คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 342 สวัสดี พบกันอีกแล้ว
คนเดินเข้ามาใกล้ทุกที ครู่หนึ่งก็เดินมาถึงเบื้องหน้า คนผู้นั้นหยุดฝีเท้ายืนห่างออกไปห้าก้าว ดวงตาของจินเ เฟยเหยามองดูรองเท้าผ้าสีขาวของเขา เดินอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเนื้อเน่าเปื่อยและคราบโลหิต กลับยังมีสีขาวหิม มะราวกับของใหม่ ไม่เปื้อนคราบสกปรกเลยสักนิด
คนผู้นี้ถือร่ม เปิดเผยใบหน้าที่ทำให้คนประหลาดใจออกมา
นั่นเป็นใบหน้าขาวซีดเหมือนอ่อนแอ เส้นผมยาวสีขาวใช้ปิ่นไม้สีดำเกล้าผมเสียบไว้ตามใจชอบ ดวงตาของเขาข้างหนึ่ง งสีเทาข้างหนึ่งสีดำ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนัยน์ตาหยินหยาง
เขาหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม หางตาชี้ขึ้นนิดๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยนใจดี พยักหน้าให้จินเฟยเหยาเบาๆ “เอ๋ เทาเ เที่ย? สวัสดี พบกันอีกแล้ว”
พยักหน้าทักทายตามมารยาทเสร็จ เขาก็กางร่มเดินต่อ
นี่มันเรื่องอะไรกัน! จินเฟยเหยามองเขาอย่างตะลึงงัน ไม่รู้จักนะ เหตุใดจึงทักทายราวกับคนคุ้นเคย อีกทั้งแค่พ พยักหน้าให้แล้วจากไป ในเมื่อรู้จักก็ต้องพูดหลายประโยคหน่อยมิใช่หรือ!
“อา สหายเซียนโปรดหยุดก่อน” จินเฟยเหยารีบวิ่งตามไปแล้วตะโกนเรียกเขา
บุรุษผู้นั้นหันหน้ามาเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีธุระอะไรกับข้า?”
จินเฟยเหยาถูไม้ถูมือ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “สหายเซียน เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
“รู้จัก พวกเราเคยมีวาสนาพบหน้ากันครั้งหนึ่ง” บุรุษผู้นั้นพยักหน้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่! จินเฟยเหยาขมวดคิ้วนึกถึงคนที่รู้จักรอบหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอคนผู้นี้เมื่อ อใด หน้าตามีเอกลักษณ์ขนาดนี้ถึงคิดจะลืมก็ลืมไม่ลง เหตุใดจึงจำไม่ได้เลยสักนิด
“ถ้าสหายเซียนจินไม่มีธุระอะไร ข้าไปก่อนนะ” บุรุษผู้นั้นยืนอยู่ครู่หนึ่งเห็นนางคิดอยู่นานก็นึกไม่ออกจึงเอ่ ยด้วยรอยยิ้ม
“อย่าสิ เจ้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้าเป็นใครกันแน่” พอจินเฟยเหยาได้ยินก็ไม่ยอม คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอคนรู้จักตนเ เองในโลกวิญญาณเทียนตี้ ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครจะปล่อยให้เขาไปได้อย่างไร
บุรุษผู้นั้นส่ายศีรษะเอ่ยยิ้มๆ “ข้ายังมีธุระต้องทำ ไม่รบกวนสหายเซียนจินแล้ว”
จินเฟยเหยาเห็นเขาคิดจะไปจึงเดินไปข้างกายเขาและทำหน้าหนาเอ่ยว่า “ข้าว่างไม่มีอะไรทำพอดี สหายเซียนไปจัดการ รธุระเถอะ ข้าเดินทางไปกับเจ้าด้วยก็พอ”
บุรุษผู้นั้นมองนางราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นเอ่ยอย่างเกรงใจ “ธุระของข้าไม่ค่อยมีอะไรมาก ถ้าสหายเซียนจินอย ยากร่วมทางจะได้เป็นเพื่อนกันพอดี”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ ทำหน้าหนาเดินไปพร้อมกับคนผู้นี้
จินเฟยเหยาคิดจะติดตามเขาไป นอกจากสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นใครแล้วยังอยากรู้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร หากไม่ได ด้สังหารเชื้อพระวงศ์ ต้องมาเส้นทางน้ำแน่นอน นางคิดจะตีสนิทเขายืมเต่าทลายคลื่นออกไปจากที่นี่
