คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 352 หนึ่งคนหนึ่งโลก
หลังอินเยวี่ยจัดการธุระเสร็จสิ้นก็พาจินเฟยเหยาไปโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง ระยะทางขากลับสั้นกว่าขามา คนทั้งสองจึงมาถึงโลกวิญญาณน้ำพุเหลืองอย่างรวดเร็ว
ที่นี่คือโลกวิญญาณที่อินเยวี่ยอาศัยอยู่ จินเฟยเหยาเพิ่งเหยียบลงบนพื้นดินที่นี่ก็อยากจะหมุนตัวจากไปทันที
พื้นดินแตกระแหง เมืองที่ถูกทิ้งร้างไร้ผู้คน ต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวและโลกวิญญาณอันเงียบเหงา นี่คือโลกขยะ จินเฟยเหยานั่งอยู่บนพรมบินเหาะตามเขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทอดสายตามองไป สถานที่ที่พบเห็นไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่น้อย ไม่มีสัตว์ปิศาจ ไม่มีคนมีชีวิต ขนาดต้นหญ้าเล็กๆ ยังไม่มีสักต้น
“โลกวิญญาณแห่งนี้ในอดีตไม่ได้ชื่อว่าน้ำพุเหลืองสินะ” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้างจึงเอ่ยถามอย่างกะทันหัน
อินเยวี่ยมองไปยังที่ไกลๆ เอ่ยอย่างชืดชา “ไม่ได้ชื่อนี้ นี่คือชื่อที่เพิ่งเปลี่ยนในภายหลัง คนที่เปลี่ยนชื่อคือเจ้านายของกระจกสภาพโลกวิญญาณ เขาเห็นสถานที่แห่งนี้ราวกับแดนยมโลกจึงตั้งชื่อให้ใหม่”
“เมื่อก่อนชื่อว่าอะไร?” จินเฟยเหยาเอ่ยถาม
“โลกวิญญาณแดนเซียน ความหมายคือแดนเซียนบนพื้นพิภพ” อินเยวี่ยพึมพำตอบ
แดนเซียนบนพื้นพิภพ? จินเฟยเหยามองโลกวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอัปลักษณ์แห่งนี้ จินตนาการไม่ออกว่าในอดีตเป็นสถานที่เช่นไร
“เห็นร่องน้ำที่แห้งขอดเบื้องหน้าหรือไม่? ที่นั่นเมื่อก่อนเคยเป็นแม่น้ำ ลำน้ำใสแจ๋วมีปลากระโดดเป็นแม่น้ำที่งดงามที่สุดในโลกวิญญาณแดนเซียน แต่แห้งไปสี่พันปีแล้ว” อินเยวี่ยชี้พื้นที่เว้าเบื้องหน้าและบอกเบาๆ
จินเฟยเหยาขมวดคิ้วมองดูอยู่นาน มองไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็นร่องน้ำ ดูแล้วไม่แตกต่างอะไรจากสถานที่อื่นๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อินเยวี่ยก็ชี้ยอดเขาหัวโล้นที่ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นเบื้องหน้าอีกแล้วเอ่ยว่า “ที่นั่นเมื่อก่อนชื่อว่าภูเขาหลิวซิงมีปราณวิญญาณเข้มข้นเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมในการสร้างถ้ำเซียน มีผู้บำเพ็ญเซียนลงมือต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงถ้ำในนั้นเป็นประจำ”
จากนั้นเขาก็หัวเราะเย้ยหยันตนเอง “ตอนนี้ไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่นิดเดียว มอบให้ยังไม่มีใครต้องการ”
“ข้าได้ยินว่าโลกวิญญาณน้ำพุเหลืองไม่มีเผ่ามาร ทั้งหมดเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย และมาเข้าร่วมงานประชุมวิญญาณได้ด้วย” จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามเรื่องอื่น
“แค่ไปเดินผ่านเวทีตามสบายเท่านั้น หลักๆ คือเพื่อไปทำการค้า พวกเขากลัวพวกเราจะแพร่โรคระบาดไปถ้าไม่ให้พวกเราเข้าร่วม ถ้าไม่มีคนธรรมดาพวกเขาก็ไม่มีทางเพิ่มจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนได้” อินเยวี่ยเอ่ยราวกับไม่มีอะไร
“เมื่อสี่พันปีก่อนที่นี่ชื่อโลกวิญญาณแดนเซียน ได้ฟังเจ้าแนะนำแบบนี้ น่าจะเป็นโลกวิญญาณที่งดงามและมีปราณวิญญาณเข้มข้น เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
อินเยวี่ยนั่งบนพรมบินของนางและหันหน้ามายิ้มให้ “เพราะข้า โลกวิญญาณแดนเซียนจึงเปลี่ยนเป็นโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง”
“หา?”
