คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 344 โลกวิญญาณโหยวอวิ๋น
ข้างเมืองเล็กๆ ริมทะเลแห่งนี้คือท่าเรือราชวงศ์ตระกูลซู ก่อนหน้านี้ไม่มีใครออกทะเล ตอนนี้การสู้รบปะทุขึ้นยิ่ งตัดความเป็นไปได้ที่จะออกทะเลไป
คนธรรมดาในเมืองเล็กๆ หลบหนีไปหมดเนื่องจากถูกคนเผ่ามารโจมตีทำลายภายในวันเดียว แม้แต่คนเผ่ามารก็ไม่อาศัยอย ยู่ที่นี่เนื่องจากไม่ใช่เมืองสำคัญ
ในเมืองเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่เสียหาย ท่าเรือก็ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง บนนั้นยังมีคราบโลหิตเป็นด่างดวง ปกติโรงเ เลี้ยงเต่าที่เลี้ยงดูเต่าทลายคลื่นอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ที่นี่ก็ไม่มีใครสักคน พอเปิดประตูใหญ่ เต่าทลายคลื่ นด้านในไม่เหลือเลยสักตัว
ได้ยินว่าตอนคนเผ่ามารบุกเข้ามาโจมตีที่นี่ เต่าทลายคลื่นที่โตเต็มวัยถูกฆ่ากินเป็นอาหาร มีเพียงไข่ของเต่ าทะลายคลื่นไม่กี่ใบที่ผู้ดูแลโรงเลี้ยงเต่าหอบหนีไป ตอนนี้คิดจะได้เต่าทลายคลื่นมาก็เป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเต่ าทลายคลื่นต้องใช้เวลาเติบโตหลายร้อยปี หลังจากโตเต็มวัยจึงสามารถบรรทุกคนข้ามน่านน้ำผืนนั้นได้
จินเฟยเหยามองอินเยวี่ยด้วยสีหน้าวาดหวัง ไม่รู้ว่าเขาจะนำสิ่งใดมาข้ามทะเล สิ่งเหนือความคาดหมายของนางคือคิด ดไม่ถึงว่าอินเยวี่ยจะนำกะโหลกมนุษย์อันเกลี้ยงเกลาออกมาชิ้นหนึ่ง สะบัดมือโยนลงไปในทะเล
กะโหลกเจอน้ำก็ขยายใหญ่ ครู่หนึ่งก็ขยายจนมีความกว้างสองจั้ง กะโหลกส่วนบนลอยอยู่บนผิวน้ำ
“ข้านึกว่าเจ้าจะมีเต่า คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของแบบนี้ คงไม่จมลงก้นทะเลหรอกนะ” จินเฟยเหยาจ้องมองกะโหลกชิ้นนี้ และสำรวจละเอียดลอออย่างไม่ไว้วางใจ
อินเยวี่ยยิ้มแล้วกระโดดขึ้นไป ยืนอยู่บนหัวกะโหลกหันกลับมามองจินเฟยเหยา “ไม่ขึ้นมาหรือ? ข้าจะไปแล้วนะ”
“มาแล้ว” จินเฟยเหยารอเวลานี้มาสองปี จะไม่ขึ้นไปได้อย่างไร จึงรีบกระโดดขึ้นมาบนหัวกะโหลก หัวกะโหลกมั่นคงไม่ไหว วเอน ถึงจะลอยอยู่ในน้ำทะเลก็ยังนิ่ง
คนทั้งสองที่นั่งก็นั่ง ที่ยืนก็ยืน และออกทะเลไป
สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงคือดูเหมือนหัวกะโหลกชิ้นนี้ถูกคลื่นทะเลผลักไปข้างหน้าแต่กลับหลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งมีน้ำวน นได้ ตกใจแต่ไร้อันตรายมาครึ่งเดือนก็ออกมาพ้นน่านน้ำที่กักขังโลกวิญญาณเทียนตี้ไว้
กระจกสภาพโลกวิญญาณที่ซื้อมาจากมืออินเยวี่ย จินเฟยเหยานำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมาตรวจสอบดูโดยตรงโดยไม่ได้ หลบซ่อนเขา ระหว่างโลกวิญญาณเทียนตี้และโลกวิญญาณซิงหลัวมีโลกวิญญาณซั่งเยี่ยกั้นกลาง ส่วนอีกด้านหนึ่งกลับเป ป็นโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง นางเดินวนรอบหนึ่งก็ยังอยู่ในโลกวิญญาณสิบสองแห่ง โลกวิญญาณสิบสองแห่งนี้อยู่ใกล้กั นมากกว่าโลกวิญญาณอื่นๆ และมีการไปมาหาสู่ระหว่างกัน แต่โลกวิญญาณถัดจากที่นี่ไป มีการไปมาหาสู่กันน้อยมาก