“คราวที่แล้วจากกันคราหนึ่งหลายสิบปี คิดไม่ถึงว่าจะได้พบสหายเซียนจินที่นี่ ยังร่าเริงมีอิสระเหมือนเดิม” น้ำเ เสียงของบุรุษกางร่มนุ่มนวล ฟังแล้วทำให้คนสบายใจ
“หลายสิบปี?” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นครุ่นคิด “พวกเรารู้จักกันที่โลกวิญญาณซิงหลัวหรือ? สามารถบอกชื่อของสหายเซี ยนได้หรือไม่ ดูความทรงจำของข้าสิ นึกไม่ออกจริงๆ”
“ตอนนั้นสหายเซียนจินจากไปอย่างรีบร้อน ข้าไม่ทันได้บอกชื่อ เจ้าไม่ต้องใส่ใจ” บุรุษผู้นั้นเอ่ยเรียบๆ
ข้าจะไม่ใส่ใจได้หรือ! จินเฟยเหยาคิดจะไม่ใส่ใจก็ไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อถึงกับรู้ว่าตนเองเป็นเทาเที่ ย ทั้งยังมองพลังการบำเพ็ญเพียรไม่ออก ไม่ใช่พลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งจนมองไม่ออกทว่าดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามีพลัง งการบำเพ็ญเพียร
แต่แค่มองเขาแวบเดียวก็จะรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะ ะไรจึงซ่อนพลังบำเพ็ญเพียรทั่วร่างได้ สิ่งที่ยิ่งทำให้จินเฟยเหยาไม่สบายใจคือบนร่างเขาไม่มีกลิ่นใดๆ เลย ขนา าดกลิ่นเนื้อยังไม่มี ราวกับสิ่งที่เดินอยู่ไม่ใช่คนมีชีวิตทว่าเป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่ง
เห็นท่าทางกังวลใจของจินเฟยเหยา บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าน่าขำ “ข้าชื่ออินเยวี่ย”
“อินเยวี่ย?” จินเฟยเหยาครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ
จากนั้นได้ยินอินเยวี่ยพูดอีกว่า “พวกเราเคยพบหน้าที่คฤหาสน์อินในโลกวิญญาณหนานเฟิง ข้าคือเจ้าบ้านคฤหาสน์อิน น”
“อา เจ้านั่นเอง!” จินเฟยเหยาพลันมีปฏิกิริยา นางร้องลั่นใช้มือคว้าคอเสื้ออินเยวี่ยและกระชากทันที
ร่มในมืออินเยวี่ยเอียงกระเท่เร่ ใบหน้าของเขาถูกแสงอาทิตย์ที่ร่มบดบังไว้สาดส่อง เขาหรี่ตาชูร่มกลับมาเหมือน นเดิมและบดบังตัวเขาและจินเฟยเหยาไว้ใต้ร่ม
“ทำไม!” จินเฟยเหยาด่าทออย่างดุร้าย
“ข้าเกลียดแสงแดด กลัวความร้อน” อินเยวี่ยมองจินเฟยเหยาที่เพลิงโทสะพวยพุ่งด้วยสีหน้าชืดชา
“เกลียดแสงแดด?” จินเฟยเหยาตะลึงงันแล้วหัวเราะหึๆ จากนั้นใช้มือดึงร่มของเขา ปากยังตะโกนอย่างยินดีในคราเคร ราะห์ของผู้อื่น “ข้าจะให้คนสารเลวอย่างเจ้าตากแดดให้ตาย ใครใช้ให้เจ้าละโมบศิลาวิญญาณของข้า”
“คืนร่มให้ข้า ที่นี่ร้อนมาก!”
“ไม่คืน ข้าจะให้หน้าขาวๆ ของเจ้าตากแดดจนกลายเป็นหน้าดำๆ”
“อย่าอาละวาดสิ”
คนทั้งสองฉุดดึงกันอยู่บนกองซากศพ จนกระทั่งจินเฟยเหยาดีใจจนเหลิงเหยียบลงบนซากศพศพหนึ่ง ล้มหน้ากระแทกบน นพื้น ร่มในมือลอยออกไปการโต้เถียงครั้งนี้จึงหยุดลง
อินเยวี่ยเก็บร่มขึ้นมากางใหม่จากนั้นเอ่ยยิ้มๆ “การแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเราสองคนเจ้าเป็นคนยินยอมเอง ตอนนี้ก กลับมาพัวพันข้าไม่เหมือนการกระทำของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ นี่ให้เจ้า ถือว่าข้าชดเชย” ระหว่างที่เอ่ยใน นมือของเขาก็มีขวดแก้วใบหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วโยนมาให้
จินเฟยเหยารับมาดู เป็นมุกกลมโปร่งใสเต็มขวด นางมองแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “นี่คือสิ่งใด กินได้หรือไม่?”
