คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 33 สหายเซียนเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?
จินเฟยเหยาตกตะลึง คนผู้นี้เลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจนบ้าไปแล้ว
ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนอย่างอื่นมีไม่มาก แต่มีคนวิปริตอยู่เต็มไปหมด มีคนบ้าที่เห็นสัตว์สำคัญกว่าคนเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าตกใจ จินเฟยเหยาไม่เอ่ยถามถึงปัญหาข้อนี้อีก เพียงแค่ถามเรื่องที่นางอยากถามมานาน “ตอนนั้นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไม่สนใจข้า ทว่าตรงเข้าไปกินอี่ซาน เจ้าใช้เล่ห์กลอะไรไว้แต่แรกใช่หรือไม่?”
หวาซียิ้มไม่เอ่ยตอบ ทว่านำกล่องหยกเล็กๆ ออกมาจากในตัววางลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม “ข้ามียาบำรุงโฉมสามารถชะลอรูปโฉมไม่ให้แก่เฒ่า เจ้าต้องการหรือไม่? หนึ่งปีกินเพียงเม็ดเดียว ถึงแม้ประสิทธิผลจะเทียบไม่ได้กับยาคงรูปโฉมที่กินหนึ่งเม็ดจะไม่แก่เฒ่าไปตลอดชีวิต ทว่าขอเพียงกินอย่างต่อเนื่องก็จะไม่แก่เฒ่า”
“เหตุใดจึงนึกอยากให้ของดีเช่นนี้แก่ข้าอย่างกะทันหัน?” หัวข้อสนทนาพลันถูกเขาเบี่ยงเบน ความสนใจของจินเฟยเหยาทั้งหมดอยู่ที่ยาบำรุงโฉม นางหยิบกล่องหยกมาเปิดออกดู ด้านในมียาวิญญาณสีขาวเม็ดหนึ่งวางอยู่ กลิ่นหอมหวานแผ่กำจาย นี่เป็นของดี ในร้านยาหนึ่งเม็ดมีราคานับร้อยศิลาวิญญาณ
ไม่รอให้จินเฟยเหยาที่น้ำลายไหลมองอย่างละเอียด ก็ได้ยินหวาซีเอ่ยต่อว่า “หลายปีมานี้ข้ามอบยาบำรุงโฉมที่หลอมสร้างขึ้นให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักชิงโซ่วเปล่าๆ มากมาย สตรีที่ยิ่งกินมากสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจะยิ่งชอบกิน”
“ตุ้บ” จินเฟยเหยาสะบัดมือโยนกล่องหยกออกไป “เจ้าบ้านี่ คิดจะทำร้ายข้าหรือ” หวาซีรับกล่องหยกที่กระแทกบนโต๊ะแล้วเด้งขึ้นมาไว้แล้วเก็บกลับเข้าในอก ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าแค่ให้เจ้าดูเท่านั้น ดูเหมือนสตรีจะต้านทานของสิ่งนี้ไม่ได้ จึงติดกับอย่างง่ายดาย”
“ของสิ่งนี้เป็นยาบำรุงโฉมจริงหรือ?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว เอนร่างไปพิงด้านหลัง พยายามอยู่ห่างจากเขา
“จริงแท้แน่นอน ข้าเพียงแค่เพิ่มวัตถุดิบในนั้นนิดหน่อย” เห็นนางออกห่างไปไกล หวาซีก็ยิ้ม
“เรื่องของเจ้าข้าไม่คิดจะถามให้มากความ ข้าไม่อยากถูกเจ้าฆ่าปิดปาก ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วข้าไปก่อนล่ะ ต่อไปข้าไม่อยากไปมาหาสู่กับเจ้าอีก” จินเฟยเหยาเก็บถุงผ้า เอ่ยลาเขาอย่างรีบร้อน ไม่ยอมให้หวาซีพูดอะไร นางก็หนีหายไปในพริบตา
