คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 351 ลูกค้ารายใหญ่
เผชิญหน้ากับจินเฟยเหยาที่เดือดดาล อินเยวี่ยเฉยเมยอย่างยิ่ง เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ช่างเถอะ ก็หนีไปแล้ว พวกเราฉวยโอกาสที่ไม่มีใครพบว่าจูเชวี่ยหนีไปรีบไปจากที่นี่เถอะ ไม่เช่น นนั้นถ้าคนของโลกวิญญาณทั้งหมดล้อมปราบพวกเราเนื่องจากเมฆเทียนติ้งถูกทำลายจึงอับอายจนกลายเป็นโทสะก็ยุ่งแล้ว”
“กลัวอะไร เจ้าจะสังหารพวกเขาก็เป็นเรื่องง่ายดาย” จินเฟยเหยาคุกเข่าอยู่บนพื้น กำลังก้มหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ได้ยินเสียงเร่งเร้าของเขาก็ตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ไม่ใช่กลัว แต่ถ้าคนของโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นตายหมด ข้าจะทำการค้าได้อย่างไร” อินเยวี่ยยิ้มแย้ม สำหรับเขาแล้วสามารถหาศิลาวิญญาณได้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
จินเฟยเหยาได้แต่ลุกขึ้น ปากยังไม่ยินยอม “เมื่อครู่สู้กันจนความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างก็รู้แล้วแน่ๆ ตอนนี้ที่ไม่ปรากฏกายคงเพราะกลัวว่าหายนะจะมาถ ถึงตัว พวกเราออกไปก็จะถูกพบเห็นทันที”
“ไม่หรอก สวรรค์เจ็ดชั้นฟ้ามีม่านแสงตามธรรมชาติของตนเอง ภายนอกไม่รู้ความเคลื่อนไหวภายใน ส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ ถึงตอนนี้จะไม่มีม่านแสงแล้วแต่ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดั งออกไป แต่ไม่นานต้องมีคนพบเห็นว่าสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้ากลายเป็นสีดำ ถึงตอนนั้นโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นต้องระเบิดแน่” อินเยวี่ยเอ่ยเตือน ถ้ายังถ่วงเวลาต่อไปจะถูกคนพบเห็นเข้าจริง งๆ
“ไปเถอะ” จินเฟยเหยาถอนหายใจ ความโชคร้ายแบบนี้เมื่อใดจะสิ้นสุดลง ไม่จบไม่สิ้นสักที
ทั้งสองคนแอบกลับไปที่โลกวิญญาณโหยวอวิ๋น ตรงไปร้านอันมืดครึ้มน่ากลัวของอินเยวี่ย เพิ่งเข้าประตูมาไม่นานก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงเอะอะ พอส่งคนออกไปสอบถามจึงรู้ว่ามีผู้บ บำเพ็ญเซียนพบว่าสวรรค์เจ็ดชั้นฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท หลังจากเหาะไปดูใกล้ๆ จึงรู้ว่าบนนั้นเกิดการต่อสู้ขึ้น
ข้อสำคัญคือจูเชวี่ยหายไปแล้ว สวรรค์เจ็ดชั้นฟ้าถูกทำลายจนกลายเป็นเมฆไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงสามารถสร้างเมฆเทียนติ้งออกมาได้ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นยังพอเข้าใจได้ ในค ความเห็นของพวกเขา ไม่มีเปลวเพลิงของจูเชวี่ยเผาเมฆเทียนติ้ง เมฆเทียนติ้งไม่มีคุณสมบัติพิเศษเร่งการเจริญเติบโตของพืช จะเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล
ทุกคนต่างก็ทำการค้า จึงมีคนคิดได้ทันที ราคาเมฆเทียนติ้งที่เร่งการเจริญเติบโตของพืชต้องพุ่งพรวดแน่ ต่อให้เฉพาะแค่ในโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นก็จะน้ำขึ้นเรือลอยสูง[1] ก่อนที่จู เชวี่ยตัวต่อไปจะมา ราคาต้องแพงแน่นอน
คนทำการค้าแตกฮือกันออกไป เริ่มซื้อเมฆเทียนติ้งในราคาสูง แต่พอทำแบบนี้ทุกคนก็รู้เรื่องนี้กันหมด ปรากฏว่าเมฆเทียนติ้งที่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านั้นมีราคาแต่ไม่มีสินค้า ทุ กคนต่างเก็บไว้ในมือไม่ยอมขายออกไป
ผู้ดูแลโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นคือหอการค้าโหยวอวิ๋น เรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง ขนาดอินเยวี่ยยังถูกเรียกไปปรึกษาหารือ จินเฟยเหยากลับไม่มีอะไร จึงไปเอาหนังสุกรผีเสื้อหยกจาก กผู้ดูแลร้านคฤหาสน์อิน
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้นางต้องตกตะลึง “อะไรนะ! เพราะเหตุใดจึงไม่มีแล้ว หรืออินเยวี่ยสั่งให้เจ้านำหนังสุกรผีเสื้อหยกไปซ่อนแล้วหลอกข้าว่าไม่มี!”