“ผลน้ำค้างแข็ง ข้าเด็ดมาจากหลังภูเขาที่สำนัก ให้เจ้าลองชิมความสดใหม่” อินเยวี่ยหรี่ตาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“เด็ดมาจากหลังภูเขา พอฟังก็รู้ว่าเป็นผลไม้ป่าริมทาง ต้องไม่อร่อยแน่” จินเฟยเหยาเปิดขวดแก้ว ไอเย็นลอยออ อกมา พอผลน้ำค้างแข็งร่วงลงในมือก็มีความรู้สึกเหมือนมุกน้ำแข็งร่วงลงบนฝ่ามือทันที
อินเยวี่ยก็นำออกมาอีกขวดและเทใส่ปากอย่างสง่างาม “ข้ากลัวร้อน ดังนั้นจึงชอบพกผลน้ำค้างแข็งเดินไปกินไป เจ้า าชอบกินอาหารมิใช่หรือ พอดีแบ่งให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
จินเฟยเหยาจ้องมองแล้วโยนใส่ปากหนึ่งเม็ด รสเย็นถูกปากจริงๆ ทั้งยังเปรี้ยวอมหวาน เพียงแต่เนื้อสัมผัสแข็งกระ ะด้างเกินไปราวกับกินก้อนน้ำแข็ง
จินเฟยเหยาให้พั่งจื่อกินหนึ่งเม็ด นางอมผลน้ำค้างแข็งเอ่ยเสียงอู้อี้ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? เหตุใดเสียงขอ องเจ้าจึงไม่เหมือนตอนอยู่ในคฤหาสน์อิน แม้แต่พลังการบำเพ็ญเพียรก็ดูไม่ออก”
“น้ำเสียงสามารถปลอมแปลงได้ พลังบำเพ็ญเพียรก็เช่นเดียวกัน” อินเยวี่ยไม่ได้ตอบเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรโดยตรง ทว่า ากลับเอ่ยอย่างอ่อนโยนสนิทสนม “ถ้าข้าบอกว่าข้ามาหาเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
“ไม่เชื่อหรอก คุยโวให้ใครฟังกัน พวกเราไม่ได้เป็นญาติหรือสหายกันเสียหน่อย ในอดีตไร้ความเคียดแค้น วันหน้าไร้ ความขุ่นเคือง เจ้าจะมาหาข้าทำไม” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ คนโง่งมจึงเชื่อคำพูดเช ช่นนี้
อินเยวี่ยยิ้ม “ข้าเปิดร้านค้ามิใช่หรือ? ได้ยินว่าที่นี่เกิดการสู้รบ ดังนั้นข้าจึงมาซื้อสินค้า คิดไม่ถึงว่าจ จะได้พบสหายเซียนจิน”
“ซื้อสินค้า? สถานที่ยากจนแบบนี้จะมีสินค้าอะไรให้ซื้อ ถ้าเจ้าสะดวกบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ เจ้าเคยพบข้าก่อนเจอ กันที่คฤหาสน์อินเยวี่ยหรือไม่ ถ้าไม่เคยพบ เหตุใดเจ้าจึงรู้จักชื่อของข้าและรู้เรื่องเทาเที่ย” จินเฟยเหยากะพร ริบตาเอ่ยถาม
อินเยวี่ยยิ้มและเริ่มเล่า ที่แท้เขามาเก็บวิญญาณ ที่นี่เกิดการสู้รบ คนที่ตายมีจำนวนมาก เหมาะจะเก็บวิญญาณที สุด เขารักทรัพย์สินเงินทองเป็นชีวิตจิตใจจะปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ไปได้อย่างไร ย่อมต้องพกกระดิ่งเก็บวิญญาณมา
สร้อยข้อมือที่มีกระดิ่งเล็กๆ แขวนเต็มไปหมดบนฝ่ามือคือกระดิ่งเก็บวิญญาณ จินเฟยเหยานึกว่าดังตอนย่างก้าว ที่แ แท้ถึงไม่ขยับ กระดิ่งก็สั่นเองอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัญหาที่เหตุใดอินเยวี่ยจึงรู้จักชื่อของจินเฟยเหยาและรู้ว่านางเป็นร่างเทาเที่ย อินเยวี่ยเพียงยิ้ม น้อยๆ ชี้ไปที่ดวงตาของตนเองและไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
จินเฟยเหยารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว บอกมาตรงๆ ว่าดวงตาหยินหยางมีความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ พูดถึงตอนสำคัญยังหยุดทำท่าลึกลับให้คนร้อนใจอีก
นางแค่เคยได้ยินว่าดวงตาหยินหยางลึกลับเป็นพิเศษจนทำให้คนไม่อยากจะเชื่อ ว่ากันว่าคนที่มีดวงตาหยินหยางสามา ารถมองเห็นถึงความเป็นความตายของคนได้ทั้งยังมีโชคดีและลาภยศชั่วชีวิต นี่เป็นเรื่องที่จินเฟยเหยาได้ยินจากคนธ ธรรมดาในจวนสมัยเด็กๆ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนล้วนฝืนลิขิตฟ้าฝึกบำเพ็ญเพื่อให้มีอายุยืนยาว มองทะลุความเป็นความตายแ และมีโชคดีอะไรกันน่าขำจริงๆ