เห็นนางรีบร้อนจากไป หวาซีก็ไม่ได้ไล่ตาม เพียงแค่ยิ้มเอ่ยกับตนเองเสียงเบา “อีกไม่กี่เดือน เจ้าต้องเป็นฝ่ายมาหาข้าแน่นอน”
จินเฟยเหยาเดินออกจากร้านน้ำชา ก็เตร็ดเตร่อยู่บนถนนอย่างเบื่อหน่าย ตอนเดินผ่านร้านยาแห่งหนึ่ง นางจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองคิดจะหลอม ‘ยาขับสิ่งปนเปื้อน’ ซึ่งเป็นยาเสริมสร้างร่างกายใน “เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ” จึงถือโอกาสเข้าไปซื้อวัตถุดิบหลอมยาเล็กน้อยพอดี
นางอยู่ขั้นฝึกปราณนอกจากต้มน้ำแกงยาวิญญาณได้ยังสามารถกินยาขับสิ่งปนเปื้อน ยาชนิดนี้สามารถขจัดสิ่งปนเปื้อนภายในร่างกายได้ ถึงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพลังวิญญาณ ทว่าสามารถทำให้สิ่งปนเปื้อนในร่างลดลง เพิ่มปริมาณการดูดซับพลังวิญญาณตอนฝึกบำเพ็ญ
สิ่งเหล่านี้ไปหาผู้ปรุงโอสถไม่ได้ นางไม่อยากให้ตำรับลับถูกผู้อื่นล่วงรู้ ขอเพียงเป็นใบสั่งยาที่ผู้ปรุงโอสถไม่เคยเห็นมาก่อน ก็คิดอยากจะครอบครองด้วยดวงตาเหมือนสุนัขป่าหิวโซ ไม่มีผู้ปรุงโอสถก็ได้แต่ลงมือด้วยตนเอง ผู้บำเพ็ญเซียนปกติ จะมากจะน้อยล้วนเคยปรุงยามาบ้าง
ผู้บำเพ็ญเซียนมีค่าใช้จ่ายด้านการหลอมยามากที่สุด ถ้าตนเองเรียนหลอมยาจนเชี่ยวชาญ จะมากจะน้อยก็สามารถประหยัดศิลาวิญญาณได้บ้าง
สำหรับห้องหลอมยาอันว่างเปล่า จินเฟยเหยาเคยสอบถามดู ที่แท้ด้านล่างก็คือไฟพิภพที่สำนักเฉวียนเซียนชักนำมา เพียงแต่นางต้องจ่ายศิลาวิญญาณ ให้คนงานมาเปิดไฟพิภพที่อยู่ด้านล่าง ไม่เช่นนั้นนางก็ใช้ไมได้
ได้ยินว่าโดยพื้นฐานผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละคนล้วนสามารถเปิดไฟพิภพนี้ได้ เพียงแต่ถ้าตายหรือออกจากสำนักเฉวียนเซียน คนงานก็จะมาปิดผนึกไฟพิภพอีกครั้ง รอตอนผู้บำเพ็ญเซียนคนใหม่เข้ามาอยู่อาศัยและคิดจะเปิดไฟพิภพ ก็จะทำเงินได้อีกก้อน
ห้องหลอมยาของจินเฟยเหยาในอดีตเคยเปิดไฟพิภพ เพียงแต่ต่อมาปิดผนึกอีก “ไม่รู้สึกลำบากบ้างหรือ เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด ให้คนใช้เปล่าๆ คงไม่เข้าเนื้อเท่าไหร่ อะไรก็ไม่ส่งมาให้ รู้จักแต่ขุดศิลาวิญญาณจากร่างของพวกเราทั้งวัน” พอคิดถึงตรงนี้ นางก็พึมพำอย่างไม่พอใจ
นางบ่นงึมงำแล้วก้าวเข้าไปในร้านยาแห่งนี้ ร้านนี้มีขนาดใหญ่ พอเข้าประตูไปก็เห็นด้านหน้ามีตู้แสดงสินค้า มีลูกจ้างสตรีที่งดงามสามคนยืนอยู่ด้านหลัง มีขวดหยกบรรจุยาวิญญาณมากมายวางอยู่บนชั้นวางของด้านล่างของตู้แสดงสินค้า
ส่วนด้านข้างมีชั้นที่เขียนใบสั่งยาบนแผ่นหยกวางไว้มากมาย ในมุมหนึ่งยังจัดวางเตาหลอมยาขนาดเล็กขนาดใหญ่ไว้จำนวนไม่น้อย ขนาดเล็กที่สุดมีขนาดเท่าฝ่ามือ ขนาดใหญ่ที่สุดกว้างหนึ่งจั้งกว่า ใช้หลอมสัตว์ปิศาจได้อย่างเพียงพอ คุณสมบัติวัสดุของเตาหลอมยาเหล่านี้ไม่เหมือนกัน บางอันอ่อนโยนดุจหยก บางอันทำได้เป็นประกายวาววับเหมือนทองแดงหรือเหล็ก มีทุกแบบทุกชนิดอย่างครบครัน แม้แต่ทำจากไม้ก็ยังมี
