คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 324 ราชันภูติเปื้อนเลือด
หลี่รุ่ยตายแล้ว นอกจากรู้ว่าที่นี่คือโลกวิญญาณเทียนตี้อันห่างไกลและมีราชวงศ์ปกครอง จินเฟยเหยาก็ไม่รู้อะไรเลย
นางยืนขึ้นมองไปทางเมืองหลวง ราวกับคำพูดยังไม่ได้ถ่ายทอดไป คิดดูก็รู้ ผู้ช่วยองครักษ์เล็กๆ จะพบคนในวังทันทีได้อย่างไร ต้องรายงานราชเลขาและขุนนางระดับสูงก่อน รายงานไปจนถึงนอกประตูวังเป็นชั้นๆ สุดท้ายต้องให้ผู้มีอำนาจครุ่นคิดจึงไปกราบทูลฮ่องเต้
“พั่งจื่อ พวกเราเข้าเมือง” นี่เป็นโอกาสดีในการหลบหนีของจินเฟยเหยา เวลาครึ่งชั่วยามตอนนี้เพิ่งผ่านไปหนึ่งจิบชาเท่านั้น ต่อให้ไม่ต้องแจ้งในวังก่อน ในเมืองหลวงก็จะส่งคนออกมาช่วยเหลือ
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงนำถุงเฉียนคุนบนร่างลงมา เรียกพั่งจื่อให้นำยันต์ซ่อนกายออกมาสองใบ นี่คือสาเหตุที่นางไม่เคยใส่การรับรู้ไว้บนถุงเฉียนคุน ขณะที่ตนเองไม่มีพลังวิญญาณ ยังสามารถให้พั่งจื่อมาช่วยหยิบสิ่งของได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้จะทำเช่นไรดี
พั่งจื่อหยิบยันต์ซ่อนกายสองใบจากในถุงเฉียนคุน แล้วหยิบสิบกว่าใบวางใส่ไว้ในถุงเฉียนคุนของตนเอง จากนั้นจึงใช้พลังปิศาจแปะยันต์ซ่อนกายให้ตนเองกับจินเฟยเหยาหนึ่งใบ
ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาพบว่าสัตว์ภูติสามารถใช้ถุงเฉียนคุนและยันต์วิญญาณได้มานานแล้ว เพียงแต่สัตว์ภูติธรรมดาไม่ฉลาดพอ พวกมันควบคุมพลังปิศาจของตนเองได้ไม่ดี ดังนั้นจึงทำให้คนเกิดภาพหลอนว่าสัตว์ภูติใช้สิ่งของจำพวกของวิเศษไม่ได้
ทว่าพั่งจื่อเขียนได้แม้แต่อักษร จินเฟยเหยาสงสัยว่าสติปัญญาของมันใกล้เคียงกับคนธรรมดาแล้ว ดังนั้นเรื่องเปิดถุงเฉียนคุนจึงง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เนื่องจากมันเหมือนมนุษย์เกินไป ขณะใช้ถุงเฉียนคุนจึงไม่มีใครสังเกต ไม่รู้สึกว่ามีที่ใดน่าสงสัย
พวกนางเพิ่งแปะยันต์ซ่อนกายก็เห็นในเมืองหลวงมีกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยออกมาราวกับผึ้งแตกรัง แย่งชิงกันพุ่งมาที่แท่นประหารเซียน
“รีบไป” จินเฟยเหยาหิ้วพั่งจื่อกระโดดลงจากแท่นประหารเซียน วิ่งเข้าไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
เสื้อผ้าของบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกมาเหมือนกับหลี่รุ่ย ท่าทางจะเป็นทหารองครักษ์เมืองหลวง บินผ่านเหนือศีรษะจินเฟยเหยาไปยังแท่นประหารเซียนอย่างดุร้ายหมายขวัญ นางลอบยิ้มและวิ่งไปจนถึงประตูเมืองหลวง ยามนี้ตรงประตูเมืองสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง มีทหารองครักษ์ปราดมาปิดประตูเมืองและตรวจสอบกลุ่มคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด
ทว่าจินเฟยเหยาติดยันต์ซ่อนกายจึงหลบเลี่ยงกลุ่มคนเดินส่ายอาดๆ เข้าเมืองหลวงของโลกวิญญาณเทียนตี้แห่งนี้
เจริญรุ่งเรืองและหรูหราคือความประทับใจแรกที่จินเฟยเหยามีต่ออาณาจักรหลงเวย สตรีบนท้องถนนสวมทองประดับหยกนั่งอยู่บนตั่งนุ่มที่สลักจากไม้วิญญาณโดยมีบุรุษเผ่ามารหามเดินผ่านถนนไป
บุรุษเผ่ามาร?
จินเฟยเหยาตะลึงงัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะเหตุใดจึงมีบุรุษเผ่ามารยกตั่งให้เผ่ามนุษย์ มองพินิจบนถนนอย่างละเอียดอีกครั้ง จินเฟยเหยาโง่งมไปแล้วจริงๆ ยกตั่งน่ะช่างเถอะ ยังมีบางคนลากรถ บนมือและเท้าสวมโซ่ตรวน ถ้าเดินช้ายังถูกเผ่ามนุษย์ใช้แส้หนังฟาด
สาวน้อยเผ่ามารสิบกว่าคนแถวหนึ่งเดินผ่านข้างกายไป บางคนดูแล้วยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ พวกนางถูกมัดแขนไร้อาภรณ์คลุมกายถูกจูงไปตึกอันงดงามแห่งหนึ่งราวกับม้าล่อ ริมทางยังมีเผ่ามนุษย์สวมชุดงดงามจำนวนไม่น้อยหยุดฝีเท้าวิพากษ์วิจารณ์รูปโฉมของพวกนางอยู่ด้านข้าง
“ทาสสาวหลายคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่รู้ว่าบ้านใครซื้อ”
“ยังจะมีบ้านใดได้ คนถือแส้หนังคือผู้ดูแลของหอฮวาหนู พวกนี้น่าจะเป็นสินค้าที่เข้ามาใหม่ของหอฮวาหนู คืนนี้ไปสักรอบดีกว่า ชิงตัวหลายคนมาเปิดพรหมจรรย์ก่อน”
“ถ้าไปคืนนี้เจ้าคงได้แต่ไปหาสาวเทื้อเหล่านั้น ทาสน้อยๆ พวกนี้อย่างไรก็ต้องขัดสีให้สะอาดและฝึกสอนสักหน่อย หอฮวาหนูต้องขึ้นป้ายขายราคาสูงแน่ ถึงตอนนั้นค่อยไปก็ยังไม่สาย”
“ฝึกสอนแล้วก็ไม่สนุกสิ ม้าป่าเช่นนี้จึงมีรสชาติ”
“ฮ่าๆๆ พี่หลิวช่างเล่นจริงๆ”
จินเฟยเหยายืนอยู่ไม่ไกลนัก มองบุรุษเผ่ามนุษย์สองคนชี้มือชี้ไม้ไปทางทาสสาว เห็นบรรดาทาสสาวเดินไปไกลแล้ว บุรุษสองคนนี้จึงเตรียมหมุนตัวจากไป จินเฟยเหยาแอบตวาดเบาๆ “พั่งจื่อ ฆ่าพวกเขาสองคน”
พั่งจื่อกำลังนั่งอยู่บนไหล่นาง ตวัดลิ้นออกไปโจมตีสองคนนั้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงดังปุ๊สองครั้งตามด้วยเสียงอู้อี้ ร่างของคนทั้งสองชะงัก ทรวงอกปรากฏรูขนาดใหญ่ในพริบตา โลหิตสดไหลออกมาจากในนั้นไม่หยุด
“อ๊า! ฆ่าคนตายแล้ว!” มีคนบนถนนพบเห็นความผิดปกติ เห็นตรงหัวใจของคนทั้งสองว่างเปล่า หัวใจหายไปโดยไร้ร่องรอย
คนทั้งสองล้มลงกับพื้น รอบด้านมีคนจำนวนไม่น้อยมาล้อมวงดูความครึกครื้นทันที บรรดาสาวงามตกใจจนหน้าถอดสี คนที่ตกใจจนขลาดเขลากลัวเกิดเรื่องเดือดร้อนรีบหลบเลี่ยงไป
“พั่งจื่อ ขยะแบบนี้ไม่อร่อย” จินเฟยเหยาเดินออกจากถนนสายนั้นแล้ว รังเกียจว่าพั่งจื่อกินขยะ
“อ๊บ”
ในยามนี้เอง ทางวังหลวงมีเสียงระฆังดังมา เสียงดังแต่ละครั้งสั่นสะเทือนสองหูจนชาหนึบราวกับแนบตรงข้างหูแล้วตี
คนบนท้องถนนต่างหยุดฝีเท้า มองทางวังหลวงอย่างตกตะลึงและพากันวิพากษ์วิจารณ์ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดระฆังเทียนเวยจึงดังขึ้น?”