“ผู้อาวุโสจิน ไม่ใช่เช่นนั้น ตอนที่พวกท่านออกไป มีคนมาซื้อหนังสุกรผีเสื้อหยกทั้งหมด ได้ยินว่าพวกเขากว้านซื้อหนังสุกรผีเสื้อหยกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตัวที่เลี้ยงไว้ยังถูก ซื้อไป ตอนนี้สุกรผีเสื้อหยกเหลือเพียงไม่กี่ตัว” ผู้ดูแลร้านรีบอธิบาย
“หา! ใครเป็นคนทำ” เพลิงจินเฟยเหยาโทสะสูงสามจั้ง ใครกันที่ต่อต้านนางแบบนี้ รนหาที่ตาย
“ลูกค้ารายใหญ่แบบนี้พวกเราบันทึกไว้หมดเพื่อให้วันหน้าสะดวกในการค้าขายต่อ พวกเขาเป็นผู้ซื้อจากสำนักฟ้าแห่งโลกวิญญาณเหอเซี่ย มือเติบอย่างยิ่ง หลายวันนี้ซื้อสิ่งของล้ำค่าจำ ำนวนมาก ไม่ถามราคาเลยสักนิด บางครั้งราคายังพุ่งขึ้นไปอีกเพื่อหักเปอร์เซ็นต์ให้พวกเขา” ผู้ดูแลร้านยิ้มหน้าบาน ครั้งนี้คฤหาสน์อินทำเงินได้มหาศาล สิ่งที่คนค้าขายในโลกวิญญาณ ณโหยวอวิ๋นทั้งหมดชอบที่สุดคือผู้ซื้อจากโลกวิญญาณเหอเซี่ย
“โลกวิญญาณเหอเซี่ย?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน รีบนำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมา
ค้นหาดูข้างหน้าว่ามีหรือไม่ จากนั้นก็ดูจากข้างหลังอีก จึงพบโลกวิญญาณเหอเซี่ยอยู่ข้างโลกวิญญาณซิงหลัว ถึงจะบอกว่าอยู่ใกล้กับโลกวิญญาณซิงหลัว แต่ระยะห่างตรงกลางห่างไกล อย่างยิ่ง จินเฟยเหยาคิดจะไปที่นั่นไม่รู้ต้องเดินทางไกลเพียงใด อีกทั้งพื้นที่ของโลกวิญญาณแห่งนี้กว้างใหญ่มาก โลกวิญญาณเป่ยเฉินว่าใหญ่แล้ว แต่โลกวิญญาณแห่งนี้มีขนาดเท่า าโลกวิญญาณเป่ยเฉินสิบแห่งเต็มๆ
ภายนอกของโลกวิญญาณเหอเซี่ยแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งโลกวิญญาณสิบสองแห่งแผ่อิทธิพลไปไม่ถึง ตรงกลางมีสภาพอากาศแปรปรวนชั่วนาตาปีทำให้คนข้ามน่านน้ำได้ลำบาก
“ซื้อหมดแล้วก็พูดเกินจริงไป ข้าจะไปลองหาดู” จินเฟยเหยายังไม่เชื่อ สิ่งของราคาแพงขนาดนี้จะถูกคนซื้อไปหมดได้อย่างไร แสดงอำนาจบาตรใหญ่มากไปแล้ว
นางหมุนตัววิ่งออกจากคฤหาสน์อิน เหาะไปยังชั้นสิบสี่ที่เลี้ยงสุกรผีเสื้อหยก ตอนนี้โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นวุ่นวาย นางเชื่อว่าไม่มีคนว่างมาตรวจสอบว่าตนเองจ่ายศิลาวิญญาณหรือไม ม่ จึงปลดปล่อยพลังการบำเพ็ญเพียรออกมา
