คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 343 เงียบเชียบ
ขอเพียงมีสถานที่สู้รบในโลกวิญญาณเทียนตี้จะมีเงาร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏขึ้น สตรียืนกินอะไรบางอย่าง งอยู่ท่ามกลางกองซากศพ ส่วนบุรุษกลับยืนกางร่มสีขาวยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพด้วยสีหน้าอ่อนโยน เสียงกระดิ่งแหลม มใสดังไม่หยุด ขับขานเสียงเพลงเรียกวิญญาณชนิดอื่น
มีหลายครั้งที่คนทั้งสองเฝ้ามองดูสนามรบอยู่บนยอดเขาไกลๆ รอให้คนตายแล้วค่อยไปเก็บวิญญาณตอนเลิกรบ
การปรากฏตัวขึ้นราวกับชมดูละครเช่นนี้ บวกกับจินเฟยเหยามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลาง ตอนแรกก็ ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจ นึกว่านี่เป็นทัพหนุนของอีกฝ่ายจึงต่อสู้กันอย่างหวาดกลัว ต่อมาพอเวลานานไปก็รู้ ว่าสองคนนี้แค่มาชมดูเรื่องสนุกเท่านั้น
ระหว่างนั้นมีสองครั้งที่จินเฟยเหยาได้เจอราชันภูติ เจ้าหมอนี่สีหน้าเขียวคล้ำ หลังจากเห็นนางยังวิ่งเข้ามาห หาอย่างบ้าคลั่งไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร แต่จินเฟยเหยาไม่มอบโอกาสให้เขาฉุดลากอินเยวี่ยวิ่งหนีไป ราชันภูติจนหน นทางทั้งยังทิ้งคนเผ่ามารที่กำลังเข่นฆ่าไว้แล้วไล่ตามนางไปไม่ได้ ได้แต่เบิกตามองดูจินเฟยเหยาหลบหนีไปภายใต ต้หนังตาของตนเองอย่างเบิกบาน
“สหายเซียนอิน เจ้ายังจะเก็บอีกมากเพียงใด ข้าติดตามเจ้าอยู่ในโลกวิญญาณเทียนตี้มาสองปีแล้วนะ” จินเฟยเหยายื นอยู่บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่ง เท้าสะเอวเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ
ในระหว่างสองปีนี้ นางติดตามอินเยวี่ยร่อนเร่ไปทั่ว ที่ใดมีคนตายที่นั่นย่อมมีเงาร่างของพวกเขา บางครั้งจินเฟย เหยาก็รู้สึกว่าถ้าตนเองไปหาเต่าทลายคลื่นเกรงว่าคงได้ไปโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นนานแล้ว ไม่ต้องลากถ่วงเวลานานข ขนาดนี้
อินเยวี่ยกางร่มมองดูนาง เล่นสนุกอย่างเบิกบานใจชัดๆ ยังพูดว่าลากถ่วงเวลามานานขนาดนี้
“ตามที่ได้ยินมาภายในคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งของท่านอ๋องเบื้องหน้า ปลูกดอกลั่วเสีย หลังนำกลีบดอกไปตากแดดให้แห้ง สามารถต้มน้ำดื่มได้ นอกจากบำรุงรูปโฉมแล้วกลิ่นหอมยังอบอวลอยู่สามวันไม่จางหายไป” อินเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองคฤหา าสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งที่ถูกต้นไม้กิ่งก้านเขียวชอุ่มบดบังไปกว่าครึ่งบนยอดเขา
จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก “ชาดอกไม้อะไรกัน ข้าไม่สนใจสิ่งนี้หรอก ถ้าเจ้าคิดจะเด็ด เจ้าก็ลงมือเอง เพื่อกลีบ บดอกไม้เล็กน้อยก็ต้องฆ่าคน เรื่องแบบนี้ข้าทำไม่ลง”
อินเยวี่ยมองนางแล้วหัวเราะ “ไม่รู้ว่าใครกันนะ สังหารคนไปเกือบร้อยเพื่อสุกรลายจุดไม่กี่ตัว”
“เนื้อกับกลีบดอกไม้จะเอามาเปรียบกันได้อย่างไร ถึงเอาไปขายในตลาด เนื้อสุกรต้องขายได้ราคาแพงกว่าแน่” จินเฟย ยเหยาโต้เถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“กลีบดอกลั่วเสียหนึ่งตำลึง[1]ราคาสามสิบศิลาวิญญาณชั้นบน สุกรลายจุดหนึ่งตัวขนาดร้อยชั่ง ตัวหนึ่งขายได้หนึ่ งร้อยศิลาวิญญาณชั้นกลาง ราคาที่โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นยุติธรรมที่สุด ดังนั้นเนื้อมีราคาสู้ดอกไม้ไม่ได้” อินเยวี ยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มตาหยี
“น่าหงุดหงิดจริงๆ” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง อินเยวี่ยผู้นี้เอ่ยถึงศิลาวิญญาณทั้งวัน ไม่รู้ว่ายาก จนถึงเพียงใดจึงรักเงินทองถึงขั้นนี้ นอกจากเก็บวิญญาณแล้ว หญ้าวิญญาณ ผลไม้วิญญาณ แม้แต่รากไม้ที่ขายได้ศิลาว วิญญาณในโลกวิญญาณเทียนตี้ก็แทบจะเก็บไปหมด วางแผนจนถึงขั้นคิดยิบย่อย ไม่สิ้นเปลืองสิ่งใดเลย ขาดเพียงฝานผิว วดินโลกวิญญาณเทียนตี้สามชุ่นแล้วนำไปเท่านั้น
หันกลับมามองจินเฟยเหยา นอกจากทำลายและกิน ถ้าไม่ใช่สิ่งของที่มีราคาแพงเป็นพิเศษ นางก็ไม่คิดจะเอาไปขาย แต่ละค ครั้งที่เห็นอินเยวี่ยเอาสิ่งของนำกลับไปขาย นางก็บอกว่าเนื่องจากเขาเปิดร้านจึงจัดการสิ่งของเหล่านี้ได้สะดวก กกว่า ตนเองไม่มีร้านขายสิ่งของเหล่านี้ยุ่งยากเกินไปมาอธิบายสาเหตุที่ตนเองสิ้นเปลือง
“รอตากแดดแห้งแล้ว ข้าจะชงให้เจ้าดื่มถ้วยหนึ่ง” ถึงอินเยวี่ยจะละโมบสมบัติ แต่กลับใจกว้างเกินคาด ตลอดทางให้จิน นเฟยเหยากินอาหารแปลกประหลาดหายากจำนวนไม่น้อย
ได้ยินว่ามีอาหารพร้อมทาน จินเฟยเหยาก็หัวเราะหึๆ โยนความไม่พอใจทิ้งไปและติดตามเขาขึ้นไปบนยอดเขาอย่างร่าเริ ง
การสู้รบวุ่นวายในหลายปีนี้ทำให้เผ่ามนุษย์ของโลกวิญญาณเทียนตี้จิตใจตึงเครียด เห็นคนสองคนเดินขึ้นเส้นทางภ ภูเขาก็หวาดกลัวจนปิดประตูคฤหาสน์ องครักษ์ที่เลี้ยงไว้ในจวนก็วิ่งออกมา เห็นคนทั้งสองเดินขึ้นมาจากบนบันไดศ ศิลาก็ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านข้างอินเยวี่ยมองเห็นประตูใหญ่ของคฤหาสน์แต่ไกล ตรงประตูใหญ่ยังมีองครักษ์ที่มีพลัง การบำเพ็ญเพียรหลายสิบคน
ทันใดนั้น พั่งจื่อก็ร้องอ๊บ จินเฟยเหยากระโดดถอยหลัง กลิ้งตัวลงบนบันไดศิลาหลายร้อยขั้นทันที
“เจ้าคนสารเลว ไม่บอกก่อนสักคำ เกือบจะติดกับแล้ว” จินเฟยเหยาร้องอย่างหวาดกลัวไม่หาย ถลึงตาใส่เงาร่างด้านหลังข ของอินเยวี่ยอย่างเดือดดาล