นางครุ่นคิด ตัดสินใจไปดูใบสั่งยาก่อน หาวัตถุดิบและใบสั่งยาที่ถูกที่สุดมาฝึกฝีมือ ค้นหาบนชั้นขายใบสั่งยาอยู่นาน สุดท้ายก็พบว่าวัตถุดิบที่ถูกที่สุดคือยาขับสิ่งปนเปื้อนของตนเอง จินเฟยเหยาจึงไม่ซื้อใบสั่งยาสักแผ่น เตรียมซื้อแค่เตาหลอมยาใบหนึ่งก็พอ
นางไม่เคยหลอมยามาก่อน ไม่รู้ว่าต้องซื้อเตาหลอมยาแบบใดจึงจะดี เลือกอยู่ครึ่งวัน ใบใหญ่เกินไปนางรู้สึกว่าโง่งม ใบเล็กเกินไปก็กลัวว่าจะทำไม่สะดวก สุดท้ายจึงเลือกเตาหลอมสีทองม่วงขนาดเท่าชามอ่าง
เตาหลอมม่วงทองนี้มีราคาเพียงสี่ร้อยศิลาวิญญาณ ไม่ถือว่าแพงมาก ให้คนที่เรียนรู้เบื้องต้นใช้นับว่าไม่เลว วัตถุดิบของยาขับสิ่งปนเปื้อนมียี่สิบกว่าชนิด นางใช้ศิลาวิญญาณมากมายซื้อยาสิบชุด เพราะยังต้องเลี้ยงแมวบินได้และซื้อยารวมปราณอีก นางจึงไม่กล้าใช้เงินเปะปะ ตอนที่ในตัวมีเงินมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ ฟังดูเหมือนมากมาย ที่จริงใช้ได้แค่เดี๋ยวเดียว ซื้อของไปเรื่อยเปื่อยก็หมดแล้ว
ถ้าอยู่เมืองผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ ยังพอไหว หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณถือว่าเป็นเศรษฐี หากเป็นสถานที่ที่ห่างไกลหน่อยก็สามารถตั้งสำนักเล็กๆ ได้ น่าเสียดายเงินเล็กน้อยแค่นี้ในเมืองลั่วเซียนเพียงพอให้กินอิ่มนอนอุ่นและเป็นค่าใช้จ่ายในการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น
นางซื้อเตาหลอมทองม่วงเสร็จก็กลับไปยังสำนักเฉวียนเซียนแล้วจ่ายอีกห้าร้อยศิลาวิญญาณ คนงานจึงช่วยนางเปิดผนึกไฟพิภพในห้องหลอมยา
ที่แท้ในห้องหลอมยามีวงเวทซ่อนอยู่ หากคนงานมิได้นำป้ายอาคมไปขับเคลื่อนวงเวท คนอื่นก็หาวงเวทไม่พบว่าอยู่ที่ใด ป้ายอาคมในมือของคนงานมีเสียงดังชี่เบาๆ พื้นห้องหลอมยาก็มีวงเวทรูปวงกลมปรากฏขึ้น วงเวทกระพริบ พื้นส่วนนั้นก็ยุบลงไป มีหลุมไฟพิภพปรากฏขึ้น
รอบหลุมมีทางออกไฟรูปหัวพยัคฆ์ขนาดเท่ากำปั้น ปกติทางออกไฟยิ่งมาก การควบคุมความร้อนตอนหลอมยาจะยิ่งทำได้ดี ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเช่นนางใช้ทางออกไฟแค่หกช่องก็เพียงพอจะหลอมสร้างยาระดับต่ำ
ใช้เวลาไม่ถึงจิบชาถ้วยหนึ่ง ก็จัดการไฟพิภพทั้งหมดเสร็จสิ้น คนงานรับศิลาวิญญาณ เช็ดมือแล้วจากไป จินเฟยเหยาไม่รู้แม้กระทั่งวิธีใช้งาน นางไม่คิดจะสิ้นเปลืองหญ้าวิญญาณอย่างเสียเปล่าจึงคิดจะไปหาเวิงเหล่าชายชราผู้แสนดีเพื่อซักถาม
นางเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นติงจี้กลับมาจากข้างนอกพอดี ยังมีท่าทางของคุณชายเจ้าสำราญเช่นเดิม เพียงแต่เข้ามาในเรือนแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างลับๆ ล่อๆ ราวกับกำลังหาอะไร
