คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 337 ก่อนความวุ่นวาย
ทั้งลานประลอง นอกจากท่านอ๋องจื้อบนอัฒจันทร์ที่ยังไม่ได้จากไปและกำลังครุ่นคิดเรื่องที่ต้องกระทำต่อจากนี้ จึ งเหลือเพียงราชันภูติและจินเฟยเหยาที่กำลังถอดเสื้อผ้าหยางจื่อหยาง
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” ราชันภูติมองจินเฟยเหยาอย่างตกตะลึง นางถอดชุดเกราะสีทองของหยางจื่อหยางลงมา เตรียมค้นเสื อตัวใน
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “ทำอะไร แน่นอนว่าต้องค้นดูว่ามีสิ่งของมีค่าหรือไม่”
“เอาของพวกนี้ไปทำไม?” ราชันภูติชี้กองขยะบนพื้น เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ สิ่งที่เขาเอ่ยถึงคือพวกชุดเกราะที่เ เป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางสวมลงบนร่างได้
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” จินเฟยเหยาในยามนี้ไม่เหมาะจะนำถุงเฉียนคุนออกมา จึงโยนชุดเกราะทั้งหมดใส่อ้อมอกราชันภูติ ชุดเกราะหนักๆ ทำให้บาดแผลบนไหล่ของเขาเจ็บปวดและโลหิตไหล จึงอดแยกเขี้ยวไม่ได้
จากนั้นนางก็ค้นทั้งข้างบนข้างล่าง จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ใช้ได้แล้วจึงหยุดลงปัดมือแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “ “น่าแปลกเหตุใดจึงไม่มีคนมาพาพวกเราลงไป ยังมีรอบที่สองหรือ?”
“นี่! ยังสู้อีกหรือไม่ ถ้าไม่สู้แล้วก็ให้พวกเราลงไป คนดูไม่มีสักคน ยังให้พวกเรายืนอยู่ที่นี่ทำไม!” จินเฟยเ เหยาเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าบนอัฒจันทร์มีเพียงพวกท่านอ๋องจื้อไม่กี่คนจึงตะโกนเสียงดังใส่
ท่านอ๋องมองนางอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รีบโบกไม้โบกมือให้ลูกน้องนำพวกนางกลับไป นี่มันเรื่องอะไร กัน ทำราวกับมาเป็นแขก ลานประลองดีๆ พวกเขาก็ก่อเรื่องจนเงียบเหงาผิดปกติ ท่านอ๋องจื้อมองลานประลองอันเวิ้งว้ างว่างเปล่า พลันรู้สึกว่าการเข้าร่วมในการขัดแย้งของพวกเขาเป็นเรื่องผิดพลาดจริงๆ ทำเอาไม่มีหนทางทำมาหากินเลย
โชคดีที่ห้าวันให้หลังองค์ชายใหญ่จะขึ้นประลองเอง น่าจะขายตั๋วได้ไม่มากก็น้อย หลายวันนี้ไปหาทาสเผ่ามารที พลังการบำเพ็ญเพียรสูงหน่อย หลังจากจบเรื่องนี้แล้วค่อยเปิดทำการ
ท่านอ๋องจื้อปวดศีรษะอยู่กับการค้าที่นี่ จินเฟยเหยากลับอารมณ์ดี ให้ราชันภูติที่ไหล่บาดเจ็บอุ้มชุดเกราะสีท ทองพังๆ ตนเองกลับหิ้วหอกวิญญาณของหยางจื่อหยาง ของวิเศษของโจวปินอวิ๋นและเฉินจงล้วนถูกไฟนรกแช่แข็งและทุบจ จนแตกไปพร้อมกัน ไม่สามารถใช้ได้แล้ว
เห็นผู้คุมที่นำพวกเขาสองคนลงไปจ้องมองหอกวิญญาณในมือของนางตลอด จินเฟยเหยาก็ถลึงตาตวาดใส่อย่างอารมณ์ไม่ด ดี “ดูอะไร! นี่เป็นสินสงครามของข้า ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปฆ่าเองสิ!”
