คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 347 นักชิมอาหาร
จินเฟยเหยาไม่สนใจสายตาของพวกนางยังกินถั่วทอดของตนเองต่อไป รออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีไอหยินคุกคามคนกลุ่มหนึ่งพาสตรีผู้หนึ่งมา
จากนั้นนางก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างเรือเอ่ยถึงชื่อคฤหาสน์อิน ท่าทางคนเหล่านี้เป็นลูกน้องของอินเยวี่ย สตรีที่พวกเขาพามาดูเหมือนจะขี้อายอย่างยิ่ง นิ้วเรียวยาวยื่น ออกมาจากในแขนเสื้อนิดๆ มักจะอยู่ตรงใต้คางทำท่าเขินอาย
นางไม่ร่ำไห้ไม่อาละวาดและไม่ได้ถอนหายใจ มีสีหน้าสงบนิ่งราวกับสถานที่ที่จะไปเป็นเพียงบ้านญาติเท่านั้น ถึงหว่างคิ้วจะดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่จินเฟยเหยาแน่ใจว่าไม่เคยพบคนผู้ นี้มาก่อน อาจจะหน้าตาเหมือนใคร
สตรีผู้นั้นขึ้นเรือแล้วก็นั่งเงียบๆ จินเฟยเหยาก็หมดความสนใจ เพียงรอให้คนเต็มแล้วออกเรือ
สตรีเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนเบียดเสียดกันอยู่บนเรือวิญญาณ คนเต็มทุกพื้นที่แล้ว นอกเรือเป็นการป้องกัน คนที่ไม่อยากถูกนกกินคิดจะกระโดดเรือตายก็ทำไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียน ไม่อยากล่วงเกินจูเชวี่ย ถ้าจำนวนคนขาดไปจะทำให้จูเชวี่ยไม่พอใจ ภายใต้ผลประโยชน์ของเมฆเทียนติ้ง สตรีเหล่านี้ถูกเรือวิญญาณพาขึ้นกลางอากาศราวกับสุกรและสุนัข
ความเร็วของเรือรวดเร็วยิ่ง เร็วกว่าเหยียบของวิเศษเหาะเหินหลายเท่า เดิมทีใช้เวลาเจ็ดวันจึงเหาะถึงชั้นบนสุด ตอนนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงด้านบนแล้ว
เดิมทีจินเฟยเหยายังเป็นห่วงว่าบินเจ็ดวัน ถ้าสตรีเหล่านี้กินและถ่ายบนเรือจะทำอย่างไร คิดไม่ถึงว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงแล้ว อีกทั้งนางยังเอ่ยถามอย่างสงสัยจึงรู้ว่าลำ ำคอของสตรีเหล่านี้ถูกลงการป้องกันไว้ กินดื่มไม่ได้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว ทำให้ท้องว่างจนสะอาดสะอ้านจึงถูกส่งขึ้นมา ดูไม่ออกเลยว่าจูเชวี่ยตัวนี้ให้ความสำคัญกับความสะ ะอาดของอาหารอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาจึงรู้แจ้ง มิน่าเล่าตนเองกินถั่วทอดเล็กน้อยจึงเรียกสายตาอำมหิตของคนเกือบทุกคนได้ ที่แท้ทุกคนหิวนี่เอง ไม่ได้กินดื่มมาสามวัน ย่อมต้องหิวจนอกด้านหน้าติดแผ่น หลัง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งหิวทั้งกระหาย ด้านข้างยังมีคนที่นั่งกินไม่หยุดปากด้วย ย่อมต้องทำให้คนหงุดหงิด
แต่ไม่ยอมให้พวกนางแค้นเคืองต่ออีกหน่อย เรือเหาะบินก็ออกนอกโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นแล้ว บนยอดมีเกาะลอยได้เพิ่มมาหนึ่งเกาะ เกาะเมฆแห่งนี้ไม่ใช่สีขาว ทว่าเป็นเจ็ดสีสัน สามา ารถมองเห็นสีกุหลาบแถบหนึ่งบนนั้นได้แต่ไกล
ทุกคนต่างเห็นเกาะเมฆก้อนนี้ จูเชวี่ยที่ตัดสินชะตาชีวิตของพวกนางอยู่บนนั้น บางคนทนไม่ไหวเริ่มร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่ร้องไห้จนน้ำตาแห้งไปนานแล้ว เวลานี้ได้แต่ ส่งเสียงแหบแห้งออกมา