ส่วนมากหากใช้คาถาป้องกันเฝ้าประตู ด้านนอกจะมองไม่เห็นด้านใน ทว่าด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้ จินเฟยเหยายืนอยู่หน้าประตูเรือนของตนเอง มองเห็นท่าทางน่าสงสัยของติงจี้จึงยังไม่ออกไป ต่อให้เขาไม่ได้ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ จินเฟยเหยาก็กะว่าเขาไปแล้วจึงออกจากเรือน ไม่เช่นนั้นหากเกาะติดขึ้นมาถึงสลัดก็สลัดไม่หลุด
ติงจี้มองดูอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าคงไม่มีใครโผล่มาในเรือนชั่วคราวก็ถอยออกไปอีกครั้ง ทำเอาจินเฟยเหยาสับสนมึนงง แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กลับมาอีก นอกจากตัวเขา ด้านหลังยังมีสตรีขั้นฝึกปราณสองนางติดตามมา
เห็นสตรีสองคนนั้นสวมชุดเปิดเผยเย็นสบาย คอเสื้อต่ำจนน่ากลัว หน้าอกคู่นั้นดูแล้วอาจจะทะลักทลายออกมาได้ทุกเมื่อ ติดตามด้านหลังติงจี้เข้าไปในเรือนของเขา รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นติงจี้ออกมา จินเฟยเหยาจึงค่อยๆ เดินออกมาจากเรือนของตนเอง
นางรู้สึกบอกไม่ถูก ติงจี้พาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองคนกลับมาด้วยทำไมจึงดูเหมือนเป็นโจรเลย โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนไม่ใช่โลกมนุษย์ที่ชายหญิงไม่อาจชิดใกล้กัน ไปมาหาสู่กันต้องกังวลขนาดนั้นที่ไหน
ต่อมาพอคิดดูอีกครั้ง จะสนใจไปทำไมมากมาย อย่างไรเสียนางก็ไม่ประทับใจติงจี้มากนัก นางไปหาเวิงเหล่าก่อน คิดสอบถามว่าควบคุมไฟพิภพอย่างไร คิดไม่ถึงว่าเวิงเหล่าจะไม่อยู่บ้าน จึงเปลี่ยนไปหาหลิวเกาอี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่อยู่เช่นกัน คาดว่าทั้งสองคนคงจะนัดแนะกันออกไปข้างนอก
คนอื่นๆ หากไม่อยู่ก็ปิดด่านกักตนไม่มีเวลาว่าง หรือนางไม่คิดจะเป็นฝ่ายไปหา คิดไปคิดมา จินเฟยเหยาได้แต่ไปหาติงจี้ เขาเพิ่งพาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองนางกลับมาน่าจะคำนึงถึงหน้าตาบ้าง คงไม่ลงมือลงไม้กับตนเองหรอกนะ
จินเฟยเหยามาถึงนอกเรือนของติงจี้ จากนั้นตะโกนเข้าไปด้านใน แล้วยืนอยู่หน้าประตู นางไม่อยากสิ้นเปลืองยันต์ถ่ายทอดเสียง ปกติคาถาป้องกันกันเสียงภายในห้อง ทว่าไม่กันเสียงจากภายนอก ยืนตะโกนอยู่ตรงประตูคนด้านในก็ได้ยิน
รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีคนออกมา จินเฟยเหยาจึงทำหน้าหนาตะโกนเรียกอีกหลายครั้ง ครั้งนี้นับว่ามีการตอบรับ เห็นคาถาป้องกันกระเพื่อม เปิดช่องครึ่งหนึ่ง ติงจี้ปรากฏตัวตรงประตูด้วยสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
เห็นเขาเผยร่างขาวๆ ท่อนบน ใบหน้าแดงก่ำ หรี่ตายิ้มมองจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน มาหาข้ามีธุระอะไร?”
