คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 341 เสียงกระดิ่ง
จินเฟยเหยาอาละวาดในวังหลวงรอบหนึ่ง นางจำไม่ได้ว่ากินคนไปกี่คน ถึงอย่างไรเจอคนขั้นหลอมรวมขึ้นไปก็กิน ทำให้พวกราชันภูติปล้นสิ่งของเสร็จ ไม่มีคนขัดขวางระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว หนีออกมาจากวังหลวงได้อย่างราบรื่น
เห็นบนถนนนอกวังหลวงมีสิ่งของกระจายเกลื่อนพื้น เผ่ามนุษย์หนีออกนอกเมืองกันหมด ถึงสัตว์ปิศาจกินคนจะอยู่ในวัง แต่ยังมีกองทัพกบฏของเผ่ามารที่เป็นศัตรู
คนเผ่ามารในคฤหาสน์จำนวนไม่น้อยเห็นกองทัพกบฏสังหารคนธรรมดาในเมือง พลันก่อเรื่องขึ้น คนที่จัดการได้ง่ายก็สังหารเผ่ามนุษย์เข้าร่วมกับกองทัพกบฏ สังหารผู้บำเพ็ญเซียนไม่ได้ก็สังหารคนธรรมดาหลายคน แม้แต่สตรีเผ่ามารที่ถูกขายเข้าหอนางโลมก็ออกมาอย่างเลือดร้อน
ยิ่งมีคนเผ่ามนุษย์ถูกเผ่ามารที่เคียดแค้นและเดือดดาลทุบตีจนทรุดและลากไปสังหารบนพื้นจนโลหิตไหลนอง ความแค้นในหลายปีนี้จึงได้รับการปลดปล่อย
นอกจากในวังหลวง เมืองหลวงนอกวังยังมีขุนนางและเชื้อพระวงศ์อาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย ชนชั้นผู้เยาว์ของราชวงศ์อย่างท่านหญิงและทายาทอ๋องเหล่านั้น เวลานี้มีองครักษ์คุ้มครองหลบหนีออกนอกเมืองราวกับนกตื่นธนู
มีบางคนหนีไม่ทันก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องสมบัติหรือห้องลับภายในบ้าน ส่วนมากเป็นพวกคุณหนูและพระชายา ทั้งยังมีบรรดาคุณชายไร้ความสามารถ
ขอเพียงมีพลังวิญญาณพวกนางก็ฝึกบำเพ็ญได้ แต่ฝึกเพื่อเป็นต้นทุนในการแต่งงานและมีอายุยืนยาวเท่านั้น คนส่วนมากยังไม่เคยฆ่าไก่สักตัว
ปกติกินดีอยู่ดีใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อมีชีวิตที่สุขสบาย ตอนนี้มาเจอเรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้จักความเหมาะสม หวาดกลัวจนตัวสั่นราวกับนกเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในรอยแตกของก้อนหินท่ามกลางพายุฝน
จินเฟยเหยากลับดมกลิ่นเนื้อที่ลอยอยู่ในอากาศได้ จึงค้นหาอาหารอร่อยเหล่านี้ในเมืองหลวงที่เหมือนเขาวงกต ถึงแม้พวกนางจะซ่อนตัวอย่างมิดชิด ทว่ากลิ่นเนื้อบนร่างยังลอยกระจายออกมาทำให้จินเฟยเหยาดมกลิ่นได้ง่าย
นางเหมือนสัตว์ปิศาจที่ค้นหาหนอน ใช้กรงเล็บทำลายบ้านเรือน จากนั้นค้นหาคนที่เป็นขั้นหลอมรวมขึ้นไปในห้องลับแล้วจับตัวออกมากิน
ขอเพียงกลายร่างเป็นเทาเที่ยจินเฟยเหยาจะได้รับผลกระทบจากร่าง ต้องกินอย่างอาหารอย่างสุดชีวิต นางทำให้อาณาจักรหลงเวยทั้งหมดยุ่งเหยิงวุ่นวาย บ้านเรือนครึ่งหนึ่งถูกนางทำลาย เชื้อพระวงศ์ก็ถูกนางกินไปแปดส่วน
ฮ่องเต้และบรรดาองค์ชายขอเพียงอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครหนีพ้น แม้แต่ท่านโหว แม่ทัพ และขุนนางใหญ่ที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ก็กลายเป็นขนมหวานของจินเฟยเหยาหมดเนื่องจากส่วนมากมีพลังบำเพ็ญเพียร
หลังจากกินอิ่ม จินเฟยเหยาก็สะบัดก้นทิ้งเมืองที่ถูกทำลายภายในวันเดียวไว้ไปหาสถานที่ทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง
นางซ่อนตัวคราหนึ่งเป็นเวลาสามปี ค่อยๆ ดูดซับหยวนอิงที่กินลงไปเหมือนวัวและม้า กินจินตันและหยวนอิงมากมายขนาดนี้ลงไปกะทันหันร่างมนุษย์รับไม่ไหว จินเฟยเหยาได้แต่ค่อยๆ ดูดซับ ใช้เวลาสามปีเต็มๆ จึงดูดซับหมด ส่วนพลังการบำเพ็ญเพียรก็เลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง
หลังบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง ขณะย่อยหยวนอิงไม่กี่อันที่เหลือนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรไม่ได้ การกินคนไม่ได้ผลแล้ว!