เรือวิญญาณเหาะไปเหนือเกาะเมฆ จินเฟยเหยาโผล่ศีรษะมองลงไป บนเกาะเมฆแห่งนี้มีพื้นที่เพียงห้าสิบกว่าหมู่ มีกิ่งก้านสีกุหลาบงอกเต็มไปหมดราวกับปะการัง บนพื้นทั้งหมดก็มีเจ็ด สีสัน เห็นได้ชัดว่าทุกแห่งบนเกาะมีสีสันสดใสงดงามจับตาอย่างยิ่ง
ในกิ่งก้านสีกุหลาบมีพื้นที่ว่างรูปวงกลมประมาณสิบหมู่ กิ่งก้านเหล่านั้นถูกหักกองเป็นรังนกขนาดใหญ่ สายตาของจินเฟยเหยาตกลงในรัง ในนั้นมีไข่สูงหนึ่งตัวคนกว่าตั้งอยู่ ไข ข่ราวกับหินผลึกสีกุหลาบ บางครั้งมืดบางครั้งสว่างดุจเตือนทุกคนว่ามันเป็นไข่ที่มีชีวิตไม่ใช่หินผลึก
“มีไข่จริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่” จินเฟยเหยาจุปากพึมพำกับตนเอง สิ้นเสียงก็มีสายตาแค้นเคืองมองมาที่ร่างนางทันที
เวลานี้บนเรือวิญญาณไม่มีผู้บำเพ็ญเซียน เรือวิญญาณลำนี้ใช้สำหรับบรรทุกสตรีโดยเฉพาะ เนื่องจากไปมาระหว่างสองแห่ง ดังนั้นความเร็วจึงรวดเร็วกว่าของวิเศษหลบหนี จินเฟยเหยาเหลีย ยวซ้ายแลขวามาตลอดทาง ท่าทางสนอกสนใจอย่างยิ่ง เดิมทีก็ทำให้ทุกคนไม่พอใจอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังพูดออกมาอีก ผู้อื่นได้ฟังยิ่งรู้สึกว่าเสียดสีเป็นพิเศษ
สตรีแต่งงานแล้วรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งท่าทางปกติอยู่บ้านคงทุบตีพ่อแม่สามีด่าทอลุงป้าน้าอากระโดดขึ้น ยื่นมือมาคิดจะคว้าจิกเส้นผมของจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาตะลึงงัน ไม่เห็นเข้าใจเลย ตนเองทำอะไรอีกล่ะ? ขณะที่สงสัย นางก็ยื่นนิ้วออกไปดีดหน้าผากสตรีที่พุ่งเข้ามาหาเบาๆ
เสียงดังเพี๊ยะ ศีรษะของสตรีผู้นั้นระเบิดทันที สิ่งสกปรกสีแดงและสีขาวสาดกระเซ็น กระจายลงบนร่างของสตรีจำนวนไม่น้อย สตรีเหล่านี้ไม่เคยมีใครเคยเห็นฉากน่ากลัวแบบนี้มาก่อน จึงหวาดกลัวจนหดตัวรวมกันเป็นก้อนกลมทันที ร้องอุทานอย่างต่อเนื่องและหมดสติไปมากกว่าครึ่ง
จินเฟยเหยามองมือ เอ่ยพึมพำ “ทำไมข้าคิดไม่ถึงนะ สามารถใช้นิ้วบีบถั่วได้ ถ้าใช้ฟันจะกัดเนื้อถั่วเป็นเศษซากไปด้วย”
หลังจากนางสังหารคนยังเยือกเย็นขนาดนี้ทำให้ทุกคนหวาดผวา โดยเฉพาะนางนั่งลงราวกับไม่มีอะไรและเริ่มทดลองใช้นิ้วสองนิ้วบีบเปลือกถั่ว หลังพบว่าทำแบบนี้สามารถทำให้เนื้อถั่ว วออกมาทั้งหมดก็ง่วนอยู่กับการแกะถั่ว
เรื่องที่นางทำในวันนี้ ถ้าถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ เห็นเข้า อาจจะถูกด่าทอจนกระดูกกลายเป็นเศษซาก ผู้บำเพ็ญเซียนแตกต่างจากคนธรรมดาราวกับผืนฟ้าและแผ่นดินเนื่องจากฝึกบำเพ พ็ญ ทางด้านจิตใจไม่ถือว่าตนเองเป็นมนุษย์มานานแล้ว เมื่อมีคนธรรมดาล่วงเกินผู้บำเพ็ญเซียน ปกติผู้บำเพ็ญเซียนที่สูงส่งจะให้อภัย
สภาพจิตใจแบบนี้คือ ข้าเป็นคนที่สูงส่ง ส่วนเจ้าเป็นเพียงมดแมลง ถ้าข้าเอาเรื่องเจ้าแสดงว่าตนเองใจคอคับแคบ ไม่มีท่วงทำนองของผู้สูงส่ง
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอันเที่ยงธรรมมีน้อยมากที่จะทำให้คนธรรมดาลำบากใจ มีเพียงผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายจึงไปหาเรื่องคนธรรมดา นั่นก็เพื่อการฝึกบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักอ อันเที่ยงธรรมไม่ฟาดคนธรรมดาที่มาหาเรื่องตนเองตาย แม้แต่เผ่ามารก็ไม่ทำเนื่องจากรังเกียจที่จะลงมือ