แต่ตอนนี้เห็นดวงตาคู่นั้นของอินเยวี่ย นางก็รู้สึกลังเลอยู่บ้าง หรือว่าดวงตาหยินหยางสามารถมองทะลุเรื่อง เหล่านี้ได้จริงๆ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงถูมือเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าสหายเซียนอินจะช่วยดูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ว่าข้าจะอยู่ได้นานเพียงใดและเมื่อใดจะร่ำรวย ข้ารู้สึกว่าข้ายากจนอย่างยิ่ง”
อินเยวี่ยตะลึงงันและยิ้มแย้มทันที “สหายเซียนจิน ข้าไม่ใช่หมอดูสักหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะร่ำรวยเมื่อใด ถ้าข้ารู้ ข้ายังต้องเปิดร้านหาศิลาวิญญาณทุกวันหรือ? สำหรับอายุขัยของสหายเซียนจิน เจ้ารู้กระจ่างกว่าข้าอี ก”
“ที่ข้าถามคือข้าจะได้เลื่อนเป็นขั้นแปลงจิต ขั้นผสานร่าง และขั้นสู่สวรรค์ได้หรือไม่ ข้ารู้อายุขัยในตอนนี้ ดี” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ ตนเองมีอายุขัยมากกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เผ่ามนุษย์ธรรมดาห้าร้อยปี หากม มิใช่เจ้าโง่พวกนั้นแทงซูโม่โม่ตาย ยังมีอายุขัยเพิ่มอีกสี่พันปี
อินเยวี่ยมองจินเฟยเหยาอย่างมีเมตตา “สหายเซียนจิน เจ้าจะเลื่อนขั้นได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ตัวเจ้าเอง ข้าดูเร รื่องพวกนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างไรสหายเซียนจินก็ครุ่นคิดเอาเอง ข้ายังมีธุระต้องขอตัวก่อน”
“มีคนตายมากมาย เจ้ามาเก็บวิญญาณมิใช่หรือ เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าได้” จินเฟยเหยาไม่ขัดเขินเลยสักนิด ยังมองเขาอย ย่างไม่ยอมหลีกทางให้ดังเดิม
อินเยวี่ยพูดอย่างชัดเจนขนาดนี้จินเฟยเหยายังพัวพันเขา ทำให้คนอดสงสัยว่านางมีเรื่องอะไรหรือไม่ ดังนั้นอิน นเยวี่ยจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “สหายเซียนจิน เจ้ามีเรื่องอะไรอยากให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ เจ้าก็ว่ามาเถอะ”
จินเฟยเหยามองอินเยวี่ยด้วยสองตาเป็นประกาย “สหายเซียนอิน ข้าจะพูดตรงๆ นะ เจ้าใช้สิ่งใดเดินทางมาโลกวิญญาณเที ยนตี้?”
“อ้อ เจ้าถามถึงเรื่องนี้ หรือคิดจะหยิบยืมเส้นทางที่ข้ามาไปจากโลกวิญญาณเทียนตี้” อินเยวี่ยเข้าใจความคิดของนา างทันที มิน่าเล่าจึงพัวพันไม่ยอมจากไปมาตลอด
“อืม ใช่”
“อืม…” อินเยวี่ยครุ่นคิดอย่างลังเลและสอบถามนางว่า “สหายเซียนจินอยากไปโลกวิญญาณซั่งเยี่ยหรือโลกวิญญาณน้ำพ พุเหลือง? พวกมันเป็นโลกวิญญาณสองใบที่อยู่ใกล้ที่สุด”
“ไม่ไปโลกวิญญาณซั่งเยี่ย” พอได้ยินว่าสถานที่ที่ใกล้ที่สุดคือโลกวิญญาณซั่งเยี่ย จินเฟยเหยาก็ส่ายศีรษะอย่าง งรวดเร็ว รังเก่าของเหรินเซวียนจืออยู่ที่นั่น นางไม่อยากไป “สหายเซียนอินจะไปซื้อสินค้าที่โลกวิญญาณใด โลกวิ ญญาณน้ำพุเหลืองหรือ?”
“ข้าจะไปโลกวิญญาณโหยวอวิ๋น หนทางไกลหน่อย ไม่ทราบว่าทางเดียวกันหรือไม่” อินเยวี่ยเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
โลกวิญญาณโหยวอวิ๋น? นั่นเป็นแหล่งกำเนิดของหนังสุกรผีเสื้อหยกมิใช่หรือ จะได้ไปเอาหนังให้หวาหวั่นซีพอดี คิด ดถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยารีบพยักหน้าตอบรับ “ข้าไป ข้ากำลังคิดจะไปโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นพอดี”