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างยิ่ง ตอนแรกคืออาหารเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่จินตันและหยวนอิงก็ใช้ไม่ได้ หรือว่าต่อไปได้แต่ดูดซับปราณแห่งฟ้าดินช้าๆ แล้วจะเลื่อนจากขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเข้าสู่ขั้นแปลงจิตได้เมื่อใด
“ตานศักดิ์สิทธิ์! หรือว่าตอนนี้กินได้เพียงสิ่งนี้?” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว ยาที่ผู้บำเพ็ญเซียนใช้เพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรใช้กับนางไม่ได้ผล ดังนั้นหลังจากนางใช้การรับรู้กวาดดูยาในห้องเก็บของในวังหลวงในวันนั้นก็ไม่มีความคิดจะนำไป
ยาเหล่านั้นล้วนเป็นยาก่อนเลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ ถึงแม้นำไปที่อื่นอาจจะแลกเป็นศิลาวิญญาณได้ แต่ขายลำบาก อีกทั้งยาที่มีปริมาณมากที่สุดเป็นยาของขั้นฝึกปราณและสร้างฐาน ทิ้งไว้ให้พวกเราชันภูติดีกว่า ข้อหนึ่งคือจะได้เป็นน้ำใจ ข้อสองคือต่อไปถึงราชันภูติค้นพบแผนภาพบนแผ่นหลังจะได้เห็นแก่สิ่งของเหล่านี้ไม่กล้าหาเรื่องตนเอง
คิดถึงภาพวังวสันต์บนแผ่นหลังราชันภูติ จินเฟยเหยาก็รู้สึกหมดวาจา
คาถาซับซ้อนยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงใช้สิ่งเรียนรู้จากปู้จื้อโหยววาดลงบนแผ่นหลัง ใช้หมึกยันต์วาดตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ทดลองกำจัดคาถา ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง วาดคาถาลงบนนั้นหลายสิบคาถา สุดท้ายจะกลายเป็นภาพวังวสันต์ของบุรุษสามคน อีกทั้งหลังจากใช้หมึกยันต์วาดเป็นคาถาบนแผ่นหลังก็ลบไม่ได้ นอกเสียจากจะกำจัดคาถาทีละบท
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าคาถาบทไหนได้ผล บางทีอาจเป็นคาถาหลายบท ถ้ากำจัดคาถาสุ่มสี่สุ่มห้า ราชันภูติจะถูกยับยั้งปราณมารอีก อีกอย่างจินเฟยเหยาเกียจคร้านแทบตาย นางไม่ยอมเสียเวลาหลายปีลบแล้วทดลองทีละบทบนหลังราชันภูติว่าบทใดจึงถูกต้อง
ถึงราชันภูติจะมีเวลา แต่นางไม่มีอารมณ์ทำ
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้มีพระคุณของเขา ปัญหาเล็กน้อยแบบนี้ราชันภูติคงไม่ใส่ใจ” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ ไม่ไปคิดถึงเรื่องบนแผ่นหลังราชันภูติอีก
ตอนนี้เลื่อนเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางแล้วก็สามารถไปจากถ้ำโทรมๆ แห่งนี้ได้ ไปโลกวิญญาณอื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
พั่งจื่อนั่งอยู่ด้านข้าง เอียงหัวมาบอกเสี่ยวหวั่นที่พัวพันมันขอออกไปเล่นข้างนอก “อ๊บๆ”
“ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ ท่านลุงกบกำลังพูดว่าอะไร?” เสี่ยวหวั่นส่ายศีรษะมีสีหน้าสงสัย
พั่งจื่อได้แต่ล้วงป้ายออกมาอันหนึ่ง แล้วเขียนบนป้าย ส่วนเสี่ยวหวั่นเอียงศีรษะมองพลางครุ่นคิด “ต่อให้เจ้าหมอนั่นพูดแบบนั้น วาดของพรรค์นั้นบนหลังผู้อื่นต้องถูกเคียดแค้นแน่ ตอนนี้ไม่มีทางแก้ไขจึงตัดสินใจแกล้งโง่”
