ ไม่ว่ามันจะส่งตัวไปสถานที่ใด ขอเพียงไม่ใช่ในรอยแยกอวกาศก็ใช้ได้!” จินเฟยเหยาผลักพั่งจื่อแล้วสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปในวงเวทส่งตัวและถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป วงเวทส่งตัวส่งเสียงดังวิ้งๆ หลังแสงรัศมีผ่านพ้น ภายในถ้ำก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบและมืดมิดทันที ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
…………………………………
[1] หรูเมิ่ง แปลว่า ดั่งความฝัน
[2] รอยแยกอวกาศ หมายถึง รูหนอนที่ไม่เสถียรอย่างยิ่ง รูหนอน คือ อุโมงค์ในกาล-อวกาศ