คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 338 สังหาร
ราชันภูติยืนอยู่บนลานประลองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เมื่อก่อนมักจะเปลือยท่อนบนสวมกางเกงหนังสัตว์เหมือนคนป่า วันนี้กลับสวมชุดเกราะสีทองทั้งตัว ดูแล้วน่าเกรงขามอย่างประหลาด แม้แต่บรรยากาศก็รู้สึกว่าแตกต่างออกไป
จินเฟยเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาแอบพยักหน้า ‘คนต้องพึ่งพาเสื้อผ้าม้าต้องพึ่งพาอาน[1]จริงๆ เพียงแต่สวมเสื้อผ้าแล้วไม่เห็นหน้ากากก็จำไม่ได้’
มองหาบนอัฒจันทร์ วันนี้นางไม่เห็นเงาร่างขององค์หญิงผิงอัน คิดไม่ถึงว่านางจะไม่มาในโอกาสสำคัญขนาดนี้ จินเฟยเหยาครุ่นคิด คงถูกองค์ชายใหญ่ฟ้องให้ฮ่องเต้เรียกตัวไปเสียแปดส่วน
นางคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ เพียงแต่คนฟ้องไม่ใช่องค์ชายใหญ่ ทว่าเป็นท่านอ๋องจื้อ เขาคิดจะได้สิทธิ์ทาสของจินเฟยเหยามาจากมือองค์หญิงผิงอัน ดังนั้นจึงทูลฟ้องฮ่องเต้ บอกว่าองค์หญิงผิงอันเอาทาสคนหนึ่งมาสังหารแม่ทัพสามคนตาย
ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ในใจราวกับมีมดนับหมื่นตัวกำลังปีนป่าย อยากไปดูองค์ชายใหญ่และราชันภูติที่ลานประลองอย่างยิ่ง ปกติรู้สึกดีกับฮ่องเต้มาตลอด เวลานี้ในดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นชิงชังขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะอาเจียน เจ้าคนเรื่องมาก
“บอกว่าจะขึ้นประลองด้วยตนเอง ข้ารู้สึกว่าเขาไม่น่าจะมาคนเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะพากองทัพมา รอจนพวกเราถูกฟันจนเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ค่อยเข้ามาแทงพวกเราให้ตาย” จินเฟยเหยาลูบใบหน้าเอ่ยวาจา
“มีข้าอยู่ เขาอย่าหมายจะมีชีวิตรอดออกไปเลย” ราชันภูติเอ่ยด้วยท่าทางห้าวหาญ ปราศจากความรู้สึกเศร้าสร้อยของสัตว์ที่ถูกกักขังเช่นในอดีตและกลับคืนสู่ท่วงท่าแม่ทัพเมื่อครั้งนำคนเผ่ามารต่อต้านกองทัพเผ่ามนุษย์
จินเฟยเหยากะพริบตาปริบๆ ระหว่างมีปราณมารกับไม่มีปราณมารแตกต่างกันมากจริงๆ ความเชื่อมั่นในตนเองพุ่งพรวดพราด
“เจ้าอย่าปล่อยปราณมารออกมาตั้งแต่แรกเริ่มล่ะ รอองค์ชายใหญ่ขึ้นเวทีก่อนค่อยว่ากัน ไม่เช่นนั้นถ้าเขาหนีไปจะไม่คุ้ม”
ราชันภูติเบือนหน้ามา นางมองสีหน้าภายใต้หน้ากากของเขาไม่ออก แต่ฟังออกถึงความรู้สึกขอบคุณในน้ำเสียง จินเฟยเหยา ถึงแม้เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์ แต่ข้ายังต้องขอบใจเจ้า ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงตายไปเมื่อห้าวันที่แล้ว จะมีวันที่สามารถฟื้นฟูปราณมารได้อย่างไร ต้องมีสักวัน ข้าจะไปดูโลกวิญญาณภายนอกที่เจ้าเอ่ยถึง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นเวทมนตร์คาถาอันสูงส่งลึกล้ำ”