พอถึงชั้นเมฆที่ถูกล้อมเป็นคอกสุกรทั้งหมดแห่งนี้ นางก็เห็นสุกรผีเสื้อหยกมีชีวิต สุกรผีเสื้อหยกตัวเต็มวัยมีขนาดเท่ากระต่าย มีปีกผีเสื้อขนาดเท่าฝ่ามืองอกออกมาคู่หนึ่ง ง กำลังบินไปบินมาอยู่ในคอกสุกรอันเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างโง่งม ค้นหาร่องรอยของภรรยาตนเอง
คนที่มาต้อนรับนางกลับเป็นผู้ดูแลขั้นสร้างฐานตัวเล็กๆ ที่ดูแลคอกสุกร “ผู้อาวุโส ผู้ซื้อจากโลกวิญญาณเหอเซี่ยซื้อสุกรผีเสื้อหยกไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือสุกรพ่อพันธุ์ตัวหนึ่ง งและแม่สุกรอุ้มท้องสองตัว พวกนี้เหลือไว้ทำพันธุ์ ขายให้ผู้อาวุโสไม่ได้”
“คร่อกๆๆ” สุกรผีเสื้อหยกตัวหนึ่งหาภรรยาพบในพุ่มไม้ หลังจากดมแล้วพบว่าอีกฝ่ายตั้งท้องก็ส่งเสียงคร่อกอย่างเดือดดาล จากนั้นหมุนตัวบินไปหาภรรยาอีกตัว
ถูกซื้อไปหมดจริงๆ แล้วด้วย จินเฟยเหยาวิ่งไปถามสถานที่อื่นๆ อีก นอกจากสุกรทำพันธุ์แล้วก็ไม่เหลือเลยสักตัว อีกทั้งคนเหล่านี้ยังปล่อยการป้องกันอันแข็งแกร่งเพื่อรักษาและค คุ้มครองสุกรทำพันธุ์ไว้อย่างแน่นหนา คิดจะขโมยก็ไม่ได้
“น่าโมโหแทบตาย!” จินเฟยเหยากลับคฤหาสน์อินอย่างเดือดดาล เห็นอินเยวี่ยที่ประชุมเสร็จกลับมาแล้วก็ด่าทอทันที
อินเยวี่ยได้ยินผู้ดูแลเล่าเรื่องนี้แล้วจึงยิ้มแย้ม “พวกเขาเพิ่งไปจากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นวันนี้ เจ้าไปปล้นพวกเขาระหว่างทางดีกว่า นอกจากหนังสุกรผีเสื้อหยกแล้ว ยังมีของดีๆ อย ย่างอื่นอีกมากมาย”
จินเฟยเหยากลอกตา “เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ ข้าเคยสอบถามแล้ว ในกลุ่มคนของโลกวิญญาณเหอเซี่ยมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเดินทางมาด้วย อีกทั้งยังไม่ได้มาเพียงคนเดียว ซื้อ อของมากมายขนาดนี้จะไม่พาคนมาคุ้มครองได้อย่างไร เจ้าหลอกใช้ข้าให้น้อยๆ หน่อย ข้าไม่ติดกับหรอก”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้ข้าจะส่งอัคคีเมฆากลับโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง ไปเป็นเพื่อนเจ้าปล้นชิงไม่ได้” อินเยวี่ยโบกไม้โบกมือ เอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เจ้ายังติดค้างกระดูกสัตว์ปิศาจขั้นเก้า คิดไม่ถึงว่าจะหนีกลับบ้านเก่า หนังสุกรผีเสื้อหยกหมดแล้ว ถ้าไม่ให้กระดูกสัตว์ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ” พอจินเฟยเหยาได้ฟัง ตนเองยุ่ง งอยู่ตั้งนานกลับไม่ได้อะไรเลย
แบบนี้ไม่ได้ เนื่องจากเรื่องครั้งที่แล้ว หวาหวั่นซีจึงไม่มีวัสดุดีๆ ในการสร้างร่างกายมาตลอด ตอนนี้มีแต่ศีรษะ ขอเพียงนำออกมาก็จะคำรามใส่ตนเองทั้งวัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวก กฮูหยินหวาและเสี่ยวหวั่น คนหนึ่งอาละวาดอยากจะเล่น อีกคนพูดเรื่องความจริงของชีวิตให้ตนเองฟัง มีเพียงเนี่ยนซีที่ยังถือว่ามีเมตตา แค่ใช้สายตาเศร้าสร้อยมองนางแล้วทอดถอนใจ ถ้ายังไม่สร้างร่างกายให้พวกนางอีก ตนเองคงรำคาญตาย
เห็นอินเยวี่ยไม่ส่งเสียง จินเฟยเหยาก็เริ่มใช้วิธีไร้ยางอาย เห็นชัดๆ ว่าอินเยวี่ยไม่เคยตอบตกลงเรื่องกระดูกสัตว์ปิศาจขั้นเก้า ตอนนี้จึงอาละวาดจนกลายเป็นความผิดของอินเยวี่ ย
อินเยวี่ยยิ้มแย้มมองนางอาละวาดอยู่นาน จึงเอ่ยว่า “โลกวิญญาณน้ำพุเหลืองมีสุสานมังกรแห่งหนึ่ง ในนั้นมีโครงกระดูกของมังกรปิศาจบรรพกาล ถ้าเจ้าต้องการก็ตามข้าไปเอาได้”
“จริงหรือ? วางอยู่ตรงนั้นแบบนี้ ทาสเฝ้าสมบัติอย่างเจ้ากลับไม่นำไปขาย?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างไม่เชื่อถือ
“ถึงร่างจะตายแล้ว วิญญาณกลับไม่ไปไหน มันไม่ให้ข้านำไป” อินเยวี่ยเอ่ยอย่างเสียดาย
“เจ้ารอข้าคำนวณสักครู่” จินเฟยเหยาเริ่มนับนิ้ว ไปโลกวิญญาณน้ำพุเหลืองเอากระดูกมังกรปิศาจก่อน จากนั้นค่อยไปปล้นหนังสุกรผีเสื้อหยกที่โลกวิญญาณเหอเซี่ย ระหว่างทางมีผู้บำ ำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเฝ้าสิ่งของ รอจนถึงโลกวิญญาณเหอเซี่ย การป้องกันต้องไม่เข้มงวดแน่ ขอเพียงตนเองขัดขวางพวกเขาไว้ระหว่างทางก็พอ เพียงแต่ในเรื่องเวลาจะทันหรือไม่?