“เมื่อสี่พันปีก่อน ข้ายังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ส่วนโลกวิญญาณแดนเซียนไม่มีเผ่ามารและไม่มีผู้ฝึกวิชามาร ทุกคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสำนักอันเที่ยงธรรม ปีนั้น ข้าถูกคนสังหาร หยวนอิงถูกดับชีพ ซากศพจมลงในแม่น้ำและถูกพัดพาไป จากนั้นก็ถูกน้ำซัดมาริมฝั่งร่วงลงใต้รากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ข้าคงจะเน่าเปื่อยกลายเป็นกระดูกและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโคลนในแม่น้ำ” อินเยวี่ยเล่าด้วยรอยยิ้ม สงบนิ่งราวกับเล่าเรื่องของคนอื่น
“น่าเสียดาย ข้าฟื้นขึ้นมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมันจึงเลือกข้า”
จินเฟยเหยาเดาออก มันที่เขาเอ่ยถึงน่าจะเป็นวิญญาณจริงของฮั่นป๋า นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดเทาเที่ยจึงเลือกนาง
อินเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา หวนนึกถึงเรื่องในยามนั้น
“ข้ารู้ว่าตนเองตายแล้ว แต่ข้ามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญเซียนชิงร่างก็สามารถคืนชีพได้คงไม่แปลกประหลาด ดังนั้นข้าจึงกลับไป ในสำนักยังมีอาจารย์ มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง ในโลกมนุษย์ยังมีคนในตระกูล ข้าคิดถึงพวกเขาจึงกลับไป ทว่า…” อินเยวี่ยหยุดเล่ากะทันหัน ราวกับนึกถึงเรื่องอะไร
จินเฟยเหยาเอ่ยต่อทันทีโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเขาสักนิด “พวกเขารับเรื่องชิงร่างไม่ได้ใช่หรือไม่ ยอมรับเจ้าที่ตายไปแล้วกลับเข้าสำนักไม่ได้ พวกเขาจึงไล่เจ้าไป”
“เจ้าพูดไม่รักษาน้ำใจกันเลยจริงๆ” นางทำให้อินเยวี่ยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกเขาไม่ได้ขับไล่ข้าไป พวกเขาคิดจะสังหารข้าแล้วเผาศพ ข้าฟื้นคืนชีพแบบนี้คือมารร้าย อีกทั้งทุกคนก็ไม่ฟังข้าอธิบาย บอกว่าข้าเป็นมาร”
“ตอนนั้นเจ้าคงเสียใจมากสินะ มีชีวิตก็เพื่อมาหาพวกเขา พวกเขากลับจะเผาเจ้าให้ตาย” จินเฟยเหยาพยักหน้าราวกับเข้าใจอย่างยิ่ง
“ข้าหนีออกมาได้อย่างยากเย็นและเกือบจะสูญเสียชีวิตที่ได้รับมาอีกครั้ง ทว่าเลือดสกปรกของข้าหยดลงบนพื้นทำให้เกิดโรคระบาด” อินเยวี่ยหรี่ตาย้อนนึกถึงเรื่องในตอนนั้น
ที่นั่นถูกโลหิตของเขาเหนี่ยวนำให้เกิดโรคระบาดจนกระทั่งแผ่ขยายไปทั่วโลกวิญญาณ คนธรรมดาล้มลงคนแล้วคนเล่า แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำก็หนีโรคระบาดของฮั่นป๋าไม่พ้น คนธรรมดาตายหมด ผู้บำเพ็ญเซียนระดับต่ำมีชีวิตอยู่ก็เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ความตายเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
สำนักใหญ่แต่ละแห่งตกตะลึงเป็นล้นพ้น ส่งคนออกมาค้นหาสาเหตุ ในที่สุดก็พบว่าเขาทำให้เกิดโรคระบาด ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดจึงร่วมมือกัน มีสำนักที่อินเยวี่ยอยู่เป็นผู้นำไปล้อมสังหารเขา
ตอนนั้นเขาเป็นเพียงซากศพแข็งทื่อที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ จะสู้การล้อมปราบของทั้งโลกได้อย่างไร นั่นเป็นการล่าสังหารที่ทำให้คนสิ้นหวัง ในตอนสุดท้าย วิญญาณจริงของฮั่นป๋าก็ปรากฏตัวขึ้นคุ้มครองเขา จนถึงตอนนี้อินเยวี่ยยังจำภาพในยามนั้นได้