“พั่งจื่อ! เจ้าพอสักทีได้หรือไม่ ยังมีหน้ามาพูดอีก หากมิใช่เจ้ามือว่างแต้มลงไปหลายขีด คงไม่มีตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดหรอก!” จินเฟยเหยาเบ้ปากด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี
ตอนนั้นหลังจากนางวาดเสร็จพบว่าเหมือนบุรุษสามคนจริงๆ อีกทั้งความเคลื่อนไหวยังน่าเกลียด ทว่าไม่มีตำแหน่งสำคัญ พั่งจื่อฉวยโอกาสที่จินเฟยเหยาแอบเกียจคร้านยกพู่กันขึ้นวาดลงบนแผ่นหลังราชันภูติ ไม่รู้ว่ามันจงใจหรือไม่ หลังจากมันวาดภาพนั้นก็กลายเป็นภาพวังวสันต์อย่างแท้จริง
ตอนนั้นราชันภูติกำลังนั่งเข้าฌานและหันหลังให้พวกนางตลอด ดูดซับยาที่กินลงไปทำการรักษาบาดแผล ไม่ได้สังเกตว่าคนกำจัดคาถาด้านหลังเปลี่ยนไป พูดไปพูดมา ตัวการสำคัญของเรื่องนี้คือพั่งจื่อ ตอนนี้มันยังมีหน้ามาพูดอีก จินเฟยเหยามีโทสะจนใช้ก้อนหินปาใส่ พั่งจื่อหลบก้อนหินอย่างว่องไวแล้วแบกเสี่ยวหวั่นวิ่งออกไป ทิ้งจินเฟยเหยาที่มีโทสะอัดแน่นให้อยู่ในถ้ำคนเดียว
“ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว ฮึ!” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเดือดดาลแล้วนั่งลงอีกครั้ง ล้วงกล่องเล็กๆ ที่ได้จากห้องเก็บของในวังหลวงออกมา
นี่เป็นกล่องขนาดเท่าฝ่ามือใช้ไม้วิญญาณสร้างขึ้น ตอนนั้นการรับรู้ของนางกวาดไป มีความรู้สึกชากะทันหัน นางไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงหยิบเพียงกล่องใบนี้กลับมา
ไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ จินเฟยเหยาใช้พลังวิญญาณคุ้มครองทั่วร่าง แล้วค่อยเปิดกล่องที่ถูกผนึกอย่างเรียบง่ายออกช้าๆ กล่องถูกเปิดออกด้านในเผยให้เห็นกิ่งไม้ขนาดเท่านิ้วมือ
กิ่งไม้เล็กๆ ขนาดหยาบเท่านิ้วหัวแม่มือชิ้นนี้ ดูแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่มีส่วนใดผิดปกติ ขณะที่นางกำลังสงสัย กิ่งไม้พลันส่งเสียงดังชี่ สายฟ้าสีขาวสว่างวาบผ่านบนกิ่งไม้
จินเฟยเหยาตะลึง “วัตถุดิบธาตุสายฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีขนาดนี้”
นางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าล้วนเก็บรวบรวมวัตถุดิบที่มีธาตุสายฟ้า ดูเหมือนจะมีประโยชน์หลังจากขั้นผสานร่าง ที่แท้มีประโยชน์อะไรกลับไม่มีคนบอกอย่างละเอียด ถึงอย่างไรสิ่งของประเภทนี้มีมูลค่ามากก็พอ เพียงแต่มีขนาดยาวเพียงนิ้วมือ นำมาหลอมอาวุธก็น้อยไปหน่อยเก็บไว้ก่อนชั่วคราวดีกว่า
ขั้นผสานร่าง…
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ แม้แต่ขั้นแปลงจิตก็ยังเป็นเป้าหมายอันแสนไกล ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขั้นผสานร่าง นำไม้สายฟ้าชิ้นเล็กๆ นี้ไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของอื่นอย่างพวกหนังสุกรผีเสื้อหยกดีกว่า ทำร่างหวาหวั่นซีให้เสร็จเร็วหน่อยจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นางเคยใช้กระจกสภาพโลกวิญญาณดูเส้นทางออกจากโลกวิญญาณเทียนตี้แล้ว เส้นทางซึ่งราชันภูติเอ่ยถึงสายนั้นมีเพียงเต่าทลายคลื่นที่รู้จัก กระจกสภาพโลกวิญญาณมีเพียงจุดสีแดงแห่งหนึ่งที่จุดเริ่มต้น พอออกจากน่านน้ำผืนนั้นก็ไม่มีสัญลักษณ์อื่นๆ อีก ท่าทางต้องเดินทางในทะเล
