คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 340 แผ่นหลัง
“อา! องค์หญิงผิงอัน!” ฮ่องเต้ลุกขึ้นมาทันที
ซูโม่โม่ที่เมื่อครู่ยังหลบอยู่หลังเสาเห็นกระบี่ดับสวรรค์จะแทงราชันภูติ อีกทั้งตอนนี้ราชันภูติยังถูกบรรดาองครักษ์พัวพันไว้มีบาดแผลเต็มตัวหลบไม่พ้นแล้ว นางผลักองครักษ์ออกแล้วพุ่งเข้าไปโดยไม่รู้ตัว กระบี่ดับสวรรค์ขององค์ชายรองแทงเข้าหัวใจของนางและทะลุเป็นรูออกไปพอดี
ซูโม่โม่กรีดร้องและล้มลงข้างเท้าราชันภูติ ในสมองของฮ่องเต้และบรรดาองค์ชายนึกถึงปัญหาหนึ่งในพริบตา ถ้าองค์หญิงผิงอันตายแล้ว พวกเขาจะทำอย่างไร อาณาจักรหลงเวยจะทำอย่างไร!
“ราชันภูติ…เจ้ารีบหนีไป” ซูโม่โม่ดิ้นรนเงยหน้าขึ้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
ราชันภูตินึกถึงเรื่องของซูโม่โม่ที่จินเฟยเหยาเคยเอ่ยกับเขาได้ พลันย่อกายลงและพยุงร่างของนางขึ้น ซูโม่โม่อิงอยู่ในอ้อมอกของราชันภูติด้วยความยินดียิ่ง ในที่สุดนางก็สามารถเข้าใกล้ราชันภูติได้ ทั้งยังได้นอนในอ้อมอกของเขา “เดิมทีข้าคิด…จะให้ผลโสมกับเจ้า น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าไม่ไหวแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่ง…อยากบอกเจ้า”
ใบหน้าของซูโม่โม่มีรอยยิ้มอันอ่อนโยน ฉุดดึงราชันภูติไว้มั่นคิดจะบอกความในใจของตนเองกับเขาก่อนที่ชีวิตจะสิ้นสุด ไม่ว่าราชันภูติจะรับน้ำใจหรือไม่ก็สามารถทำให้ตนเองตายไปโดยไม่เสียใจ
ในเวลานี้เอง จินเฟยเหยาที่เพิ่งได้กลิ่นก็มาตามหาซูโม่โม่ นางเดินมาถึงตำหนักใหญ่อย่างเอ้อระเหยก็เห็นทรวงอกของซูโม่โม่มีกระบี่ปักอยู่และล้มลงในอ้อมอกของราชันภูติอย่างกะทันหัน
“เอ๋?” นางหยุดฝีเท้าจ้องมองซูโม่โม่หลายครั้ง พลันร้องตะโกนลั่น “อ๊า! นี่เจ้าสารเลวคนใดทำ!”