เดิมทีตามกฎเกณฑ์ของที่นี่ ไม่ว่าฝ่ายใดเสียชีวิต สิ่งของจะต้องตกเป็นของลานประลองทั้งหมด ก่อนหน้านี้ราชันภูติส สังหารผู้บำเพ็ญเซียนมากมาย สิ่งของก็ถูกเก็บไปหมด ไม่เคยได้อะไรเลย ผู้คุมถูกนางคำรามใส่แบบนี้ก็ไม่กล้าเอาไ ไป แม้แต่ท่านอ๋องจื้อก็ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ตนเองอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่า ถือเสียว่าไม่เห็น
กลับมาถึงห้องขัง ราชันภูติถูกขังอีก จินเฟยเหยากลับอาศัยอยู่ติดกัน เตียงที่พังแล้วถูกนางโยนออกไป บรรดาผู คุมรีบยกเตียงหลังใหม่มาให้ หลังทิ้งเตียงไว้ก็วิ่งไปตรงทางออก เฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้ามา
เห็นพวกเขายืนอยู่ไกลลิบ จินเฟยเหยาก็แอบล้วงยาพิรุณน้ำผึ้งขั้นสามออกมาหนึ่งเม็ด นี่เป็นยารักษาบาดแผล ถึง งทำให้เนื้อและกระดูกงอกออกมาไม่ได้ ทว่าห้ามเลือดและเร่งการสมานตัวของบาดแผลได้มีประสิทธิภาพอย่างประหลาด
นางโยนยาพิรุณน้ำผึ้งให้ราชันภูติ ตนเองก็กินเม็ดหนึ่งและเริ่มพันแผลที่มือ
ตรงข้อนิ้วของจินเฟยเหยามีกระดูกโผล่ออกมา ดูแล้วน่ากลัว แต่นางก็แค่ควักยาขี้ผึ้งจี้อวี้เล็กน้อยมาทาบนนั้ น และใช้ผ้าพันแผลในถุงเฉียนคุนพันไว้
ราชันภูติเห็นนางไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วจึงอดเอ่ยชมไม่ได้ “กล้าหาญจริงๆ”
จินเฟยเหยาเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่งก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “มีอะไรกล้าหาญกัน แค่กระดูกโผล่เล็กน้อย หรือว่าพวกเจ้าไ ไม่เคยฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างกาย?”
“เคล็ดวิชาสร้างร่างกาย? ไม่เคยได้ยิน เคล็ดวิชาของพวกเราส่วนมากแย่งชิงมาจากในมือเผ่ามนุษย์ จากนั้นค่อยถ่ายทอ อดให้คนอื่นๆ ถ้าฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาสร้างร่างกายที่เจ้าว่า ใช้แค่พละกำลังก็สามารถต่อยผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิด ดใหม่ตายได้เหมือนเจ้าใช่หรือไม่?” ราชันภูติกินยาพิรุณน้ำผึ้ง เวลานี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใกล้เคียง เคล็ดวิชาสร้างร่างกายมีหลายชนิด ข้าเรียนรู้เพียงชนิดเดียว” จินเฟยเหยาพยักหน้า เห็นราชันภูติปลดหน น้ากากลงมา มองตนเองด้วยดวงตาเป็นประกาย นางรีบเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องจ้องมองข้าแบบนั้น ข้าไม่สอนเจ้าหรอก”