บางทีโลกวิญญาณเหล่านี้อาจจะไม่มีแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียน เรื่องนี้ต้องไปจึงรู้ได้ว่าโลกวิญญาณเหล่านี้เป็นเช่นไร ร
โลกวิญญาณมีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ทว่าโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นบนกระจกสภาพโลกวิญญาณมีเพียงจุดสีขาวจุดเดียว แลดูเล็ก กจ้อยอย่างน่าประหลาด
สถานที่เล็กแค่นี้ก็เรียกว่าโลกวิญญาณได้ ทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ สถานที่เล็กขนาดนี้ต้องไม่มีอะไรน่าสนใจแน่ ค คงเป็นเพียงเกาะกลางทะเลที่ใหญ่หน่อย ตอนแรกสุดจินเฟยเหยาคิดเช่นนี้ ทว่าผ่านไปสี่เดือนกว่า เมื่อโลกวิญญาณโ โหยวอวิ๋นปรากฏขึ้นต่อหน้า นางมองดูโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นเบื้องหน้าแล้วอ้าปากค้างอย่างโง่งมทันที
นั่นเป็นเกาะที่กว้างไม่ถึงสิบหลี่ บนเกาะไม่รู้ว่ากองสิ่งใดเอาไว้ เป็นผืนสีขาวกว้างไกลราวกับหิมะที่ตกเป็น นชั้นหนา สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจคือบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้มีบันไดที่เหมือนเมฆสีขาวจำนวนมาก แต่ละอันลอยอยู่ กลางอากาศและยื่นตรงขึ้นไปด้านบน มีเกาะลอยได้ราวกับเมฆขาวขนาดใหญ่น้อยสิบกว่าเกาะปรากฏขึ้นกลางอากาศหลายสิบ จั้ง
“นั่นต้องสูงเพียงใดกัน…” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองไป บนเกาะลอยได้สิบกว่าเกาะมีบันไดที่เหมือนเมฆสีขาวเช่น นเดียวกัน นำไปสู่ด้านบน หลายสิบจั้ง ร้อยจั้ง หลายร้อยจั้ง เกาะลอยได้เหล่านั้นกองขึ้นไปด้านบนเป็นชั้นๆ ขึ้นไปจน นถึงสวรรค์
อินเยวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาหรี่ตาลงเอ่ยว่า “ถ้าจะไปถึงเกาะเมฆชั้นสูงสุด เหยียบของวิเศษเหาะเหินต้องใช้เวล ลาเจ็ดวัน เกาะเมฆชั้นบนสุดเรียกว่าสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้า”
“เหาะเจ็ดวัน สูงเกินไปแล้ว! เกาะเมฆเหล่านั้นทำจากสิ่งใด เป็นเกาะเล็กๆ ที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้หรือ?” เงยหน้าข ขึ้นมองอย่างละเอียดอยู่นาน นางเห็นเพียงเมฆขาวแต่ไม่เห็นพื้นดิน ทว่ามีต้นไม้งอกออกมาจากในเมฆขาวบนเกาะเหล่า านั้นจริงๆ เพียงแต่สีสันของต้นไม้พวกนั้นแปลกประหลาดอยู่บ้าง ตรงส่วนฐานสีขาวมีลวดลายสีเขียว ทั้งยังมีบ้านเรือ อนสร้างอย่างมั่นคงอยู่บนนั้น ถ้าเป็นเพียงเมฆหมอกไม่มีทางที่คนจะอยู่อาศัยได้ นั่นเป็นเพียงไอน้ำเท่านั้น