อินเยวี่ยไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่กางร่มสีขาวเดินไปคฤหาสน์ช้าๆ ดังเดิม
“ที่นี่คือคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งของจวนอ๋องฝู พวกเจ้ารีบไปจากที่นี่เสีย!” องครักษ์ตะโกนเสียงดัง เพื่อหลีกเลี่ยง การสู้รบ ท่านอ๋องจึงหลบหนีมาคฤหาสน์กลางภูเขาลึกแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีคนที่ไม่รู้จักมา น่าสงสัยจริงๆ
ในเวลานี้เอง กระดิ่งมือในมือของอินเยวี่ยพลันดังขึ้น เห็นองครักษ์เหล่านั้นล้มลงบนพื้นทีละคน พอมองดูอย่าง งละเอียด ทุกคนล้วนสีหน้าเขียวคล้ำโลหิตไหลออกจากองคาพยพทั้งห้าและขาดใจตายไป เขายืนอยู่นอกคฤหาสน์เช่นนี้ ขยับ บร่มออกไปนิดหนึ่งมองดูท้องนภา จากนั้นพึมพำกับตนเองว่า “แสงอาทิตย์เจิดจ้าขนาดนี้ ร้อนจริงๆ”
ยืนอยู่ประมาณสามเค่อ เขาก็หันหน้ามาตะโกนว่า “มาเถอะ เสร็จเรื่องแล้ว”
“พั่งจื่อ ไปได้แล้วใช่หรือไม่” จินเฟยเหยาถามพั่งจื่อที่อยู่ในอกอย่างไม่วางใจ พั่งจื่อเหลียวซ้ายแลขวา หลังจาก กฟังก็ตอบรับคำหนึ่ง จินเฟยเหยาได้รับการยืนยันจากมันจึงเดินขึ้นไปอย่างวางใจ
จินเฟยเหยาผลักประตูใหญ่ของคฤหาสน์ให้เปิดออกเห็นภายในเรือนมีคนนอนอยู่ไม่น้อย คนที่อยู่นอกสุดคือองครักษ์ ส่วนที่นอนอยู่ตรงกลางทั้งหมดคือสตรีในตระกูลและหลายคนที่ดูเหมือนคุณชายว่างงาน พวกเขามีโลหิตไหลจากห้าทวาร ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำและเสียชีวิตแล้วทั้งหมด
นางเคยเห็นภาพนี้มาหลายครั้ง แต่ไม่ว่ากี่ครั้งจินเฟยเหยาก็รู้สึกหวาดกลัว อินเยวี่ยสังหารคนอย่างเงียบเชียบท ทำให้คนตายไปโดยไม่รู้ตัว หลายครั้งล้วนสังหารคนได้นับร้อยนับพันคนในพริบตา แม้แต่มือก็ยังไม่ยกขึ้น แค่ยืนอยู ตรงนั้นแล้วคนที่อยู่โดยรอบทั้งหมดก็ถูกฆ่าตาย
“พิษอันร้ายกาจยิ่ง…” หากมิใช่ตัวพั่งจื่อมีพิษและมีความรู้สึกเฉียบไวต่อพิษ เกรงว่าจินเฟยเหยาคงไม่กล้าเดิ นกับอินเยวี่ย จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
ผู้บำเพ็ญเซียนที่ได้พบก่อนหน้านี้ คนที่ใช้พิษมีน้อยมาก บางครั้งบางคนก็ใช้พิษห่วยๆ ขอเพียงปล่อยออกมาจะมีกล ลิ่นเหม็นและควันเต็มท้องนภา ถ้าโดนพิษเพียงกินยาถอนพิษเล็กน้อยก็หาย ไม่เหมือนยาพิษของอินเยวี่ย ไร้สีไร้ก กลิ่นก็กำจัดคนได้ ขอเพียงโดนพิษแม้แต่เวลากินยาแก้พิษก็ยังไม่เหลือไว้ให้เลย
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้ใช้แม้แต่ปราณวิญญาณจึงยังไม่ถือว่าลงมือจริงๆ ภายใต้ใบหน้าอันอ่อนโยนที่แ แท้ซ่อนจิตใจเช่นไรเอาไว้นะ ไม่สนใจว่าเป็นบุรุษ สตรี เด็ก หรือคนชรา เขาไม่เคยลังเลเลยสักนิด