ทว่าจินเฟยเหยากลับไม่คิดแบบนี้ จินเฟยเหยารู้เพียงว่า เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าสู้เจ้าไม่ได้ เจ้ารังแกข้าก็เพราะข้าสู้ไม่ได้ แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าด้อยกว่าข้าลิบลับกลั บจะกระโดดมารังแกข้า หลังจากรังแกแล้วยังร้องไห้ขอความเมตตาสองประโยคข้าก็ต้องใจกว้างปล่อยเจ้าไป ข้ามิอึดอัดใจตายหรือ
ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะใดก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเรื่องที่ตนเองกระทำลงไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีงามขนาดนั้น ให้ผู้สูงส่งยกโทษให้หมดทุกอย่าง
นางก่อเรื่องในเรือวิญญาณแบบนี้ ทุกคนต่างไม่กล้าเอ่ยวาจา คิดถึงว่าตนเองยังมาเจอเรื่องแบบนี้ก่อนถูกกิน แม้แต่ร้องไห้ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา ได้แต่น้ำตาร่วงเงียบๆ ภาย ยในเรือวิญญาณทั้งหมดมีเพียงเสียงแกะเปลือกถั่วของจินเฟยเหยาดังแกร่กๆ
เสียงดังตูม เรือวิญญาณร่อนลงในรังนก ทุกคนหวาดกลัวจนร่างสั่นสะท้าน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เพราะเหตุใดมีคนหนึ่งตาย?” ทันใดนั้น ตรงหัวเรือมีเสียงสอบถามอย่างติเตียนด้วยความไม่พอใจ
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าตรงหัวเรือมีเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด หน้าตาราวกับสลักเสลาจากหยกน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง สวมชุดยาวเจ็ดสีสัน ขมวดคิ้วทำปา ากยื่นมองดูทุกคน
จูเชวี่ยหรือ?…กลิ่นอยู่ที่ใด
จินเฟยเหยาสูดดม จางอย่างยิ่ง จางจนแทบจะละลายอยู่ในอากาศ ทำให้คนแยกแยะไม่ออก
เห็นไม่มีคนตอบ เขาก็กระโดดขึ้นมาบนเรือ เอียงศีรษะมองสตรีแต่งงานแล้วบนเรือคนนั้น พลันยื่นมือไปฉีกแขนข้างหนึ่งลงมานำไปไว้ข้างปากแล้วกัดหลายคำ
“อา!” ฉากนี้สยองขวัญกว่าสตรีแต่งงานแล้วถูกระเบิดศีรษะเสียอีก มีคนสลบไปหลายคนทันที
“จริงๆ เลย สมองเป็นอาหารส่วนที่ข้าชอบกินที่สุด ขอแค่ให้ส่งคนธรรมดามาแล้วยังระเบิดสมองมาให้ข้าอีก” เสียงอ่อนเยาว์ของเขาเอ่ยอย่างเดือดดาล แสดงฐานะของตนเองให้ทุกคนรู้ สตรีที่เหลือเพียงแค้นว่าเหตุใดตนเองจึงไม่สลบไป อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องเห็นฉากที่น่ากลัวแบบนี้
เขานั่งอยู่บนเรือใช้ปากเล็กๆ ฉีกทึ้งเนื้อแล้วเงยหน้าบอกว่า “หนีสิ”
ทุกคนฟังไม่เข้าใจ ต่างมองเขาอย่างตะลึงงัน จูเชวี่ยตัวนี้จึงเอ่ยเพิ่มอีก “ข้าให้พวกเจ้าวิ่งหนี ถ้าหนีออกไปได้ข้าจะไม่กินพวกเจ้า ข้าจะกินคนที่เหลืออยู่บนเรือก่อน”
ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของเขา กลายเป็นว่าก่อนกินยังคิดจะเล่นสนุกอีก ไม่คิดบ้างว่าสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้าสูงระดับไหน คิดจะหนีก็ไม่มีสถานที่ให้หลบหนี อีกทั้งเวลานี้ทุกคนขาอ อ่อน ไหนเลยจะวิ่งไหว
จินเฟยเหยาครุ่นคิดว่าตนเองจะวิ่งหนีหรือจะรั้งอยู่ที่นี่ชมดูเรื่องสนุกดี สายตาของนางจับจ้องไข่ของจูเชวี่ยที่อยู่ห่างจากเรือไม่ไกลนัก ฉวยโอกาสนี้วิ่งไปขโมยไข่ดีกว่า เ เพียงแต่…จูเชวี่ยเพศผู้ตัวเล็กแค่นี้ ออกไข่ได้ด้วย?