“ไม่รู้สิ ยามที่มีเชื้อพระวงศ์สิ้นพระชนม์จึงตีระฆังเทียนเวย หรือว่ามีเชื้อพระวงศ์สิ้นพระชนม์?”
“เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทและบรรดาองค์ชายองค์หญิงในตอนนี้แต่ละคนอายุยังน้อย กำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาว จะสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร”
“เอ๋ รีบดูเร็ว มีรถมังกรออกมาจากในวัง!”
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง ในวังหลวงมีรถขนาดเล็กสีทองเหาะออกมาคันหนึ่ง บนรถที่ตกแต่งอย่างงดงามห้อยพวงมุก ส่วนด้านหน้ารถมีคนตัวเล็กๆ สูงสิบกว่าเซนติเมตร สวมชุดและหมวกสีเหลือง หน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่ง มันขับรถเล็กๆ คันนั้นที่ไม่มีสัตว์ภูติใดๆ ลาก พาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขี่สัตว์เทียนเจี่ยวกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านเหนือเมืองหลวงไปยังแท่นประหารเซียนด้วยท่าทางดุร้ายหมายขวัญ
กลุ่มคนบนถนนเห็นรถคันนี้ทุกคนล้วนคุกเข่าลงและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ปากร้องว่าองค์ชายทรงพระเจริญพันปี
“ชิ่งจี้[1]ลากรถ น่าเกรงขามอย่างยิ่ง องค์ชาย…นั่นคือองค์ชายหนึ่งในนั้นหรือ?” จินเฟยเหยายืนตัวตรง ถึงอย่างไรนางยังซ่อนกายอยู่ ถึงไม่คุกเข่าก็ไม่มีใครเห็น
พั่งจื่อมองรถเล็กๆ คันนั้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “อ๊บอ๊บ?”
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ “ไม่กิน ชิ่งจี้ระดับขั้นต่ำเกินไป อีกทั้งตอนนี้เพิ่งขั้นห้า ทายาทสัตว์เทพเช่นนี้กินแล้วตานศักดิ์สิทธิ์อาจจะมีขนาดเพียงเมล็ดงา ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ขับรถไปจากด้านบนอย่างน่าเกรงขามแบบนี้ กลิ่นหอมยังถูกองค์ชายในรถกลบ สิ่งของแบบนี้กินไปก็ไร้ความหมาย ขนาดกลิ่นของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังสะกดไม่ได้”
รถมังกรขับผ่านไป คนบนถนนก็ยืนขึ้นอีกครั้ง ทว่าเรื่องในวันนี้แปลกประหลาดเกินไป ทุกคนล้วนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ระฆังเทียนเวยดังถึงยี่สิบครั้งเต็มๆ จึงหยุดลง สีหน้าเผ่ามนุษย์บนถนนล้วนแปรเปลี่ยน
อาณาจักรหลงเวยมีกฎเกณฑ์บรรพชนตราไว้ ฮ่องเต้สวรรคตระฆังหลงเวยตียี่สิบสี่ครั้ง องค์ชายสิ้นพระชนม์ตียี่สิบครั้ง ส่วนพระนัดดาตีน้อยหน่อยแค่สิบแปดครั้ง อย่างองค์หญิงดังเพียงสิบสองครั้ง พวกท่านอ๋องและผู้สืบทอดดังเพียงแปดครั้ง
วันนี้ดังยี่สิบครั้งแสดงว่ามีองค์ชายคนหนึ่งสิ้นพระชนม์
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของอาณาจักรหลงเวยมีองค์ชายสามสิบเจ็ดคน องค์หญิงสี่สิบเอ็ดคน พระนัดดาหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน องค์ชายคนใดสิ้นพระชนม์กันแน่?