แต่ละครั้งที่ลงมือไม่เคยปล่อยสิ่งมีชีวิตให้รอดเลยสักตัว สังหารจนเกลี้ยงเกลา
“ธรรมชาติของดอกลั่วเสียชอบน้ำ น่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีทะเลสาบ พวกเราไปดูด้านหลังกัน จริงสิ จมูกของสหายเซีย ยนจินไวต่อกลิ่นนี่นา รบกวนเจ้าดมดูหน่อยว่าที่ใดมีกลิ่นหอมของดอกไม้” อินเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองบนภูเขา รูปลั กษณ์ของภูเขาที่นี่ไม่น่าจะมีสถานที่ที่มีทะเลสาบ โอกาสที่จะอยู่ในคฤหาสน์มีมากกว่า
“ข้าไม่ใช่สุนัขเสียหน่อย” จินเฟยเหยาตอบอย่างไม่พอใจแต่ยังใช้จมูกดมกลิ่น ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ จริงๆ ด้วย นางไม่รู้สึกสนใจกลิ่นแบบนี้เลยสักนิด พวกผักผลไม้นางชอบกินแค่ผลไม้ อยากอื่นไม่ถูกรสนิยม
“ทางนั้น” จินเฟยเหยาหันหน้าไปทางกลิ่นหอมดอกไม้เดินนำอินเยวี่ยไปที่สวนด้านหลัง ระหว่างทางพบซากศพของบ่าวไพร่ หญิงรับใช้อย่างต่อเนื่อง กระดิ่งเก็บวิญญาณในมืออินเยวี่ยกลับส่งเสียงดังไม่หยุด ได้วิญญาณไปอีกจำนวนไม่น้อย
เดินไปถึงสวนด้านข้าง สระน้ำพุร้อนที่เคยถูกซ่อมแซมแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ในสระมีต้นไม้โบราณสูงเท่า สามตัวคน มีดอกเล็กๆ สีขาวนับร้อยดอกเบ่งบานบนต้นส่งกลิ่นหอมจางๆ
จินเฟยเหยาลูบคาง มองต้นไม้โบราณอันงดงามต้นนี้อย่างไม่สนใจ วิ่งมาตั้งไกลก็เพื่อสิ่งนี้ ส่วนอินเยวี่ยนำผ ผ้าโปร่งสีดำผืนหนึ่งออกมาโยนไปบนต้นลั่วเสีย ผ้าโปร่งสีดำขยายใหญ่ปกคลุมต้นลั่วเสียเอาไว้ภายในทั้งหมด จากน นั้นเห็นผ้าโปร่งสีดำร่วงหล่นต้นลั่วเสียก็หายไปทั้งดอกทั้งราก ส่วนผ้าโปร่งสีดำลอยกลับมาอยู่ในมือเขา การ รขโมยสิ่งของก็ถือว่าจบลง
ดีจริงๆ…
จินเฟยเหยามองผ้าโปร่งสีดำชิ้นนั้นอย่างชื่นชม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่านี่คือสิ่งใด รู้เพียงว่าเมื่อเจอ อสิ่งของที่ไม่สะดวกจะขนย้าย พออินเยวี่ยโยนผ้าโปร่งผืนนี้ก็สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของทั้งหมดไปได้ แถมไม่ต้องขุ ดเองด้วย
“ไปเถอะ ยังมีสถานที่ต้องไปอีกแห่ง ที่นั่นมีมันหวานแสนอร่อย แค่ทำให้สุกก็หวานจนเจ้าอยากจะกลืนลิ้นลงไปด้วย ” อินเยวี่ยเก็บผ้าโปร่งสีดำแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“มาลูกไม้นี้อีกแล้ว คิดจะฆ่าคนอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อมันหวานไม่กี่ผลใช่หรือไม่ นอกจากของเย็นๆ พวกนี้ เจ้าคงมิใช ช่ไม่กินอะไรเลยหรอกนะ ทำไมต้องไปสังหารคนปล้นชิงสิ่งของอย่างกระตือรือร้นขนาดนี้ด้วย ครั้งที่แล้วก็เพื่อผักกา าดขาวสุ่ยเยวี่ยหนึ่งหมู่ เจ้าถึงกับวางยาพิษคนนับหมื่นในเมืองตายหมด คงไม่ได้ใช้ข้ออ้างว่าค้นหาอาหารเลิศรสพ พาข้าไปสังหารคนไปทั่วเพื่อนำวิญญาณมาให้เจ้าหรอกนะ” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ถึงอินเยวี่ยจะเคยบอกว่า ผู้บำเพ็ญเซียนที่ชอบสนุกสนานมีไม่น้อย สามารถขายสิ่งของเหล่านี้ได้ในราคาสูง แต่พูด เกินจริงไปหรือไม่ มีปราณวิญญาณก็ช่างเถอะ ไม่มีปราณวิญญาณเพียงแค่รสชาติอร่อยก็นำไปด้วย จะมีผู้บำเพ็ญเซียนระดั บสูงอยากกินมากมายปานนี้ได้อย่างไร พบเจอโลกวิญญาณมามากมายมีเพียงเชื้อพระวงศ์ของโลกวิญญาณเทียนตี้ที่มีพลังก การบำเพ็ญเพียรแต่กลับกินอาหารวันละสามมื้อโดยไม่ยอมงดเว้นอย่างเห็นได้ชัด
อินเยวี่ยยิ้มแย้ม “นี่เป็นครั้งสุดท้าย โลกวิญญาณเทียนตี้ไม่มีสิ่งของดีๆ แล้ว พวกเราไปเอามันหวานมา แล้วออกจาก ที่นี่ไปโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นกัน”
“ไม่มีของดีแล้วแน่นอน แม้แต่มันหวานก็แย่งชิงไปด้วย สถานที่เช่นนี้ยังมีสิ่งใดที่นำมาโอ้อวดได้อีก” จินเฟยเหย ยาคิดว่าไม่ว่าการสู้รบครั้งนี้ราชันภูติจะนำพาเผ่ามารคว้าชัยชนะหรือเผ่ามนุษย์จะปราบปรามเผ่ามารได้สำเร็จ โลก กวิญญาณเทียนตี้ก็ไม่มีสิ่งของดีๆ แล้ว
สิ่งของที่เกิดและเติบโตเพียงแค่ในโลกวิญญาณเทียนตี้ โดยพื้นฐานแล้วอยู่ในมือของอินเยวี่ยทั้งหมด บางอย่างมอบ บให้จินเฟยเหยาเปล่าๆ นางยังกลัวว่าจะกินพื้นที่เลย ชื่นชมอินเยวี่ยผู้นี้จริงๆ มีพื้นที่มิติใหญ่มากเพียงใด กันแน่นะ สิ่งของที่เขาเก็บกลับมา ถึงมีพื้นที่มิติขนาดร้อยหมู่ก็คงไม่พอใช้
อินเยวี่ยนับว่ารักษาสัญญา ครั้งนี้ขุดสินค้าท้องถิ่นอันสุดท้ายของโลกวิญญาณเทียนตี้ ในที่สุดเขาก็ยอมไปจากที่ นี่
จินเฟยเหยารอมาสองปีจนกระทั่งถึงวันนี้ รู้สึกทอดถอนใจอย่างยิ่งจริงๆ กำลังคิดจะกล่าววาจาสะทือนใจสักหลายประโยค ให้กับการวิ่งวุ่นในสองปีนี้ของตนเอง ก็เห็นพั่งจื่อยืนอยู่ข้างๆ มองนางอย่างตั้งใจราวกับกำลังรอนาง ขอเพ พียงนางเอ่ยปากมันจะพูดต่อทันที
จ้องมองมันอยู่นาน จินเฟยเหยาก็กลืนคำพูดที่มาถึงปากลงไป ยักไหล่และส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา พั่งจื่อจะพู ดว่าอะไรนางเดาได้แต่แรก มันต้องบอกว่านางติดตามอยู่ด้านหลังอินเยวี่ยอย่างเริงร่ามาตลอดทาง กินอาหารอร่อยไป ปไม่น้อย เล่นสนุกจนเบิกบานใจแทบตายทั้งวันจนลืมว่าต้องไปโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นนานแล้ว
จินเฟยไม่นำพาเจ้าตัวใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้ แค่ยิ้มบางๆ แล้วปล่อยผ่านไป
……………………………….
[1] ตำลึง คือหน่วยวัดน้ำหนัก เท่ากับ 0.1 ชั่ง หรือ 50 กรัม