สายตาของราชันภูติหม่นแสงลง นั่งอยู่ตรงมุมห้องอย่างผิดหวัง
จินเฟยเหยาก็ไม่สนใจเขา หยิบชุดเกราะสีทองพังๆ เหล่านั้นมา มองดูในคุกก็ไม่พบก้อนหินจึงฉวยโอกาสที่คนไม่ทันสั งเกตนำกู่หลิงซินออกมาชิ้นหนึ่ง ของสิ่งนี้หน้าตาใกล้เคียงกับก้อนหิน นำมาใช้ไม่เด่นสะดุดตา จนนึกว่าเป็นหิน นที่ไม่รู้ว่าเก็บมาเมื่อใด
นางถือกู่หลิงซินทุบชุดเกราะสีทองดังโป๊กเป๊กให้ส่วนที่ถูกนางต่อยเว้าลงไปราบเรียบ ชุดเกราะสีทองถูกนาง ทุบอย่างต่อเนื่องถึงกับราบเรียบขึ้นไม่น้อย จินเฟยเหยาชูขึ้นมองดูรู้สึกว่าใช้ได้แล้วจึงโยนทั้งหมดไปในห้องขัง งของราชันภูติ
“อีกห้าวันสวมมันลงบนร่าง ข้าไม่อยากให้เจ้าตายตอนจบ” เห็นเขาหยิบชุดเกราะสีทองขึ้นมาดูเงียบๆ จากนั้นวางไ ไว้ด้านข้าง
จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “ไม่ใช่ข้าไม่สอนเจ้า เรื่องนี้ลำบากเพียงแค่ยกมือ แต่เคล็ดวิชานี้ข้าร่ำเรีย ยนมาจากที่อื่น ในนั้นมีเคล็ดวิชาอื่นปะปนอยู่ ข้าแยกมันออกมาให้เจ้าไม่ได้ ที่จริงพวกเจ้าอยากเรียนง่ายดายยิ่ ง ขอเพียงออกจากโลกวิญญาณเทียนตี้ เคล็ดวิชาที่โลกวิญญาณอื่นๆ มีมากมายดุจขนวัว เลือกหยิบได้ตามสบาย”
“องค์ชายสามของพวกเจ้าถูกข้ากำจัดทิ้งที่โลกวิญญาณซิงหลัว ราชวงศ์ต้องรู้แน่ว่าจะไปโลกวิญญาณอื่นได้อย่างไร ต่อไปเจ้าก็ถามองค์หญิงผิงอัน นางต้องบอกเจ้าอย่างละเอียดแน่”
ในดวงตาของราชันภูติมีประกายแห่งความหวังจุดขึ้นใหม่ ทว่ากลับเอ่ยอย่างกังวลอยู่บ้าง “เส้นทางไปสู่โลกวิญญาณภ ภายนอกมีอยู่ เพียงแต่ไม่มีเต่าทลายคลื่นก็ไม่มีทางออกไปได้ เต่าทลายคลื่นอยู่ในมือของราชวงศ์มาตลอด อีกทั้งไม่ ได้ใช้มานานหลายปี พวกเราไม่มีทางออกไปได้เลย”
“เต่าทลายคลื่น?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อืม” ราชันภูติพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเล่าให้จินเฟยเหยาฟัง
หลังจากจินเฟยเหยาฟังจบก็รู้แจ้ง มิน่าเล่าโลกวิญญาณที่การเดินทางไม่สะดวกแบบนี้จึงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนอื่นๆ มา าทำลาย ที่แท้มีพรมแดนตามธรรมชาติ
รอบโลกวิญญาณเทียนตี้มีกระแสอากาศปั่นป่วนหนึ่งชั้น ทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศไม่แน่นอน สายลมก็พัดรุนแ แรง ในนั้นยังมีรอยแยกอวกาศปะปนอยู่ไม่น้อย ถ้ามีผู้บำเพ็ญเซียนคิดจะเหาะออกจากโลกวิญญาณเทียนตี้หรือบินจากภา ายนอกเข้ามา โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้