เรื่องเหล่านี้จินเฟยเหยาไม่รู้ เข้าเมืองหลวงนางก็ไม่ได้กลิ่นหอมอะไรเป็นพิเศษ มังกรเฒ่าบนร่างองค์ชายสามเหมือนเป็นคำสาปที่บรรพชนของพวกเขาใช้คุ้มครองบุตรหลาน ท่าทางทายาทรุ่นหลังจะทำให้เขาผิดหวัง ตายไปนานแล้วยังต้องกลายร่างเป็นมังกรมาคุ้มครองพวกเขาอีก น่าสงสาร
เทียบกับเชื้อพระวงศ์เหล่านั้น จินเฟยเหยารู้สึกสนใจโลกวิญญาณแห่งนี้มากกว่า คิดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะเป็นทาสโดยสมบูรณ์ ถ้าใต้เท้าหลงมาเห็นภาพของที่นี่ ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
เผ่ามารอันหยิ่งผยองกลายเป็นทาส บุรุษเป็นบ่าวไพร่ สตรีเป็นนางโลม เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกไม่เคยชินอยู่บ้าง เดินไปเรื่อยๆ ยันต์ซ่อนกายบนร่างก็ถึงเวลาหมดฤทธิ์ นางจึงเดินเข้ามุมเล็กๆ แห่งหนึ่งคืนร่าง
พลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาฟื้นฟูตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อน แต่เกรงวว่าขั้นกำเนิดใหม่จะเด่นสะดุดตาเกินไปจึงสะกดพลังการบำเพ็ญเพียรไว้ที่ขั้นสร้างฐาน คนที่กลับไปรายงานเมื่อครู่ไม่ได้เห็นนางอย่างชัดเจน อีกทั้งตอนนั้นพั่งจื่อก็ไม่ได้กระโดดออกมา ดังนั้นจึงปลอดภัยชั่วคราว
ทหารองครักษ์บนถนนเพิ่มมากขึ้น พวกเขาสังเกตคนเดินไปมาบนถนนด้วยความรู้สึกตึงเครียด ไม่ปล่อยคนที่มีท่าทางผิดปกติไปสักคน
จินเฟยเหยาเดินอยู่บนถนนอย่างมั่นใจ สีหน้าสงบนิ่ง ทหารองครักษ์เต็มเมืองนำพาบรรยากาศตึงเครียดมายังไม่กระทบถึงนางสักนิด
เดินไปเรื่อยๆ นางก็มาถึงหน้าอาคารประหลาดแห่งหนึ่ง นี่คือสถานที่เหมือนกำแพงเมืองเล็กๆ ที่ใช้หินสร้างขึ้น บางครั้งยังมีเสียงตะโกนอย่างรื่นเริงดังมา อีกทั้งตรงประตูยังมีคนเข้าออกไปมา เห็นได้ชัดว่าครึกครื้นอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาเห็นที่นี่พลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคย นางอดเป็นฝ่ายเดินเข้าไปไม่ได้ เมื่อจินเฟยเหยาเดินผ่านกำแพงหินอันแข็งแกร่ง เบื้องหน้าก็มีลานประลองขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น
“ข้าว่าแล้วว่าเหตุใดจึงคุ้นตานัก ที่แท้เป็นสถานที่เช่นนี้เอง” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ ตอนนางอยู่ที่เมืองลั่วเซียนก็ไปประลองตัดสินเป็นตายที่ลานประลองบ่อยๆ ยามนี้มาเห็นสถานที่แบบนี้อีกก็ยังคิดถึงอยู่นิดๆ