ผู้บำเพ็ญเซียนที่หลอมสร้างกระจกสภาพโลกวิญญาณเหาะขึ้นสวรรค์ไปนานแล้ว อาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรในยามนั้นสามารถทำสัญลักษณ์จุดสีแดงที่ใช้เข้าออกได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ถ้าคิดจะเขียนเส้นทางที่ปลอดภัยทั้งหมดออกมา นั่นถือเป็นเรื่องเพ้อฝัน เขาไม่ใช่คนเลี้ยงม้าเสียหน่อยจะได้ป้อนให้หมดทุกอย่าง
ผ่านไปหลายวัน จินเฟยเหยาเก็บสัมภาระเดินทางเดินออกจากถ้ำที่อาศัยชั่วคราวมาสามปี คิดจะออกเดินทางไปดูยังสถานที่ริมทะเลว่าจะสามารถหาเต่าทลายคลื่นออกไปจากโลกวิญญาณเทียนตี้ได้หรือไม่
โลกวิญญาณเทียนตี้ในเวลานี้ไม่ใช่สถานที่ให้คนอาศัยอยู่จริงๆ เผ่ามารได้สิ่งของในห้องเก็บของวังหลวงไปก็แข็งแกร่งขึ้นมาก บวกกับความวุ่นวายเมื่อสามปีก่อนทำให้เชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจบาดเจ็บล้มตายไปเจ็ดแปดส่วน ศูนย์กลางอำนาจว่างเปล่า บรรดาขุนนางและองค์ชายที่ยังมีชีวิตอยู่แย่งชิงบัลลังก์กันจึงเลือกฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ ขั้นตอนนี้มีเชื้อพระวงศ์หลายคนถูกพวกเดียวกันสังหาร
มีคนเป็นฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ก็ให้คนที่สนับสนุนเขารับตำแหน่งขุนนางทันที ดูเหมือนอาณาจักรจะมั่นคงอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น การต่อสู้ของเผ่ามารและเผ่ามนุษย์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้
เนื่องจากเรื่องในอดีต ทาสเผ่ามารจำนวนไม่น้อยจึงถูกเผ่ามนุษย์สังหารระบายโทสะ โดยเฉพาะชนชั้นสูงที่สูญเสียญาติไปกระทำมากที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง วันนั้นมีทาสเผ่ามารเรือนหมื่นถูกสังหารเพื่อเซ่นสังเวยให้กับฮูหยินของคนในราชวงศ์บางคนที่ถูกสังหารในเมืองหลวง
ส่วนทาสเผ่ามารก็เริ่มก่อกบฏและหนีตายไปเข้าร่วมกับกองทัพกบฏ สงครามเริ่มต้นขึ้น ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นการเผชิญหน้าอย่างเหนือความคาดหมาย เผ่ามารไม่ปล่อยให้คนเชือดเฉือนเป็นลูกแกะอีกต่อไป สงครามที่สองฝ่ายแข็งแกร่งสูสีกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะประนีประนอม มีเพียงอีกฝ่ายดับสูญจึงหยุดลง
ทั่วทั้งโลกวิญญาณเทียนตี้มีโลหิตหลั่งไหลเป็นสายธารและซากศพอยู่ทั่วทุกหัวระแหงราวกับนรกบนดิน
เบื้องหน้าจินเฟยเหยาคือสนามรบที่เพิ่งสิ้นสุดลงไม่นาน ซากศพของทหารเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเกือบหมื่นกองอยู่บนทุ่งหญ้าผืนนี้ โลหิตจับตัวแข็งแล้ว กลุ่มสัตว์ปิศาจกินซากที่บินก็บิน ที่วิ่งก็วิ่ง ค้นหาส่วนที่ชอบกินบนกองซากศพนี้
ทันใดนั้น ในกองซากศพมีเสียงกระดิ่งแหลมใสดังมาจากทุ่งซากศพ จินเฟยเหยาอดมองไปยังสถานที่ซึ่งมีเสียงกระดิ่งดังมาไม่ได้
มีคนถือร่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นไกลๆ กำลังเดินมาหานางอย่างเอื่อยเฉื่อย ผอมบางและงดงามราวกับผีเสื้อ ร่มสีขาวชุดสีขาว มีกระดิ่งมือสีขาวสลับดำพวงหนึ่งห้อยอยู่บนฝ่ามือขวา เสียงกระดิ่งแหลมใสดังขึ้นตามการย่างก้าว
…………………………………………