คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 310 โรคจิต
พั่งจื่อส่งตัวจากเกาะจ้งเซี่ยกลับเกาะปาจิ่ง ล้วงนกหมอกออกมาจากถุงเฉียนคุน
นี่คืออาวุธเวทรูปนกชนิดหนึ่งที่มีวงเวทขี่สายลม แค่ใส่ศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งก้อนตรงก้นก็สามารถเหาะเหินกลางอากาศได้ห้าชั่วยาม แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถนั่งโดยสารได้ คนธรรมดาที่ร่ำรวยส่วนมากล้วนซื้อไว้ใช้ในบ้านตัวหนึ่ง ใช้ออกจากบ้านไปหาญาติบนเกาะที่อยู่ใกล้ๆ ได้สะดวกสบายอย่างยิ่ง
นกหมอกตัวนี้พั่งจื่อเป็นคนซื้อเอง มันไม่โง่ขนาดว่ายน้ำกลับไปเกาะตงเหลียง
มันเหาะสามชั่วยามก็ถึงเกาะตงเหลียง เพิ่งผ่านวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจก็ได้ยินสตรีผู้หนึ่งตะโกนอย่างเดือดดาลบนเกาะ
“จินเฟยเหยา ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน เจ้าหากระดูกสัตว์ปิศาจขั้นเก้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าไม่เอาด้วยแล้ว!” หน้ากระท่อมของเกาะลอยได้ มีสตรีที่สวมชุดอันงดงามกำลังชี้หน้าด่าทอจินเฟยเหยาที่อยู่ด้านข้าง ด่าอย่างเดียวไม่พอ ยังฉีกทึ้งสิ่งของบนตัวชิ้นหนึ่งโยนไปเบื้องหน้าจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยากำลังนับว่าครั้งนี้ได้วัตถุดิบและตานสัตว์ปิศาจเท่าใด เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีที่เดือดดาล ก็เพียงแค่หยิบสิ่งของที่นางโยนขึ้นมาดูจากนั้นเอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าว่านะหวาหวั่นซี เจ้าอย่าใช้กำลังดึงแขนลงมาได้หรือไม่ ข้าต้องใช้เวลาใส่เข้าไปนะ เจ้าเปลี่ยนนิสัยหน่อยได้ไหม จู้จี้จุกจิก ไม่เข้ากับรูปลักษณ์อันงดงามของเจ้าเลยสักนิด”
“รูปลักษณ์อันงดงาม! ตอนนี้ข้ามีรูปลักษณ์อะไร? นี่คือรูปลักษณ์ที่เจ้าเอ่ยถึง ข้าจะเปิดออกให้เจ้าดู!” สตรีที่สวมชุดหรูหราสง่างามมีท่าทางดุร้าย เป็นวิญญาณของหวาหวั่นซีที่สิงอยู่ในตัวหุ่นเชิดร่างแยกวิญญาณจริง
ฝีมือของจินเฟยเหยายอดเยี่ยมยิ่ง ทำใบหน้าของหวาหวั่นซีได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ เหมือนตอนมีชีวิตอยู่ราวกับพิมพ์เดียวกัน ผิวพรรณเนียนดุจหยกมันแพะ เส้นผมยาวดำขลับ ดวงตาโตที่สดใสและฉลาดเฉลียว บวกกับริมฝีปากแดงเป็นมันวาว ตรงหว่างคิ้วฝังมุกสีสันสดใสส่องประกายเม็ดหนึ่ง งดงามจนทำให้ใจสั่นสะท้าน ต่อให้บอกความจริงว่านางเป็นเพียงหุ่นเชิดก็ไม่มีใครเชื่อ
เวลานี้นางกำลังแก้เข็มขัดบนร่างออกอย่างรวดเร็ว หลังแก้เข็มขัดออกก็เปิดเสื้อผ้าให้จินเฟยเหยาดู
พั่งจื่อเข้ามาพอดี จินเฟยเหยาเอียงศีรษะไปมองพั่งจื่อ “พั่งจื่อ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? เจอคนขายหนังสุกรผีเสื้อหยกหรือไม่?”
พั่งจื่อหยิบป้ายชิ้นหนึ่งออกมาอย่างว่องไว หมึกวิญญาณเก่าๆ บนนั้นใกล้จะเลือนหายไปแล้ว เขียนอักษรไว้เพียงสองตัวว่า ‘ไม่มี’
“อ๊า! ข้าไม่ขออยู่แล้ว เพราะเหตุใดจึงไม่มีหนังสุกรผีเสื้อหยก!” พอหวาหวั่นซีเห็น ก็ใช้มือข้างหนึ่งกุมศีรษะร้องไห้คร่ำครวญ
“เดิมทีเจ้าก็ตายแล้ว” จินเฟยเหยากลอกตาใส่นาง จากนั้นพูดกับพั่งจื่อ “ข้าไม่ได้ฟังคำพูดของเจ้าไม่เข้าใจ จะชูป้ายทำไม!”