“ไม่มีอะไร ของแบบนี้มีขายในแผงหนังสือที่โลกอื่น ราชวงศ์ตระกูลซูคิดว่าตนเองถูกต้อง ดังนั้นจึงทำให้ยากจนขนาดนี้ เรื่องคาถาก็ไม่ต้องขอบคุณ ข้าเพียงทำเพื่อข้อแลกเปลี่ยนกับองค์หญิงผิงอัน” จินเฟยเหยายิ้มจางๆ
“เป็นวีรบุรุษจริงๆ ด้วย! ความห้าวหาญเทียมฟ้า” ราชันภูติชื่นชมในใจ
จินเฟยเหยายิ้มอย่างขัดเขิน “ไม่หรอก เจ้าชมเกินไป”
สายตาของนางหยุดอยู่บนแผ่นหลังของราชันภูติมาตลอด ในห้องขังไม่มีกระจก ราชันภูติมองไม่เห็นลักษณะของแผ่นหลังหลังจากกำจัดคาถา รู้แค่ว่าปราณมารของตนเองกลับมาแล้ว เรื่องนี้เพียงพอจะทำให้เขายินดีอย่างยิ่ง แต่จินเฟยเหยารู้สึกว่า ถ้าเขารู้ว่าบนแผ่นหลังของตนเองมีลักษณะอย่างไร ต้องไม่ขอบคุณนางแน่
แต่ถึงอย่างไรราชันภูติมองไม่เห็น จินเฟยเหยาไม่คิดจะเอ่ยถึง ถือว่าไม่รู้แล้วกัน รอจนเขามีเวลาว่างมาเห็น ตนเองก็ไปจากโลกวิญญาณเทียนตี้นานแล้ว
“มาแล้ว”
พลันมีคนนับร้อยพุ่งขึ้นมาบนลานประลอง ทั้งหมดมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวม แต่ละคนล้วนสวมชุดเกราะสีเงิน ฝีเท้าพร้อมเพรียง พอเห็นก็รู้ว่าเป็นทหารในกองทัพที่ถูกฝึกมาอย่างดี ขั้นกำเนิดใหม่เป็นแม่ทัพ ขั้นหลอมรวมเกรงว่าคงเป็นนายทหาร
จินเฟยเหยามองแล้วกัดนิ้วคำนวณ ตามที่ราชันภูติเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ร้อยปีก่อนกองทัพในกำมือขององค์ชายใหญ่มีทั้งหมดสองหมื่นคน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมร้อยกว่าคนนี้น่าจะเป็นนายทหารขั้นหลอมรวมทั้งหมดในกำมือของเขา
สองหมื่นคน ตอนจินเฟยเหยาได้ยินมุมปากก็กระตุก คนน้อยนิดแค่นี้ยังกล้าเรียกว่ากองทัพ โลกวิญญาณเป่ยเฉินสู้รบกันทีตายไปตั้งแสนกว่าคน ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น วิญญาณผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาสองหมื่นดวง ยังไม่เพียงพอจะแลกเปลี่ยนในคฤหาสน์อินสักครั้งเลย
“ท่าทางครั้งนี้องค์ชายใหญ่จะไม่ตายไม่เลิกรา เรียกทหารกล้าในมือมาหมด” ความอหังการของราชันภูติแผ่กระจายออกมา จ้องมองนายทหารขั้นหลอมรวมเหล่านั้นอย่างพร้อมจะเผชิญหน้า
จินเฟยเหยาเห็นท่าทางจริงจังของราชันภูติก็นั่งยองๆ อย่างหมดวาจา รู้สึกสลดใจอย่างยิ่ง เพราะเหตุใดอยู่ในโลกวิญญาณนี้ตนเองจึงมีความรู้สึกเหมือนอันธพาลกำลังมองดูกลุ่มเด็กน้อยตีกันเพื่อผลไม้รสเปรี้ยวไม่กี่ลูก ส่วนตนเองเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถต่อยพวกเขาให้ร้องไห้หาบิดามารดาได้ทุกเมื่อ