รอบด้านเป็นแท่นศิลารูปขั้นบันได มีเผ่ามนุษย์นั่งอยู่เต็มไปหมด มีผู้บำเพ็ญเซียนและคนธรรมดา กลางเวทีรูปวงกลมมีบุรุษเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายสวมหน้ากากคนหนึ่งเต็มไปด้วยโลหิตสาดกระเซ็น
เส้นผมยาวสีดำสาดกระจายบนแผ่นหลังแปะติดกับเหงื่อและโลหิต บนร่างสวมชุดเกราะหยาบๆ มือขวาถือขวานยักษ์กว้างสามฉื่อ บนขวานยักษ์เปื้อนคราบโลหิต หากมิใช่มองออกว่าเป็นของวิเศษแก่นชีวิต ยังนึกว่าเป็นสิ่งของที่คนธรรมดาใช้เสียอีก
เขากำลังต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ขั้นหลอมรวม ตรวนบนเท้ากระพริบแสงเย็นเยียบ ควบคุมเขาไว้ที่ระยะสามจั้ง อีกทั้งจินเฟยเหยาพบว่าเขาใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ได้แต่อาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่งทนทานต่อกรกับเผ่ามนุษย์ขั้นหลอมรวมพวกนั้น
ขอเพียงเขาคิดจะใช้ปราณมาร แผ่นหลังจะปรากฏแผนภาพคาถาสีทองสะกดปราณมารของเขาลงไป
“ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว สู้แบบนี้จะสนุกอะไร เอาคนมาเล่นสนุกแท้ๆ” จินเฟยเหยายืนมองคนเผ่ามารกลางเวทีอยู่ริมทางเดิน รู้สึกว่าการต่อสู้แบบนี้เกินไปหน่อย ไม่เคยเห็นมาก่อน ใช้กำลังสะกดความแข็งแกร่งลงและบังคับให้ผู้อื่นประลอง
สิ้นเสียงนาง เผ่ามนุษย์ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน “พวกเขานับเป็นตัวอะไร เป็นแค่ทาส ยังต้องการความยุติธรรมอะไร”
“ห้ามเจ้าว่าร้ายราชันภูติ เขาน่าเกรงขามมากจริงๆ รบร้อยครั้งชนะร้อยคราข้าชอบเขาที่สุด” คำพูดของคนผู้นี้ดึงดูดสายตาเดือดดาลของคุณหนูเผ่ามนุษย์หลายคนด้านข้าง
บุรุษผู้นี้ส่งเสียงถุยอย่างไม่ยอมรับ “น่าเกรงขามอะไร! ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งของเผ่ามนุษย์เรา!”
“สุนัขแล้วอย่างไร สุนัขที่น่าเกรงขามแบบนี้ผู้ใดจะไม่ต้องการ มีหลายตัวในตระกูลของข้าที่อ่อนแอเกินไป พรุ่งนี้ส่งพวกเขามา มิสู้ให้เสือเขี้ยวดาบกัดตายดีกว่า ยังได้ยินเสียงร้องหลายครั้ง” คุณหนูหลายคนใช้พัดกลมป้องปาก แย้มยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม
…………………………………………
[1] ชิ่งจี้ เป็นเทพวารีในตำนานจีนโบราณ มีรูปร่างมนุษย์ สูงสิบกว่าเซนติเมตร สวมชุดและหมวกสีเหลือง ขับรถสีเหลือง เดินทางได้วันละพันหลี่