จินเฟยเหยารีบพุ่งเข้าไป ใช้เท้าเตะราชันภูติออกไปไกลสิบกว่าจั้งและแย่งซูโม่โม่มาจากอ้อมอกของเขา
ทุกคนเห็นราชันภูติถูกเตะกระเด็นออกไปอย่างงุนงง จากนั้นสถานที่ซึ่งองค์หญิงผิงอันล้มลงกับพื้นก็ปรากฏสตรีเผ่ามารคนหนึ่ง เวลานี้ซูโม่โม่กำลังจะเปิดเผยความในใจต่อราชันภูติ คำพูดมาถึงปากแล้วราชันภูติกลับถูกเตะออกไป
ซูโม่โม่ร้อนใจ คำพูดที่มาถึงปากจึงกลายเป็นโลหิตสดพ่นใส่ทรวงอกจินเฟยเหยา
“เจ้าอย่าพูดเลย เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้เจ้าตายไปแบบนี้แน่!” จินเฟยเหยาอุ้มซูโม่โม่ ใต้เท้าใช้พลังวิญญาณ คนก็พุ่งทะลุหลังคาออกไป
“ราชันภูติ…ข้ามีคำพูดอยากบอกเขา!” ซูโม่โม่ที่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง
แต่จินเฟยเหยาในยามนี้เพลิงโทสะจู่โจมหัวใจ อุ้มนางพุ่งไปยังสวน สองมือโอบกอดนางแนบแน่นและถ่ายเทพลังวิญญาณลงในร่างของซูโม่โม่ยื้อชีวิตไว้ไม่ให้นางตาย
ซูโม่โม่ได้แต่อยู่ในอ้อมอกนางและเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่านเซียน…ข้าไม่ไหวแล้ว ท่านอย่าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีกเลย ข้าแค่คิดจะกล่าวกับราชันภูติไม่กี่ประโยค ท่านรีบ...ส่งข้ากลับไป”
“เจ้าอย่าพูด เดี๋ยวก็ถึงแล้ว!” จินเฟยเหยาพูดอย่างเฉียบขาด ราชันภูติอะไรนั่นถูกนางโยนทิ้งไว้นอกสมอง
จินเฟยเหยาพุ่งเข้ามาในสวนและตรงไปยังต้นผลโสม นางมาถึงใต้ต้นผลโสมก็รีบปลุกซูโม่โม่ที่หมดสติ “เจ้ารีบตื่นเร็วเข้า ตื่นสิ”
“ท่านเซียน…” ซูโม่โม่ลืมตาขึ้นอย่างกินแรงเอ่ยอย่างขมขื่นช้าๆ “ข้าเป็นแบบนี้แล้ว…ท่านอย่ารั้งข้าไว้ที่นี่เลย ข้าหมดทางเยียวยาแล้ว”
คิดไม่ถึงว่า จินเฟยเหยากลับดึงมือนางมาแนบบนม่านแสงป้องกันบนต้นผลโสมและเอ่ยอย่างร้อนใจ “เร็ว รีบนำผลโสมทั้งหมดออกมา เจ้าต้องอดทนไว้ ถ้ายังไม่นำผลไม้ออกมาจะตายไม่ได้!”
“…” ซูโม่โม่มองนางอย่างตะลึงงัน มีคำสั่งเสียเต็มไปหมดแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“จริงสิ ข้ายังมียาคืนชีพกลับสวรรค์ เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะเอาให้กิน!” จินเฟยเหยาตัดสินใจเสี่ยงเพื่อผลโสม จะให้ซูโม่โม่ตายก่อนนำผลโสมออกมาไม่ได้
นางรีบนำยาคืนชีพกลับสวรรค์ออกมา กำลังคิดจะป้อนให้ซูโม่โม่กินก็เห็นนางค่อยๆ หลับตาลง ศีรษะเอียงพับ มือที่วางบนม่านแสงร่วงลงมาในพริบตา ไม่ได้เอาผลโสมออกมาแม้แต่ครึ่งผลก็ขาดใจตายไป
จากนั้นต้นผลโสมที่มีปราณเซียนคุกคามคนเบื้องหน้าจินเฟยเหยาเริ่มแห้งเหี่ยว ใบไม้ที่มีลวดลายสีเงินหดลีบ ผลโสมสีชมพูเน่าเสีย ลำต้นเปลี่ยนเป็นสีเทาดำ ทุกอย่างถดถอยอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตานาง
สุดท้าย ม่านป้องกันแตกสลาย ต้นผลโสมกลายเป็นธุลีสีดำกระจายเต็มหน้านางและล่องลอยอยู่ในอากาศ จินเฟยเหยามองธุลีสีดำทั่วท้องนภาอย่างโง่งมยังโอบกอดซูโม่โม่ที่สิ้นใจไว้ในอ้อมอก กลิ่นหอมหวานของผลไม้บนร่างซูโม่โม่ค่อยๆ จางลง สุดท้ายก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
“อ๊า!” จินเฟยเหยาวางซูโม่โม่ลงแล้วคำรามลั่นใส่เถ้าธุลีที่ล่องลอย ร่างมีปราณสีดำพลุ่งขึ้นมาและกลายร่างเป็นเทาเที่ยในพริบตา นางยกกรงเล็บขึ้นโจมตีสิ่งก่อสร้างรอบด้าน ตำหนักวั่นโซ่วถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษซาก ทำลายวังวั่นโซ่วเสร็จ นางหันหน้าวิ่งตะบึงไปทางตำหนักใหญ่ทันที
เวลานี้ราชันภูติกำลังต่อสู้กับพวกองค์ชาย สำหรับเขา การตายของซูโม่โม่คือการโยนหินก้อนเล็กๆ ลงในทะเลสาบ ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลาเหลือพอจะไปสนใจซูโม่โม่ ถ้ายังไม่หนีอีกอาจจะจบชีวิตได้
ทันใดนั้นเหนือศีรษะมีเสียงโครมคราม หลังคาตำหนักพังลงมาทั้งหมด ฝุ่นธุลีปกคลุมไปทั่วบรรยากาศอึมครึม รอจนฝุ่นละอองจางหายไป ราชันภูติปีนลงมาจากกองเศษซาก เบื้องหน้าปรากฏสัตว์ปิศาจสูงสามสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่านี่เป็นสัตว์ปิศาจอะไร เห็นเพียงร่างครึ่งท่อนของฮ่องเต้อาณาจักรหลงเวยห้อยอยู่นอกปากของสัตว์ปิศาจ มุมปากของมันยังมีอาภรณ์ล้ำค่าเหลืออยู่บ้าง ท่าทางก่อนหน้านี้เชื้อพระวงศ์ถูกมันกินไปไม่น้อย
เห็นฮ่องเต้ถูกมันเงยหน้าสะบัดขึ้น แล้วอ้าปากกว้างเจ็ดแปดจั้งกินฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหลงเวยลงไปกร้วมๆ ฮ่องเต้เพิ่งลงท้อง บนท้องนภาก็มีมังกรแสงสีทองหยาบสามสี่จั้งตัวหนึ่งพุ่งมาจากบนท้องนภา การปรากฏตัวของมันพกพาเสียงมังกรคำรามดังสนั่น พอปรากฏตัวก็ตวาดอย่างมีโทสะ “คิดไม่ถึงว่าจะกล้าสังหารทายาทตระกูลข้า ข้าจะเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้ามาทำตะเกียงวิญญาณ! ให้เจ้าขออยู่ไม่ได้ ขอตายก็ไม่สำเร็จ!”
“ไสหัวไป!” จินเฟยเหยาแค่คำรามใส่มังกรทอง จากนั้นยกกรงเล็บตบไปทีหนึ่ง มังกรยังเอ่ยไม่จบก็ถูกนางโจมตีสลายไป
“ถุย แค่วิญญาณแก่ๆ มาทำเป็นยิ่งใหญ่ข่มขู่ใครกัน!” จินเฟยเหยาหลังแปลงเป็นเทาเที่ยมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิต ในวังหลวงราวกับดินแดนที่ไร้ผู้คน เห็นสิ่งใดก็กินสิ่งนั้น เชื้อพระวงศ์ที่ถูกกลืนกินพวกนั้นล้วนมีมังกรทองตัวน้อยใหญ่แตกต่างกันออกมา