“ฮึ ตอนนี้คิดจะคุกเข่าขอความเมตตาก็สายไปแล้ว ถึงเจ้าคิดจะประจบให้ข้าเบิกบานใจ ขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตเจ้า ก็เปลืองแรงเปล่า” องค์ชายใหญ่สวมเกราะรบลวดลายมังกรของเขา ด้านหลังแบกคันธนูเก้ามังกรเทวะ เดินวางมาดออกมา
แสร้งเป็นแม่ทัพได้เหมือนจริงๆ นี่คือความประทับใจที่จินเฟยเหยามีต่อเขาในยามนี้ ได้ยินราชันภูติบอกว่าถึงแม้องค์ชายใหญ่เป็นผู้นำทัพ ทว่ากลับลงมือน้อยครั้ง ออกคำสั่งอยู่ภายในกระโจมตลอด แต่จินเฟยเหยาคาดเดาว่า คนเผ่ามารคงอ่อนแอเกินไป ผู้อื่นไม่ต้องออกจากกระโจม เพียงส่งแม่ทัพหลายคนไปออกศึกก็สามารถโจมตีคนเผ่ามารให้แตกพ่ายหนีหัวซุกหัวซุนได้
นายทหารขั้นหลอมรวมร้อยคนโอบล้อมพวกเขาไว้เป็นวงกลม องค์ชายใหญ่กลับยืนอยู่นอกวง ตวาดเสียงเย็นชา “กระบวนทัพกักสัตว์!”
มือซ้ายของนายทหารขั้นหลวมรวมถือโล่ มือขวาถือหอก จากนั้นแนบติดเข้าด้วยกันล้อมคนทั้งสองไว้ และใช้หอกยาวที่เป็นอาวุธเวทชั้นบนกดทับพวกเขาราวกับกำแพงหนาม
ราชันภูติคำรามลั่น ถือขวานยักษ์ฟันไปรอบด้านทันที ท่าทางทุ่มเทสุดกำลังทำให้จินเฟยเหยาตกใจนึกว่าเขาจะปล่อยปราณมารออกมา ขวานยักษ์ของเขากวาดไปกระทบบนโล่วิญญาณก็สั่นสะเทือนทันที ทำให้การโจมตีของทหารทางนั้นหยุกชะงัก และยับยั้งการโจมตีของขวานยักษ์ไว้ไม่ได้จนต้องถอยร่นไปหลายก้าว
ส่วนจินเฟยเหยานำทงเทียนหรูอี้ออกมาอีก ยังเป็นดาบสองเล่มดังเดิม นางถือดาบฟันบนหอกยาวอันแน่นขนัดคราหนึ่ง หัวหอกของหอกยาวพร้อมใจกันถูกนางตัดร่วงลงพื้นหมดราวกับต้นหญ้าริมทาง
นายทหารขั้นหลอมรวมตกใจกลัว นี่เป็นอาวุธเวทชั้นบนนะ เหตุใดถูกฟันทีเดียวจึงร่วงลงมาหมด! หัวหอกถูกฟันแล้วยังจะมีประโยชน์อะไร นายทหารเหล่านั้นรีบล่าถอย นายทหารที่เหลือก็เข้ามาเสริมอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่จินเฟยเหยาได้เห็นกระบวนทัพในการสู้รบของผู้บำเพ็ญเซียน ที่เคยพบมากที่สุดก่อนหน้านี้คือวงเวทกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง อีกทั้งนางสังเกตดูแล้ว ถ้าอาวุธของนายทหารเหล่านี้ได้มาตรฐานของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมธรรมดาในโลกอื่นๆ คิดจะใช้กระบวนทัพแบบนี้ล้อมสังหารผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยังมีความเป็นไปได้
แต่อาวุธของพวกเขาย่ำแย่เกินไป โล่ก็ไม่ไหว หอกก็ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะถือของวิเศษระดับล่างหรือระดับกลาง ไม่ใช่อาวุธเวทเกรดต่ำเหล่านี้ น่าเสียดายกระบวนทัพจริงๆ ใช้กับพวกเขาแล้วอานุภาพไม่น่าเกรงขามเลย
เห็นกระบวนทัพกักสัตว์ไม่ได้ผลทั้งยังสูญเสียอาวุธเวทอีก องค์ชายใหญ่ก็ออกคำสั่งให้เปลี่ยนกระบวนทัพ “กระบวนทัพปีกเหิน!”