ในเวลานี้เอง อินเยวี่ยพลันเอ่ยว่า “เดินทางจากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นกลับโลกวิญญาณเหอเซี่ยทางทะเล ถึงแม้ใช้เรือวิญญาณโทรมๆ แต่ไปกลับต้องใช้เวลาสองปี พวกเราไปเส้นทางของกระจก สภาพโลกวิญญาณ ครึ่งเดือนก็กลับถึงโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง จากนั้นใช้เวลาครึ่งปีก็สามารถเร่งรุดไปถึงโลกวิญญาณเหอเซี่ย เจ้าสามารถไปรอที่ท่าเรือสำนักฟ้าของพวกเขาได้”
จินเฟยเหยาจ้องมองอินเยวี่ย เอ่ยถามอย่างหมดวาจา “เจ้าเป็นพยาธิหรือ? ทำไมข้าเพิ่งคิด เจ้าก็รู้ว่าข้าคิดจะทำอะไร”
“นิสัยใจคอคล้ายๆ กัน ข้ารู้สึกว่าเจ้าต้องทำเรื่องแบบนี้แน่” อินเยวี่ยเม้มปากหัวเราะ
“เพราะเหตุใดจึงรู้สึกแบบนี้?” จินเฟยเหยายังไม่เข้าใจ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าศพแข็งทื่อจะเป็นเวทอ่านใจ
“สมัยข้าอยู่ขั้นกำเนิดใหม่ก็ทำเรื่องแบบนี้ประจำ ต่อมาโลกทัศน์กว้างขึ้น สิ่งของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงมาอีก” อินเยวี่ยอธิบาย
“อ้อ” จินเฟยเหยาพยักหน้า ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถ้าวางสิ่งที่นางเห็นเป็นของล้ำค่าสมัยขั้นสร้างฐานลงเบื้องหน้าในตอนนี้นางก็ไม่สนใจจะหยิบไป เดี๋ยวก่อน คำพูดนี้หมายความว่าอย่าง งไร นางเงยหน้าขึ้นตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี “เมื่อครู่ความหมายของเจ้าคือพลังบำเพ็ญเพียรของข้าต่ำเกินไป ขนาดขยะยังเห็นเป็นสิ่งล้ำค่าใช่หรือไม่!”
อินเยวี่ยหัวเราะหึๆ หมายความเช่นนี้จริงๆ
จากนั้นจินเฟยเหยาตัดสินใจไปเอากระดูกมังกรปิศาจที่โลกวิญญาณน้ำพุเหลืองก่อนแล้วค่อยไปโลกวิญญาณเหอเซี่ยปล้นชิงหนังสุกรผีเสื้อหยก คิดเสียเลิศลอย แต่ไม่ได้ครุ่นคิดว่ามังกร รปิศาจบรรพกาลจะยอมมอบกระดูกให้นางหรือไม่
ส่วนอินเยวี่ยเอ่ยอย่างช้าๆ “สำนักหลิงเถี่ยวเป็นสำนักระดับฟ้าของสมาพันธ์สำนักฟ้าของโลกวิญญาณเหอเซี่ย ท่านที่อยู่หลังภูเขาผู้นั้นกลับเป็นสมบัติล้ำค่าของทั้งโลกวิญญาณ พว วกเขาไม่เหมือนกับโลกวิญญาณอื่นๆ ระหว่างสำนักมิใช่ไร้ความสัมพันธ์ต่อกัน ทว่าทุกสำนักมีสมาพันธ์สำนักฟ้าสั่งการ แม้แต่เข้าสำนักใด หลังจากให้เจ้าตัดสินใจเลือกแล้วค่อยคัดเลือกคน นที่เหมาะสมเข้าสำนัก เป็นสถานที่ซึ่งผู้ฝึกบำเพ็ญคือฟ้าคนธรรมดาคือผู้รับใช้ เป็นโลกวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ขอเพียงโลกวิญญาณอื่นมีสิ่งของพวกเขาก็คิดจะทำให้ดียิ่งกว่า”
“สำนักเถี่ยวหลิง…ฮุ่นตุ้น” ความสนใจของจินเฟยเหยาทั้งหมดอยู่ที่ประโยคแรกของเขา เรื่องต่อมาเหล่านั้น นางไม่สนใจเลย ฟังไม่เข้าหูสักนิด
………………………………..
[1] น้ำขึ้นเรือลอยสูง หมายถึง ของสิ่งหนึ่งพึ่งพาของอีกสิ่งหนึ่งยกระดับขึ้นไปด้วย เช่น น้ำขึ้นเรือจึงลอยสูงขึ้นตามน้ำ