“สหายเซียนติง ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระจริงๆ คิดจะสอบถามเจ้าถึงวิธีการใช้งานไฟพิภพ” จินเฟยเหยามีข้อขอร้องต่อเขา และรู้ว่าคนผู้นี้จะยอมรับ ถึงจะรู้สึกว่าการแต่งกายของติงจี้หยาบโลนเกินไป ทว่ากลางวันแสกๆ คงไม่ทำอะไรตนเองหรอกจึงยิ้มหวานเอ่ยถาม
ไหนเลยจะรู้พอดวงตาของนางมองในเรือน รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างขัดเขิน “คิดไม่ถึงว่าตอนนี้สหายเซียนติงจะไม่สะดวก ข้านี่ซุ่มซ่ามจริง ค่ำหน่อยข้าจะมาหาสหายเซียนติงอีกครั้ง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าไม่ยุ่ง จะอธิบายให้เจ้าฟัง สหายเซียนจินรอหลอมยาอยู่มิใช่หรือ?” ติงจี้เห็นท่าทางของนางก็รู้สึกสนุก จึงไม่ให้นางจากไป พัวพันอยากจะสอนนาง
จินเฟยเหยาจะไปก็ไม่ใช่จะอยู่ก็ไม่เชิง จึงตัดสินใจรักษาสีหน้าไม่สนใจสิ่งที่อยู่ในเรือน ฟังเขาอธิบายอย่างละเอียด
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองคนที่ติงจี้พากลับมา ยามนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ในเรือน สั่นเท้าเบาๆ คลายเสื้อครึ่งหนึ่ง มองนางด้วยสายตาเปี่ยมความรู้สึกเส้นผมยุ่งเหยิง กลายเป็นว่าเมื่อครู่พวกเขากำลังเตรียมจะกระทำเรื่องบำเพ็ญคู่ ตอนกำลังเล่นสนุกอย่างยินดีจินเฟยเหยาก็มารบกวน
จินเฟยเหยาคาดไม่ถึง มิน่าเล่าเมื่อครู่เขาจึงทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงประตู พอตรวจสอบในเรือนดูแล้วเห็นว่าไม่มีคนจึงพาผู้บเพ็ญเซียนสตรีสองนางเข้ามา คาดว่าปกติมักจะพาสตรีกลับมาประจำ ชื่อเสียงไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ
นางฝืนยิ้มแย้มรับฟังคำอธิบายของติงจี้จบด้วยสีหน้าจริงจังหลังจากเอ่ยขอบคุณก็เดินจากไปราวกับไม่มีอะไร
ส่วนติงจี้เดิมทีคิดจะกลั่นแกล้งนาง กลับเห็นจินเฟยเหยาขัดเขินแค่ตอนแรกสุดเท่านั้น จากนั้นผู้อื่นก็ฟังคำอธิบายทั้งหมดของเขาจนจบแบบหน้าไม่แดงใจไม่เต้น เขาอธิบายอยู่ครึ่งวัน เปลือยท้องยืนอยู่ตรงประตูอยู่เนิ่นนาน กลับไม่ได้สนุกเลยสักนิด
เขาจึงได้แต่ปิดคาถาป้องกันลงอย่างหมดสนุก ไปหาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีแสนสวยสองนางใหม่อีกครั้ง