ในทะเลยังเต็มไปด้วยกระแสน้ำวน มีเพียงเส้นทางเดียวที่ปลอดภัย ทว่าเส้นทางนี้มีเพียงเต่าทลายคลื่นที่รู้จัก เต ต่าทลายคลื่นร่างใหญ่กว่าสามสิบจั้ง บนกระดองสร้างอาคารได้และฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง แต่มีจำนวนน้อยมาก เดิมทีม มีไม่ถึงร้อยตัว เนื่องจากราชวงศ์ควบคุมโลกวิญญาณทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าเหลือไว้เพียงตัวผู้หนึ่งตัวตัวเมียสองตัว ส่วนที่เหลือสังหารทิ้งหมด
ส่วนเต่าเล็กๆ ที่เกิดมา แต่ละครั้งเหลือเพียงตัวผู้หนึ่งตัวตัวเมียหนึ่งตัว ตอนออกไข่ครั้งหน้า เต่าผลักคลื่นก กะเทาะเปลือกไข่ออกมาจึงสังหารเต่าคู่ก่อนทิ้งแล้วเลือกมาใหม่อีกเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ห้าร้อยปีเต่าผลักคล ลื่นจึงออกไข่หนึ่งครั้ง ทำให้ไม่เคยมีใครเห็นเต่าผลักคลื่นนอกจากคนของราชวงศ์
“กลัวอะไร แย่งเต่าผลักคลื่นมาตัวหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เห็นมีอะไร ตามที่ว่ามา ถ้านางจะไ ไปจากที่นี่ แค่เอาเต่าผลักคลื่นมาตัวหนึ่งก็พอ ในเมื่อมีเพียงราชวงศ์ที่ครอบครอง เช่นนั้นย่อมต้องแย่งชิงมาหน นึ่งตัว หลังจากใช้แล้วก็มอบให้คนเผ่ามาร เห็นพวกเขายากจนแบบนี้ทำให้คนรู้สึกสงสารจริงๆ
จินเฟยเหยารู้สึกว่าองค์ชายใหญ่ช่างเลือกวันเก่งจริงๆ ห้าวันให้หลังพอดีเป็นวันที่คนเผ่ามารจะมาช่วยราชันภู ติ เขาต้องสู้กับราชันภูติพอดี ในศีรษะของคนผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ อยู่อย่างสุขสบายมากไปจึงว่างไม่มีอะไร รทำจริงๆ ถ้าต้องหนีไปก่อน แล้วคาถาบนแผ่นหลังจะทำอย่างไร?
“ข้าว่านะเผ่าของเจ้าคิดหาวิธีกำจัดคาถาได้หรือไม่ คงพาเจ้าไปแบบนี้ไม่ได้กระมัง?” จินเฟยเหยาลูบคาง จ้องมอง งคาถาบนแผ่นหลังราชันภูติแน่วนิ่ง ครุ่นคิดว่าสามารถทำลายได้หรือไม่
“ข้าก็ไม่รู้ คนที่มาถ่ายทอดคำพูดไม่ได้บอก” ราชันภูติก็ไม่แน่ใจ อาศัยระดับขั้นของคนเผ่ามารในเขตภูเขาเหล่า านั้น น่าจะไม่รู้วิธีทำลายคาถา ถ้าทำลายคาถานี้ไม่ได้ตนเองถูกช่วยกลับไปก็ได้แต่เป็นภาพลักษณ์อันจอมปลอม ใช้ค้ ำจุนความเชื่อมั่นของคนเผ่ามารเท่านั้น