พั่งจื่อได้แต่ชี้หวาหวั่นซีแล้วร้อง “อ๊บๆ อ๊บ”
“รู้แล้ว ถ้าเจ้าทนดูต่อไปไม่ได้ก็รีบเอาหนังสุกรผีเสื้อหยกและกระดูกสัตว์ปิศาจขั้นเก้ามา ไม่เช่นนั้นเป็นแบบนี้ตลอดข้าก็ลำบาก” จินเฟยเหยาโบกสิ่งของที่หวาหวั่นซีโยนมา พอดีเป็นแขนข้างหนึ่ง
แขนข้างนี้หวาหวั่นซีเป็นคนฉีกลงมาเอง สิ่งที่ไม่เหมือนกับผิวพรรณบนใบหน้าอันงดงามจับใจคนของนางคือแขนข้างนี้เป็นหนังเหี่ยวย่นสีดำทั้งหมด พอเห็นก็รู้ว่าเป็นหนังแข็งๆ ของสัตว์ทะเลสีดำ จากนั้นมองหวาหวั่นซีที่กำลังทึ้งเส้นผมอย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่คอขึ้นไปเป็นสาวงามขาวเนียนนุ่ม ทว่าตั้งแต่คอลงมาในเสื้อผ้าที่เปิดกว้างกลับเป็นร่างที่ทำจากหนังสัตว์แข็งๆ สีดำ
ความแตกต่างแบบนี้ทำให้คนยากจะรับได้ ศีรษะคือเทพธิดา ร่างกายกลับเป็นยักษ์ แตกต่างกันเกินไปแบบนี้ทำให้หวาหวั่นซีผู้เย่อหยิ่งรับไม่ได้ แม้แต่พั่งจื่อที่เป็นกบก็ไม่อยากมองดูมากนัก
“กรี๊ด!” หวาหวั่นซีอาละวาดอย่างรุนแรง ใช้เรี่ยวแรงมหาศาลในมือทึ้งผมบนศีรษะลงมา ศีรษะครึ่งหนึ่งกลายเป็นล้านเลี่ยน นางถือเส้นผมสีดำครึ่งหนึ่งตะลึงงันทันที
จินเฟยเหยาเห็นแบบนี้ก็กระโดดมาใช้มือแย่งเส้นผมในมือนางไปแล้วด่าทออย่างเดือดดาล “เจ้าทำอะไรน่ะ! นี่เป็นขนยาวที่ดึงลงมาจากร่างหลังข้าแปลงกายเป็นเทาเที่ยนะ เจ็บมากด้วย! ถ้าเจ้าทึ้งขาด ข้าจะใช้น้ำหมึกของปลาหมึกย้อมเอ็นสัตว์ทำเส้นผมให้เจ้า”
“คุณภาพต่ำเกินไปแล้ว!” หวาหวั่นซีพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างเสียใจแล้วหลับตาไม่เคลื่อนไหว
“จริงๆ เลย กลายเป็นหุ่นเชิดแล้วยังเจ้าอารมณ์ขนาดนี้ สงบบ้างไม่ได้เลย” จินเฟยเหยาสั่นเส้นผมในมือ โชคดีที่ไม่ได้ทึ้งจนขาด ไม่เช่นนั้นต้องเปลี่ยนร่างเป็นเทาเที่ยมาดึงขนทำเส้นผมให้นางอีก
แต่นางก็ถอนหายใจยาวเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าก็อยากใช้กระดูกสัตว์ขั้นเก้าบวกกับหนังสุกรผีเสื้อหยกทั้งตัวสร้างร่างหุ่นเชิดอันสมบูรณ์แบบออกมา แต่ใครจะรู้ว่าข้าอยู่ที่โลกวิญญาณซิงหลัวมาสี่สิบกว่าปี เจอหนังสุกรผีเสื้อหยกชิ้นเท่านี้พอสร้างแค่ส่วนศีรษะพอดี ส่วนคอลงมาย่อมต้องฝืนใจใช้ไปก่อน มีหนังสัตว์ชนิดใดก็ใช้หนังสัตว์ชนิดนั้น”
จินเฟยเหยาบ่นพลางเริ่มใส่แขนให้หุ่นเชิดที่ยืนนิ่ง แขนข้างนี้ที่จริงก็ไม่ถือว่าหวาหวั่นซีฉีกลงมา นี่คือส่วนที่ถูกสัตว์ปิศาจโจมตีตอนพวกนางสองคนออกไปล่าสัตว์ปิศาจ เนื่องจากใช้วัสดุไม่ดี แค่พอฝืนใช้ได้ ดังนั้นจึงถูกโจมตีจนเหลือหนังห้อยอยู่เล็กน้อย หวาหวั่นซีจึงดึงลงมาโยนทิ้งอย่างเดือดดาล
ต่อแขนใหม่ต้องใช้เวลานิดหน่อย นางถอดเสื้อผ้าของหุ่นเชิดทั้งหมด ใช้พลังวิญญาณหลอมตรงรอยต่อให้เข้ากัน