ขณะที่นางสงสัย ก็เห็นสตรีที่คฤหาสน์อินส่งมาพลิกตัวลงจากเรือวิญญาณ มุดหนีเข้าไปในกิ่งไม้ที่สูงสองสามตัวคนรอบด้าน
มีนางเป็นผู้นำ สตรีที่ไม่ได้หมดสติก็พากันกระโดดลงจากเรือวิ่งหลบหนี แม้แต่ในบรรดาคนที่สลบ ยังมีหลายคนกระโดดพรวดขึ้นมาราวกับถูกสายฟ้าฟาด พลิกตัวลงจากเรือหลบหนีไปอย ย่างรวดเร็ว ความเคลื่อนไหวทั้งรวดเร็วทั้งปราดเปรียว ไม่มีความรู้สึกอ่อนแอที่หวาดกลัวจนสลบไปเลยสักนิด
จินเฟยเหยาไม่รีบร้อนหลบหนี เห็นพวกนางวิ่งหนีเข้าไปในกิ่งไม้ก็คิดจะลงจากเรือ ร่างเพิ่งขยับก็ได้ยินเสียงจูเชวี่ยถ่มชิ้นเนื้อออกมาและเอ่ยอย่างไม่พอใจ “อาหารร้อนๆ ดีกว่า าจริงๆ เลือดเย็นหมดแล้ว อาหารเย็นแล้วไม่อร่อยเลย”
จากนั้นเขายืนขึ้นเดินมาถึงเบื้องหน้าสตรีสองสามร้อยคนที่สลบอยู่แล้วเตะคนละที ทำให้สตรีที่หมดสติเหล่านั้นฟื้นขึ้นมา จากนั้นด่าทออย่างมีโทสะ “ไสหัวไป ข้าปล่อยพวกเจ้าไป หนี เอาเองนะ”
ถ้ามีคนไม่ได้สติหรือขาอ่อนเดินไม่ไหว เขาก็จะเตะต่อไปจนกระทั่งทุกคนฟื้นหมด เห็นยังมีคนอีกเกือบครึ่งหนึ่งที่ขยับไม่ไหว จูเชวี่ยก็ยื่นมือไปดึงศีรษะคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขา ที่สุดลงมา
ครั้งนี้ไม่ต้องให้เขาเตะอีก คนที่เหลือหนีลงจากเรือราวกับผึ้งแตกรัง ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นเงา
จินเฟยเหยาปะปนอยู่ในกลุ่มคนลงจากเรือ แอบคลำทางมาจนถึงด้านหลังไข่จูเชวี่ย อดพึมพำในใจไม่ได้ จูเชวี่ยตัวนี้น่าชังจริงๆ เป็นสัตว์เทพ ไปหลอกคนอื่นเถอะ คิดไม่ถึงว่ายังร รังเกียจที่อุณหภูมิของมนุษย์ไม่สูง บีบบังคับให้สตรีเหล่านั้นวิ่งหนี เมื่อหนีจนร้อนผ่าวไปทั้งตัวจึงลงมือกิน เป็นเจ้าตัวรู้จักกินจริงๆ
นางแอบโผล่ศีรษะมาดูแวบหนึ่ง ร่างเตี้ยๆ ของจูเชวี่ยหายไปจากในเรือแล้ว ได้ยินแต่เสียงเขากำลังแทะเนื้อดังกร้วมๆ นางไม่กล้าปล่อยพลังวิญญาณออกมา เกรงว่าจูเชวี่ยพบเห็นแล ล้วจะมากินตนเองก่อน ได้แต่ใช้หูแนบบนเปลือกไข่ของจูเชวี่ย คิดจะฟังดูว่าด้านในมีสิ่งใด
เพิ่งแนบหูบนเปลือกไข่ นางเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในกิ่งไม้ไกลๆ สตรีที่คฤหาสน์อินส่งมอบวิ่งกลับมา เห็นจินเฟยเหยามองนาง นางก็เม้มปากหัวเราะ จากนั้นแอบคลำทางมา
พอนางหัวเราะขึ้นมาเหตุใดจึงคุ้นตานัก จินเฟยเหยามองนางอย่างสงสัย วิ่งกลับมาทำไม? เห็นคนผู้นี้แอบวิ่งมาข้างไข่จูเชวี่ยแล้วทำท่าทางให้จินเฟยเหยาเงียบ จากนั้นเริ่มดึง งพรมขนจูเชวี่ยสีแดงเพลิงที่อยู่ด้านล่างไข่จูเชวี่ยออกมา
เอ๋? จินเฟยเหยาตะลึงงัน เข้าใจขึ้นมาทันที กำหมัดขึ้นอยากจะต่อยไปแรงๆ