แต่ต่อให้มีมังกรทองมากมายกว่านี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขนาดมังกรทองตัวใหญ่ที่สุดของฮ่องเต้ยังถูกนางตบสลายไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงมังกรตัวเล็กๆ พวกนั้น แค่คำรามก็หวาดกลัวจนสลายไป ถึงมีมังกรทองนำนางไปแท่นประหารเซียนได้ บนนั้นก็ไม่มีใครเลย ตัวใหญ่ขนาดนี้ แท่นประหารเซียนไม่พอให้นางนั่งครึ่งก้นเสียด้วยซ้ำ
ราชันภูติอ้าปากกว้างมองสัตว์ปิศาจที่วิ่งมาอีกด้านของวังหลวง เขารู้ว่าตนเองได้ยินไม่ผิด น้ำเสียงที่สัตว์ปิศาจตัวนั้นพูดเมื่อครู่คือจินเฟยเหยาที่อยู่ร่วมกับตนเองมาหลายวัน
“ที่แท้นางเป็นสัตว์ปิศาจขั้นเทพ?” ราชันภูติไม่เคยเห็นสัตว์ปิศาจที่พูดภาษามนุษย์ได้มาก่อน อดคาดเดาไม่ได้ว่านี่คือสัตว์ปิศาจขั้นเทพในตำนาน ได้ยินมาว่าสัตว์ปิศาจแบบนี้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ฟังภาษามนุษย์เข้าใจและพูดภาษามนุษย์ได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะปลอมแปลงได้สำเร็จขนาดนี้ ถ้าไม่กลายร่างเป็นสัตว์ก็ดูไม่ออกเลยว่าไม่ใช่คน
จินเฟยเหยาวิ่งวุ่นวาย ป่วนในวังหลวงจนเละเทะ ไม่รู้ว่ามาถึงหน้าคฤหาสน์เตี้ยๆ เมื่อใด ตรงประตูที่นี่มีทหารเฝ้าอยู่อย่างหนาแน่น เพียงแค่เห็นนางวิ่งมาก็หวาดกลัวจนหลบหนีไปจนหมด ผู้ใดจะไม่หวาดกลัวสัตว์ปิศาจกินคน
ไม่รู้ว่าด้านในซ่อนของดีๆ อะไรเอาไว้ จินเฟยเหยายกกรงเล็บขึ้นตบ คฤหาสน์พังทลาย สิ่งของก็เปิดเผยออกมา ขวดยาที่บรรจุยาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายเกลื่อนพื้น
“เอ๋? นี่คือห้องเก็บของของราชวงศ์?” จินเฟยเหยาสูดดม กลิ่นยาก็ลอยออกมา สายตาของนางมองไปทางอาคารอื่นๆ อีก ใช้อุ้งเท้าโจมตีไม่กี่ทีก็พังทลาย ด้านในมีของวิเศษ อาวุธเวท และศิลาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเปิดเผยออกมา
เห็นสิ่งของเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ เหล่านี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าน่าขำ มีสิ่งของมากมายจริงๆ แม้แต่ยาก็มีหลายหมื่นขวด น่าเสียดายที่เชื้อพระวงศ์พวกนี้ ยอมวางของวิเศษและยาไว้ในห้องเก็บของให้ฝุ่นจับ แต่ตัดใจนำออกมาให้บรรดาทหารใต้บังคับบัญชาใช้ไม่ได้
ประเทศเช่นนี้หากไม่ล่มสลาย แม้แต่สวรรค์ก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้
ราชันภูติพาคนติดตามด้านหลังจินเฟยเหยา มองของวิเศษและยาเกลื่อนพื้น ในดวงตาหลงเหลือเพียงความยินดีอย่างบ้าคลั่ง ถ้านำสิ่งของเหล่านี้กลับไปความแข็งแกร่งของเผ่ามารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยามต่อกรกับกองทัพเกือบสองหมื่นของอาณาจักรหลงเวยก็จะไม่ถูกทุบตีเพียงฝ่ายเดียวแล้ว
ต่อให้เมืองหลวงเกิดเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ ทว่ากองทัพและเชื้อพระวงศ์กลับไม่อยู่ที่เมืองหลวง หลังความเสียหายอย่างหนักในครั้งนี้ อาณาจักรหลงเวยต้องปั่นป่วนเป็นเวลานาน นี่คือโอกาสดีของกองทัพกบฏเผ่ามาร