หลังนายทหารล่าถอยอย่างรวดเร็วก็จัดกระบวนเป็นรูปนกสยายปีกโผทะยาน จากนั้นปากพวกเขาก็ท่องมนตร์ ทรวงอกด้านหน้าผนึกเป็นเปลวเพลิงทันที
“เอ๋! ใช้เวทมนตร์โจมตี!” จินเฟยเหยาชะงัก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการโจมตีด้วยเวทมนตร์ ถึงแม้เป็นเพียงเวทมนตร์ที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมปล่อยออกมา และดูเหมือนเป็นเพียงเวทอัคคี ทว่ารวมกันแล้วอานุภาพก็มิอาจดูเบา ถ้าตนเองไม่ใช้พลังวิญญาณเกรงว่าไม่มีทางต้านรับได้
“ทำอย่างไรดี! ถ้าไม่ใช้ปราณมารก็ต้านไม่ไหว” ราชันภูติเอ่ยถามอย่างร้อนรน
จินเฟยเหยาส่งเสียงเพ้ยคำหนึ่ง เอ่ยอย่างดุร้าย “ไม่สนแล้ว! ข้าฟันองค์ชายใหญ่ เจ้าจัดการทหารขั้นหลอมรวมพวกนั้น ปลอมเป็นหมูกินเสือ[2]ไม่ได้ ปลอมแล้วสุดท้ายจะกลายเป็นหมูย่าง!”
สิ้นเสียง เปลวเพลิงขนาดครึ่งตัวคนร้อยดวงก็โจมตีเข้าใส่พวกเขาสองคน จินเฟยเหยาพลิกมือถ่ายเทพลังวิญญาณลงในทงเทียนหรูอี้อย่างบ้าคลั่งให้กลายเป็นโล่ขนาดใหญ่บดบังคนทั้งสองไว้ด้านล่างทันที เปลวเพลิงทั้งหมดโจมตีลงบนโล่ทงเทียนหรูอี้และเริ่มเผาไหม้
องค์ชายใหญ่นำคันธนูเก้ามังกรเทวะบนหลังลงมา พลังวิญญาณที่พุ่งออกมาจากมือกลายเป็นลูกธนูยาวสีทองหนึ่งดอกยิงใส่พวกจินเฟยเหยาที่อยู่ในวงเวท ลูกธนูสีทองพกพาเสียงมังกรคำรามบินออกไป
เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆ เจ้าไม่ใช่เผ่ามาร ในโลกวิญญาณเทียนตี้แห่งนี้ไม่มีสตรีเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองจะยืมมือองค์ชายหก ไหว้วานองค์หญิงผิงอันให้เจ้าปลอมเป็นคนเผ่ามารปะปนเข้าไปเพื่อคิดจะลอบสังหารข้า แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นแผนการเลยสักนิด ข้าเคลื่อนกองทัพอันล้ำค่าค้นหาแม่ทัพเจิ้นกั๋วที่กำลังปราบคนเผ่ามาร เขาไม่เคยส่งคนเผ่ามารให้องค์หญิงผิงอัน ฮึ! วันนี้ข้าจะยิงนัดเดียวได้นกสองตัวทำลายอำนาจขององค์ชายรองและสังหารพวกเจ้าเสีย!”