“เจ้าหมุนตัวมาให้ข้าดูหน่อย ถึงข้าจะไม่เชี่ยวชาญนัก แต่อย่างน้อยที่สุดก็รู้มากกว่าพวกเจ้า” จินเฟยเหยาย่อกาย ยลงกวักมือเรียกเขา อาศัยฝีมือกำจัดคาถาแมวสามขา[1]ที่นางเคยเรียนกับปู้จื้อโหยว นางคิดจะทดลองดู ถ้าทำลายค คาถาปลดปล่อยราชันภูติได้เร็วหน่อย ตนเองก็จะได้ผลโสมเร็วๆ แล้วจากไป
ราชันภูติหมุนตัวมาอย่างมีความหวังเล็กน้อย เปิดเผยแผ่นหลังให้จินเฟยเหยา ส่วนนางหยิบก้านหญ้าขึ้นวาดลงบนแผ่ นหลังของเขา ทดลองกำจัดคาถาบนแผ่นหลัง
การกระทำของพวกเขาสองคนไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ ในไม่ช้าก็มีคนวิ่งไปบอกท่านอ๋องจื้อ ท่านอ๋องจื้อส่งเสียงขึ้นจมูกอ อย่างเย็นชา เจ้าพวกนี้ไม่ประมาณตนเองเกินไป คาถานี้ราชครูเป็นคนวาด เขาศึกษาเวทมนตร์คาถามาชั่วชีวิต คนที่วาด คาถาได้ทั่วทั้งอาณาจักรมีเพียงสิบสี่คนที่นำโดยราชครูเท่านั้น
ทุกสิบปีราชครูจะคัดเลือกเด็กน้อยที่มีพรสวรรค์จากในหมู่ประชาชนมาเรียนคาถา หนึ่งพันปีมานี้รับศิษย์เพียงสิบสี คน คนเผ่ามารที่ป่าเถื่อนจะทำลายคาถาของราชครูได้อย่างไร น่าขำจริงๆ
“ให้พวกเขาทำไป ทาสที่ซื้อมาใหม่และสัตว์ปิศาจจึงเป็นเรื่องสำคัญ จะอยู่ว่างไม่ทำการค้าแบบนี้ไปตลอดไม่ได้” ท่าน อ๋องจื้อเอ่ยอย่างเย็นชา
เปิดลานประลองมาหนึ่งพันกว่าปี ทุกวันล้วนมีศิลาวิญญาณชั้นล่างหลายพันก้อนเข้ามา มีราชันภูติขึ้นแสดงยิ่งมีศิล ลาวิญญาณเข้ามาเกินหมื่นก้อน หลายวันนี้ไม่มีสัตว์ปิศาจและทาส การค้าก็ทำไม่ได้ ทำให้ท่านอ๋องจื้อเสียรายได้มห หาศาล ตอนนี้เขาจึงไม่ว่างไปสนใจคนเผ่ามารสองคน ต้องรีบฟื้นฟูการค้าก่อน
ดังนั้นบรรดาผู้คุมจึงได้รับคำสั่งว่าไม่ต้องไปสนใจพวกจินเฟยเหยาว่ากำลังทำอะไรอยู่อีก ขอเพียงไม่หลบหนีเป็น ใช้ได้
ห้าวันต่อมา ในที่สุดวันตัดสินกับองค์ชายใหญ่ก็มาถึง
บรรดาประชาชนครุ่นคิดอยู่หลายครั้ง ถึงแม้จะมีแม่ทัพสามคนถูกฆ่าเป็นบทเรียนในครั้งก่อน แต่ยังเชื่อว่าองค์ชายใหญ ญ่จะไม่ถูกสังหาร ดังนั้นสุดท้ายคนที่ทำใจกล้าวิ่งมาชมการต่อสู้ยังนั่งอยู่เต็มลานประลอง แต่ถ้าองค์ชายใหญ่ถูก กสังหารด้วยก็ถือว่าได้ดูฉากนี้เปิดหูเปิดตาด้วยตนเอง คนยิ่งมามากฮ่องเต้ก็ไม่อาจสังหารประชาชนทั้งหมดได้
ประชาชนทุกคนต่างมีความคิดเช่นนี้ หลังจากเรื่องราวสงบลง ไม่ว่าราชันภูติตายหรือองค์ชายใหญ่ตาย การเคยได้เห็น นกับตาก็เป็นเรื่องที่สามารถนำมาโอ้อวดได้
……………………………….
[1] แมวสามขา หมายถึง เรียนรู้เพียงผิวเผิน