อินเยวี่ยมองจินเฟยเหยาแล้วยิ้มแย้ม ตอนตนเองมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็ตกตะลึงพรึงเพริด โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นช่างงด ดงามจริงๆ “เกาะเมฆเหล่านี้คือเมฆเทียนติ้งที่ถือกำเนิดจากสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้า อย่าเห็นว่าสามารถลอยอยู่บนอากาศไ ได้แต่กลับแข็งแกร่งราวกับดิน สามารถปลูกพืชได้และมีสัตว์ภูติท้องถิ่นของมันเอง สุกรผีเสื้อหยกอันเลื่องชื่อ ก ก็เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของที่นี่ อย่าเห็นว่าโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นมีขนาดเล็กแต่กลับเป็นสถานที่ซึ่งผู้บำเพ็ญ เซียนระดับสูงชื่นชอบที่สุด พวกเราขึ้นไปบนเกาะก็รู้ ที่นี่ยังอยู่ห่างอีกไกล”
“พวกเรารีบไปเถอะ” สถานที่อันงดงามถึงเพียงนี้ จินเฟยเหยาชมดูจนจิตใจฟุ้งซ่าน อยากรีบขึ้นไปดูบนโลกวิญญาณโหย วอวิ๋น
เห็นท่าทางร้อนใจของนาง อินเยวี่ยก็เอ่ยอีกว่า “โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นเป็นแค่ชื่อแบบทางการ คนส่วนมากเรียกมัน นว่าเกาะเจินซิว[1]หรือเกาะวั่นฮั่ว[2]”
“เกาะเจินซิว? บนนั้นมีอาหารมากมายหรือ เรียกเกาะเจินซิวค่อยรู้สึกน่าสนใจหน่อย ชื่อเกาะวั่นฮั่วก็ไม่น่าฟัง รู้สึกเหมือนบนเกาะมีคนโง่งม[3]มากมาย” จินเฟยเหยาแสดงออกว่าไม่เข้าใจ ชื่อแตกต่างกันเกินไปแล้ว
“อุ๊บส์” อินเยวี่ยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ “บนเกาะมีอาหารมากมายจริงๆ โดยพื้นฐานแล้วอาหารอร่ อยที่มีในโลกวิญญาณสิบสองแห่งล้วนสามารถหารับประทานได้ที่โลกวิญญาณโหยวอวิ๋น ส่วนที่เรียกว่าเกาะวั่นฮั่วเน นื่องจากที่นี่มีร้านค้านับหมื่นร้าน ร้านของข้าอยู่บนชั้นเมฆดำที่ชั้นสี่ ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่เลว”
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองไปบนชั้นสี่ ลองค้นหาตึกที่มีไอหยินคุกคามคนจากในนั้น แต่กลับเห็นบนนั้นเป็นฐานข ของเกาะเมฆสีขาว บางครั้งยังเห็นบ้านเรือนด้านข้างได้เล็กน้อย มองเห็นไม่ชัดเจน แต่กลับเห็นผู้บำเพ็ญเซียนเหยียบ ของวิเศษนานาชนิดผ่านในเกาะเมฆ อีกทั้งที่นี่ยังอยู่ห่างจากระดับน้ำทะเลเกินร้อยจั้ง คิดไม่ถึงว่ายังเป็นตำแหน น่งที่ไม่เลว
“ไม่ต้องมองแล้ว ที่นี่อยู่ห่างเกินไปมองเห็นไม่ชัด ถึงบนเกาะแล้วเจ้าค่อยดูตามสบายจนพอใจ” อินเยวี่ยแย้มยิ้มอ อย่างอ่อนโยน พลันนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ จึงหรี่ตาลงเอ่ยเตือน “แต่โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นมีกฎข้อหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเ เซียนที่เข้าเกาะล้วนต้องจ่ายศิลาวิญญาณ ข้ามีร้านค้าอยู่บนเกาะจึงไม่ต้องจ่ายศิลาวิญญาณ แต่สหายเซียนจินต้อง งจ่าย ขึ้นเกาะต้องจ่ายศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งก้อน”
“ศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งก้อน? เหตุใดจึงไม่ไปปล้นโดยตรงเลยล่ะจะได้ศิลาวิญญาณเร็วหน่อย!” พอจินเฟยเหยาได้ยินก็ ตะลึงงัน นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน เข้าเกาะถึงกับต้องจ่ายศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งก้อน
อินเยวี่ยเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้อยู่บ้าง “ไม่มีทางเลือก ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนล้วนต้องจ่ายทั้งบุรุษและสตรี เพียงแต่คนธรรมดาที่ไม่มีการบำเพ็ญเพียรกลับไม่ต้องจ่ายศิลาวิญญาณ เนื่องจากส่วนมากคนธรรมดาขึ้นเกาะแล้วได้แต่ ไปทำงาน ถึงงานที่ทำจะเป็นเรื่องจิปาถะแต่กลับขาดไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรระดับต่ำล้วนเก็บศิลา าวิญญาณชั้นบนหนึ่งก้อนมาที่เกาะนี้ไม่ได้ งานส่วนมากล้วนให้คนธรรมดาไปทำ”
“คนธรรมดา?” จินเฟยเหยาได้ฟังก็กลอกตา สมบัติของตนเองเหลือไม่เท่าไรแล้ว แม้แต่โลกวิญญาณเทียนตี้ก็ยังตัดใจนำ ำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมาวาดแผนที่ไม่ได้ ถ้าครั้งหนึ่งต้องนำศิลาวิญญาณชั้นบนออกมาจ่าย ก็เหมือนกับแล่เนื้อขอ องนาง
ดังนั้นนางจึงลดเสียงลงเอ่ยถามว่า “ถ้าข้าสะกดพลังการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด จะสามารถปลอมตัวเป็นคนธรรมดาขึ้นเกาะโ โดยไม่ต้องจ่ายศิลาวิญญาณสักก้อนใช่หรือไม่?”
อินเยวี่ยยิ้มตาหยี “แน่นอน ถ้าเจ้าสะกดพลังบำเพ็ญเพียรไว้ ย่อมสามารถปลอมตัวเป็นคนธรรมดาขึ้นเกาะได้ แต่ไม่อาจ จขึ้นเกาะแล้วเปิดเผยพลังการบำเพ็ญเพียรออกมาได้ บนเกาะมีองครักษ์ตรวจสอบอยู่ตลอด อีกทั้งถ้าเจ้าจะไปกินอาหารเ เลิศรสเหล่านั้นให้ได้ ทำตัวดึงดูดสายตาเกินไปจะทำให้คนมาตรวจสอบ”
“แบบนี้ข้าก็ใช้ถุงเฉียนคุนไม่ได้สิ ยุ่งยาก” จินเฟยเหยารังเกียจความยุ่งยาก หรือว่าได้แต่จ่ายศิลาวิญญาณหรือไม ม่ก็หดหัวไม่ทำตัวเด่นกินอาหารน้อยๆ
“ขอเพียงเจ้าไม่ปลดปล่อยพลังการบำเพ็ญเพียรออกมาหมดก็พอ บางครั้งใช้พลังวิญญาณนิดหน่อยใครจะพบเห็น อีกทั้งผู้บ บำเพ็ญเซียนจำนวนมากถ้าแค่มาซื้อสินค้าก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่อยู่ระยะยาวซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียรไว้ชั่วคราวก็ ไม่เป็นไร” อินเยวี่ยอธิบาย
“อ้อ ที่แท้แบบนี้เอง” จินเฟยเหยาไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ระยะยาวจึงตัดสินใจประหยัดศิลาวิญญาณก่อน ถ้าต่อไปอยากจะอ อยู่ฝึกบำเพ็ญที่นี่ค่อยไปจ่ายศิลาวิญญาณก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเสียศิลาวิญญาณไปเปล่าๆ
เห็นจินเฟยเหยาซ่อนพลังบำเพ็ญเพียรอย่างว่องไวจนเหมือนสตรีธรรมดา อินเยวี่ยกางร่มเม้มปากหัวเราะ