สมองขององค์ชายใหญ่ใช้การได้ดีจริงๆ ไม่เพียงมองออกว่าจินเฟยเหยาเป็นเผ่ามนุษย์ปลอมแปลงมา แม้แต่แผนการร้ายเบื้องหลังเขาก็คาดเดาออก องค์ชายรองและองค์ชายหกแบกรับความผิดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ องค์ชายหกยังถูกกักบริเวณ ส่วนองค์ชายรองกำลังจัดการให้ลูกน้องซุ่มโจมตีองค์ชายใหญ่ตอนเขาได้รับชัยชนะกลับวัง ดังนั้นจึงไม่มีใครมาอธิบายสักคน
ลูกธนูสีทองที่พกพาเสียงมังกรคำรามปักลงบนทงเทียนหรูอี้ คนข้างลานประลองได้ยินเสียงดังจนหูแทบหนวกผ่านการป้องกัน หูดังวิ้งๆ ในพริบตา แม้แต่คนข้างๆ กำลังตะโกนว่าอะไรก็ไม่ได้ยิน
หลังเสียงดังสนั่น กลางกระบวนทัพปีกเหินมีแสงทองกว้างเกือบสองจั้งสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา อานุภาพปราณวิญญาณเต็มไปทั่วลานในพริบตา หลังแสงสีทองผ่านพ้น ภายในลานประลองปรากฏหลุมขนาดใหญ่ลึกสามสี่จั้ง ภายในหลุมมองไม่เห็นอะไรเลย ราวกับราชันภูติและจินเฟยเหยากลายเป็นผุยผงไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ นึกว่ายืมมือทาสก็คิดจะสังหารข้าได้ คิดง่ายเกินไปแล้ว น้องจิ่ง ตอนนี้ข้าจะไปสังหารองค์ชายรองและองค์ชายหกแก้แค้นให้เจ้า!” องค์ชายใหญ่เห็นว่าสังหารสองคนนี้ได้ด้วยลูกธนูดอกเดียวก็หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นทันที
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีสายลมเย็นเยียบวาบผ่าน จินเฟยเหยาปรากฏขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหัน กำปั้นเหล็กชกเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างหนักหน่วง องค์ชายใหญ่กระเด็นกลิ้งออกไปไกลหลายจั้ง หลังจากหยุดร่างได้ก็รู้สึกว่าจมูกเจ็บปวด มีโลหิตไหลออกมา คิดไม่ถึงว่าจะถูกจินเฟยเหยาต่อยดั้งจมูกยุบ!
ร่างราชันภูติมีปราณมารพลุ่งขึ้นมากลายเป็นขวานยักษ์สีดำฟาดฟันผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่งราวกับมีชีวิต
ส่วนทงเทียนหรูอี้ของจินเฟยเหยาก็เปลี่ยนรูปเป็นภูเขาศิลาโปร่งใสสูงสิบกว่าจั้งสองลูกปรากฏขึ้นกลางอากาศ บดขยี้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมนับร้อยและองค์ชายใหญ่
“อา! ปราณมารของคนเผ่ามารไม่ได้ถูกสะกด!” มีเสียงร้องอุทานมาจากบนอัฒจันทร์ ประชาชนหวาดกลัวจนวิ่งหนีกันอลหม่าน มีปราณมารและไม่มีปราณมารแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน พวกเขาไม่อยากตายที่นี่ ภายในลานประลองวุ่นวายในพริบตา
ในเวลานี้เอง ภายในลานประลองมีคนนับพันถืออาวุธเวทยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ตะโกนดังลั่นและสังหารเผ่ามนุษย์ที่หลบหนีไปรอบด้าน ยิ่งมีคนร้องคำรามว่า “แม่ทัพเมิ่ง! พวกเรามาช่วยท่านอีกแรง!”
……………………………………
[1] คนต้องพึ่งพาเสื้อผ้าม้าต้องพึ่งพาอาน หมายถึง คนจะดูดีได้ต้องอาศัยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้า ม้าจะดูน่าเกรงขามเพราะบนหลังมีอานอันงดงาม
[2] ปลอมเป็นหมูกินเสือ หมายถึง แสร้งเป็นอ่อนแอให้ศัตรูตายใจ แล้วฉวยโอกาสเอาชนะในท้ายที่สุด