จินเฟยเหยาใช้การรับรู้กวาดดูสิ่งของเหล่านี้ ไม่มีอะไรที่นางสนใจ ทันใดนั้น นางพลันพบอะไรบางอย่างจึงนั่งบนหลังคาติดกัน ดูดกล่องใบหนึ่งออกมาและร่วงหล่นลงบนกรงเล็บของนาง
ตอนนี้นางยุ่งอยู่กับการกินอาหารจึงใส่กล่องหยกไว้ในถุงเฉียนคุน จากนั้นเอ่ยกับพวกราชันภูติที่ยืนอยู่ด้านข้างที่อยากได้แต่ไม่กล้าเข้ามา “พวกเจ้าเอาขยะพวกนี้ไป ข้าไม่สนใจ”
จากนั้นนางก็ยกก้นขึ้นวิ่งไปที่อื่นอีก ส่วนมากเชื้อพระวงศ์มีพลังการบำเพ็ญเพียร ในสายตาของจินเฟยเหยาคืออาหารที่วิ่งได้ จินเฟยเหยาทอดถอนใจ ตอนปีใหม่สมัยเด็กๆ ยังไม่ได้กินเยอะขนาดนี้เลย วันนี้ถือว่าชดเชยแล้วกัน ให้ข้ากินจนเต็มอิ่ม
เห็นจินเฟยเหยาวิ่งไปอาละวาดยังสถานที่อื่น ราชันภูติก็พาคนเข้าไป ค้นหาถุงเฉียนคุนใต้เศษซากเหล่านั้นก่อน จากนั้นโกยสิ่งของบนพื้นใส่อย่างไม่คิดชีวิต ยา เคล็ดวิชา อาวุธเวทและของวิเศษนานาชนิด สิ่งของชั้นยอดละลานตาทำให้บรรดาคนเผ่ามารที่ยากจนตาลาย
คิดไม่ถึงว่ามาช่วยคนครั้งนี้จะเก็บเกี่ยวได้มากถึงเพียงนี้ โชคดีจริงๆ ตัดสินใจว่าหลังกวาดห้องเก็บของของราชวงศ์จนเกลี้ยงเกลาก็จะไปจากเมืองหลวงทันที มีสิ่งเหล่านี้พวกเขาก็สามารถสร้างกองทัพได้ ต่อไปก็มีหวังจะล้มล้างการกดขี่ของอาณาจักรตระกูลซู
พวกเขาเก็บสิ่งของใส่ถุงเฉียนคุนอย่างบ้าคลั่ง พลันมีคนเผ่ามารผู้หนึ่งเห็นแผ่นหลังของราชันภูติ ชุดเกราะสีทองของเขาถูกโจมตีเสียหาย ชุดเกราะขาดทำให้ราชันภูติโยนทิ้ง ก่อนหน้านี้ยุ่งอยู่กับการสังหารศัตรูดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นแผ่นหลังของเขา คนเผ่ามารผู้นั้นตะลึงงันทันที
“แม่ทัพเมิ่ง สิ่งที่วาดบนแผ่นหลังของท่านคืออะไร?” เขาชะงักแล้วเอ่ยถามอย่างเก้อเขิน
ราชันภูติเมิ่งหันหน้ามา เก็บสิ่งของใส่ในถุงเฉียนคุนพลางอธิบาย “คาถาผนึกปราณมารของข้าที่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นช่วยทำลายให้”
“อ้อ…แบบนี้เอง” คนเผ่ามารผู้นั้นลังเลอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจะบอกแม่ทัพเมิ่งดีหรือไม่ว่าแผ่นหลังของเขามีภาพวังวสันต์[1]
ที่จริงก็ไม่ใช่ภาพชุนกง ถ้าไม่มองให้ละเอียดก็เห็นเพียงเป็นแผนภาพที่ถูกวาดจนเละเทะ ทว่าพอมองให้ละเอียดจะพบว่าแผนภาพเหล่านั้นรวมเป็นภาพวังวสันต์อย่างมหัศจรรย์ ทั้งยังเป็นภาพบุรุษสามคนที่น่าอับอาย ไม่ใช่ภาพวังวสันต์ของบุรุษสตรีธรรมดา
เขาครุ่นคิดแล้วตัดสินใจไม่บอกดีกว่า ต่อไปใครพบเห็นคนนั้นก็พูดเถอะ
…………………………………………
[1] ภาพวังวสันต์หรือภาพชุนกง เป็นภาพวาดอีโรติกในสมัยโบราณ