ขณะกำลังหลอมแขนหุ่นเชิดพลันลืมตาขึ้นอีก ครั้งนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เอ่ยวาจาอย่างนุ่มนวลว่า “เฟยเหยา เจ้าไม่ต้องสนใจนาง นิสัยของนางเป็นแบบนี้มาตลอด ในอดีตไม่เคยได้รับความลำบากแบบนี้จริงๆ พวกเรารู้ว่าเจ้าแทบใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจนเกลี้ยงเพื่อร่างนี้ พั่งจื่อก็ออกไปตั้งแผงทั้งวัน ส่วนใหญ่คือเนื่องจากคิดจะค้นหาวัสดุดีๆ มาสร้างร่างกายให้พวกเรา”
“เนี่ยนซี เจ้าไม่ต้องพูดแก้ตัวแทนนาง นางยิ่งไม่พอใจ ครั้งหน้าตอนออกไปล่าสัตว์ปิศาจก็จะยิ่งฮึกเหิม เห็นสัตว์ปิศาจราวกับเห็นศัตรู” จินเฟยเหยามองหุ่นเชิดแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
วิญญาณในหุ่นเชิดเวลานี้เปลี่ยนเป็นเนี่ยนซี นางไม่ได้ปัญญาอ่อน ทว่ามีสติปัญญาแล้ว ยืนให้จินเฟยเหยาซ่อมแขนอย่างสงบนิ่ง
จินเฟยเหยาเพิ่งเอ่ยวาจาจบ ดวงตาของเนี่ยนซีก็หลับลงอย่างกะทันหัน สองอึดใจต่อมาก็ลืมตาขึ้นทันที ขึ้นเสียงคำราม “จินเฟยเหยา! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ว่าร้ายข้า ครั้งหน้าถ้าออกไปล่าสัตว์ปิศาจอีก ข้าจะไม่ลงมือ ให้เจ้าเหนื่อยตาย!”
“เอะอะแทบตายแล้ว! ตอนพวกเจ้าผลัดเปลี่ยนกันออกมาบอกเตือนหน่อยได้หรือไม่ ข้าตกใจหมด” จินเฟยเหยากำลังฟังเนี่ยนซีเอ่ยวาจาอ่อนโยนอยู่ พลันเปลี่ยนเป็นหวาหวั่นซีกะทันหัน เกือบจะทำให้นางตกใจ
หวาหวั่นซียังบ่นอย่างหยิ่งทะนง จากไม่พอใจร่างกายจนมาถึงเกาะลอยได้เล็กเกินไป คนรับใช้มีน้อย แม้แต่ขาดบุรุษก็พูดออกมา จินเฟยเหยาคร้านจะโต้เถียงกับนาง ถึงมัดตัวบุรุษมาให้ ใครจะกล้าคร่อมร่างนาง
จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าตนเองใส่วิญญาณของหวาหวั่นซีในหุ่นเชิดร่างแยกวิญญาณจริงจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ วิญญาณของหวาหวั่นซีสร้างขึ้นจากวิญญาณหวั่นซีจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณทำขึ้น ในนั้นมีวิญญาณที่โตเต็มวัยจำนวนไม่น้อย บางอันหลอมรวมกันแล้ว บางอันกลับดำรงอยู่ดังเดิม
เมื่อนางนำหนังสุกรผีเสื้อหยกที่ใช้เงินก้อนโตประมูลได้จากสถานประมูลและโลหิตม้าสายตรงของฉีหลินที่ได้จากหลินชิงเจียงหลอมกล้ามเนื้อและผิวหนังให้หัวกะโหลกหุ่นเชิด ทั้งยังใช้วัสดุอื่นๆ ทำองคาพยพทั้งห้า นางจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดก่อนหน้านี้จึงมักจะถูกหัวกะโหลกงับ
คิดไม่ถึงว่าในวิญญาณของหวาหวั่นซีจะมีคนมากมาย ปกติคนที่ออกมาบ่อยที่สุดคือหวาหวั่นซี เนื่องจากพลังจิตวิญญาณของนางแข็งแกร่งที่สุด ต่อมาคือเนี่ยนซี เนี่ยนซีคนนี้ไม่ได้ปัญญาอ่อน เนื่องจากหลอมรวมกับสติปัญญาของหวั่นซีคนอื่นๆ จึงเป็นปกติแล้ว นอกจากพูดจานุ่มนวลได้ นางก็แตกต่างจากหวาหวั่นซี นางไม่มีพลังโจมตี
ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาปวดศีรษะมากที่สุดคือมีเพียงขณะที่หุ่นเชิดเป็นหวาหวั่นซี หุ่นเชิดจึงมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ขณะที่หุ่นเชิดเป็นคนอื่นๆ จะไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เป็นแบบนี้ก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าในนั้นยังมีวิญญาณจริงของท่านแม่หวาซีด้วย หญิงชราคนนี้พูดมากเกินไป
ขอเพียงวิญญาณท่านแม่หวั่นซีออกมา นางก็จะเริ่มกรีดมือวาดเท้าบอกว่า หญ้าในแปลงสมุนไพรยังไม่ได้ถอน เตาหลอมยายังไม่ได้ทำความสะอาด ใบของพืชวิญญาณที่เหี่ยวยังไม่ได้ตัดทิ้ง ถึงอย่างไรก็ต้องม้วนแขนเสื้อขึ้นและถือผ้าขี้ริ้วเริ่มทำงานบ้านอยู่ดี
เทียบกับหวั่นซีตัวน้อยอายุหกเจ็ดขวบที่ต้องการเล่นซ่อนหาทั้งวันแล้ว ท่านแม่หวั่นซีจึงเป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้คนหวาดกลัวที่สุด
เพื่อแยกแยะพวกนาง นอกจากชื่อของหวาหวั่นซีและเนี่ยนซีแล้ว เด็กน้อยใสซื่อที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนตั้งชื่อว่าเสี่ยวหวั่น ส่วนท่านแม่หวาซีก็คือฮูหยินหวา
สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมจิตใจคือ หวาซีสร้างหวั่นซีขึ้นมามากมาย เวลานี้มีเพียงสี่คนที่ปรากฏตัวขึ้น ถ้าเพิ่มมาอีก จินเฟยเหยาคิดว่าตนเองคงต้องทำลายหุ่นเชิดทิ้ง เพียงเพื่อไม่ให้มีเสียงกวนใจ
ในที่สุดก็ต่อแขนได้ ปากของหวาหวั่นซียังไม่หุบ จินเฟยเหยายกไม้กวาดบนพื้นขึ้นยัดใส่มือนาง หวาหวั่นซีมองไม้กวาดในมือ ดวงตาก็เริ่มอยากหลับ ปากยังเอ่ยเสียงแข็ง “จินเฟยเหยา เจ้าอำมหิตนัก”
“ข้าเห็นว่าเจ้าสังหารสัตว์ทะเลเหนื่อยแล้ว ดังนั้นอยากให้เจ้าพักผ่อนหน่อย” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยกับหุ่นเชิดที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ฮูหยินหวา ห้องของท่านเพิ่งมีกลีบดอกไม้ปลิวเข้าไป”
พอฮูหยินหวาได้ยินก็รีบสวมเสื้อผ้า ถือไม้กวาดวิ่งไปกวาดพื้น ปากพูดไม่หยุด “เมื่อวานข้าเพิ่งกวาดใบไม้ออกไป เหตุใดวันนี้จึงปลิวเข้ามาอีกแล้ว”
“ฮูหยินหวา ท่านไม่ได้กวาดเมื่อวาน ข้ากับหวาหวั่นซีอออกไปล่าสัตว์ปิศาจมาสามวัน ท่านกวาดไปเมื่อสี่วันก่อน เกรงว่าวันนี้ต้องจัดการให้สะอาดหน่อย” จินเฟยเหยาตะโกนบอกนางอีกครั้ง จากนั้นตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ฮูหยินหวาแย่งงานของเสี่ยวหงและเสี่ยวลวี่ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถทำหูของตนเองโล่งได้สองชั่วยาม
จากนั้นนางจึงสะบัดแขน พูดกับพั่งจื่อ “พั่งจื่อ มีข่าวใหม่กลับมาหรือไม่?”
พั่งจื่อนั่งบนเก้าอี้นอน เสี่ยวลวี่ก็ยกผลไม้มาให้ มันถือพัดเตรียมเล่าเรื่องน่าสนใจและข่าวใหม่ล่าสุดที่ได้ยินมาให้จินเฟยเหยาฟัง
ถ้าพั่งจื่อพูดภาษามนุษย์เป็นคงไปเล่าเรื่องใต้สะพานลอยได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเพียงจินเฟยเหยาเป็นผู้ฟังเพียงคนเดียว เดือนหนึ่งได้เล่าเพียงสามสี่ครั้ง พั่งจื่อรู้สึกไม่ชอบใจเลย
…………………………………..