ทั้งสองคนมาถึงท่าเรือ มองเกาะเมฆสีขาวที่ดูเหมือนอ่อนนุ่ม จินเฟยเหยากระโดดขึ้นไปอย่างอดใจรอไม่ไหว คิดไม่ถึงว ว่าจะไม่นุ่มนิ่มอย่างที่คิดไว้ ความรู้สึกที่เหยียบลงไปเหมือนตอนเหยียบดินและทราย ยกเท้าขึ้นมองดู บนพื้นมีร รอยเท้าจางๆ ปรากฏขึ้น ยกเท้าขึ้นมาไม่นานตรงรอยเท้าก็กลับคืนเป็นดังเดิม
มีองครักษ์สวมชุดสีเทาแซมลวดลายเมฆอยู่บนท่าเรือจริงๆ พวกเขาเพียงกวาดมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่งแล้วไม่สนใจนางอีก ก ส่วนอินเยวี่ยล้วงป้ายหยกลายเมฆชิ้นหนึ่งจากในอกให้บรรดาองครักษ์ดู จึงปล่อยให้เข้าเกาะได้โดยไม่ต้องเสีย ยศิลาวิญญาณสักก้อน
“สหายเซียนจินจะไปนั่งในร้านของข้าหรือไม่ สามารถไปที่ชั้นสี่กับข้าได้หรือจะเดินขึ้นบันไดไป แต่บันไดเมฆอันต ตรายยิ่ง ถ้าไม่มีพลังวิญญาณแล้วพลาดตกลงไปคงดับอนาถ แต่ทางนั้นมีรถวิหคเมฆา เจ้านั่งรถแบบนั้นได้ คิดราคาชั้น นละสิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง นั่งกี่ชั้นก็คิดไปตามนั้นสะดวกมาก” อินเยวี่ยเอียงศีรษะมาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
อินเยวี่ยสูงกว่าจินเฟยเหยาหนึ่งช่วงศีรษะ ตอนนี้ก้มศีรษะลงมามองนางด้วยสีหน้าห่วงใย ส่วนจินเฟยเหยากลับเหล ลียวซ้ายแลขวา มองแวบเดียวก็เห็นถนนอันคึกคักเบื้องหน้า ในอากาศมีกลิ่นอาหารนานาชนิดลอยอยู่เต็มไปหมด
“ทางนั้นคือที่ใด?” จินเฟยเหยาไม่ตอบเขา ทว่าชี้ไปทางด้านนั้น
อินเยวี่ยมองแวบหนึ่งก็เอ่ยว่า “ทางนั้นเป็นถนนเจินซิว อาหารนับพันชนิดจากโลกวิญญาณแต่ละแห่งล้วนอยู่ที่น นั่น ถ้าอยากกินให้หมดทุกอย่างต้องใช้เวลาหลายวัน ผลอวี้หลงที่ข้าให้เจ้าครั้งที่แล้วก็ซื้อจากบนถนนสายนี้ ”
เช่นนั้นยังจะมัวรออะไรอยู่ พอจินเฟยเหยาได้ฟังรีบยิ้มแย้มเอ่ยว่า “สหายเซียนอินยังมีธุระในร้าน ข้าไม่รบกว วนแล้ว ข้าจะไปเดินที่นั่นสักหน่อย รอข้าเล่นสนุกจนพอแล้วจะไปหาเจ้าที่ชั้นเมฆดำชั้นสี่ ร้านของเจ้ามืดอึมครึม น่าจะหาได้ง่าย”
“เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ สหายเซียนจินเล่นสนุกให้เบิกบานใจเถอะ” อินเยวี่ยไม่ได้ให้จินเฟยเหยาต้องไปร้านของตนเ เองให้ได้ จึงกำชับอย่างสนิทสนม
“ขอบคุณ ข้าไปก่อนล่ะ” จินเฟยเหยาประสานมือรับคำ ถือว่ากล่าวอำลาเขาแล้วก็วิ่งไปถนนเจินซิวอย่างร่าเริง
อินเยวี่ยมองนางวิ่งไปถนนเจินซิว มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆ เหยียบอากาศเหินร่างขึ้นโดยไม่ได้เหยียบอะไร เหาะตรงไ ไปยังชั้นเมฆดำ
…………………………………..
[1] เจินซิว หมายถึง บอบบาง หรือ อาหารหายาก
[2] วั่นฮั่ว หมายถึง สินค้านับหมื่น วั่นแปลว่าหมื่น
[3] คำว่าโง่งม ในภาษาจีนใช้ว่า เอ้อร์ฮั่ว เอ้อร์แปลว่าสอง มีตัวเลขมากถึงหนึ่งหมื่นจินเฟยเหยาจึงรู้สึกว่ามีค คนโง่งมมากมาย