ผู้บำเพ็ญเซียนล้มลงเบื้องหน้าเขาทีละคน แม่น้ำแห้งเหือด ต้นไม้แห้งเหี่ยว หลังจากฮั่นป๋าหายไป เขาก็เดินอยู่ในโลกวิญญาณอย่างไร้จุดหมายโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ว่าเดินไปถึงที่ใด ถ้าโลหิตบนร่างเขาร่วงลงพื้น ที่นั่นก็จะเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
โลกวิญญาณแดนเซียนที่มีเสียงวิหคขับขานและกลิ่นหอมของมวลบุปผากลายเป็นดินแดนแห่งความตาย คนทั้งหมดตายเกลี้ยง พืชพรรณแห้งเหี่ยว ขนาดแม่น้ำยังไม่เหลือน้ำสักหยด ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนี้ ปราณวิญญาณเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งโลกวิญญาณแดนเซียนเหลือเพียงอินเยวี่ยคนเดียว และยังมีซากศพและวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมนับพันนับหมื่น
อินเยวี่ยใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง ไม่มีใครพูดด้วย ขนาดสัตว์ภูติสักตัวก็ยังไม่มี ในขณะที่เขาคิดจะจบทำลายซากศพของตนเอง ไม่ยอมมีชีวิตอยู่ต่อไป คนผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้น
เขาให้เคล็ดวิชาอินเยวี่ย ทั้งยังหยอกล้อตั้งชื่อโลกวิญญาณแดนเซียนเป็นโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง ถึงกับบอกวิธีทำให้โลกวิญญาณน้ำพุเหลืองเปลี่ยนเป็นโลกวิญญาณแดนเซียนอีกครั้งกับเขาอย่างมีเจตนาร้าย จากนั้นเขาก็ทิ้งอินเยวี่ย และกระจกสภาพโลกวิญญาณไว้ จากนั้นก็หายตัวไป
ไม่รู้ว่าจุดกำเนิดของกระจกสภาพโลกวิญญาณคือที่ใด แต่สถานที่สิ้นสุดคือโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง จินเฟยเหยามองอินเยวี่ยอย่างหมดวาจา พลันนึกขึ้นได้ ยังมีคนไปเข้าร่วมงานประชุมวิญญาณมิใช่หรือ คนเหล่านี้มาจากที่ใด คนของโลกวิญญาณน้ำพุเหลืองตายหมดแล้วมิใช่หรือ?
รู้สึกได้ถึงแววตาสงสัยของจินเฟยเหยา อินเยวี่ยจึงยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ใช่ เคล็ดวิชาที่ผู้อาวุโสท่านนั้นมอบให้ข้าคือฝึกวิญญาณหลอมศพ ต่อมาข้าก็ค้นพบเคล็ดวิชาด้านนี้อีกไม่น้อย ตอนนี้โลกวิญญาณน้ำพุเหลืองจึงมีทางรอด”
“ความหมายของเจ้าคือ เจ้าหลอมศพให้เป็นคนมีชีวิต ให้พวกเขาก่อตั้งสำนักและส่งไปเปิดร้านทั่วทุกแห่งหน?” จินเฟยเหยาตกตะลึงสุดขีด ต้องหลอมศพแข็งทื่อจนมีสภาพเช่นไรจึงไม่เกรงกลัวแสงอาทิตย์ ทั้งยังสามารถครุ่นคิดและเปิดร้านได้เอง จะว่าไป ผู้ดูแลร้านในโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นก็เป็นศพแข็งทื่อ ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่หัวไวพวกนั้นตอนอยู่โลกวิญญาณหนานเฟิงก็เป็นคนตายด้วย?
อินเยวี่ยพยักหน้าและเอ่ยยอมรับ “ใช่ ข้าหลอมพวกเขาให้กลายเป็นศพปิศาจ จากนั้นนำจิตวิญญาณดั้งเดิมจากโลกวิญญาณภายนอกมาลบความทรงจำทั้งหมด จากนั้นใส่จิตวิญญาณดั้งเดิมลงในศพปิศาจก็จะกลายเป็นคนที่มีชีวิต อีกทั้งหลังจากที่นี่กลายเป็นโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง เจ้าเป็นคนมีชีวิตคนที่สองที่มาเหยียบที่นี่ คนแรกเป็นผู้อาวุโสไม่ทราบชื่อท่านนั้น ข้าต้องพาเจ้าไปเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานแน่นอน”
“เรื่องนี้ไม่รบกวนหรอก ไปเอากระดูกมังกรปิศาจแต่เนิ่นๆ ดีกว่า จะได้ไปปล้นหนังสุกรผีเสื้อหยกที่โลกวิญญาณเหอเซี่ยเร็วๆ” ถ้าต้องอาศัยอยู่ที่นี่กับซากศพกองใหญ่หลายวัน จินเฟยเหยาก็รู้สึกสมองพองโต
ทันใดนั้น นางพลันนึกถึงปัญหาร้ายแรงขึ้นได้ ถ้าพืชพรรณที่นี่ถูกพิษตายหมด ผลน้ำค้างแข็งที่เก็บหลังภูเขาซึ่งตนเองได้จากมือเขาคือสิ่งใด!
นางมองอินเยวี่ยอย่างมีความหวัง “ผลน้ำค้างแข็งถือกำเนิดจากที่ใด?”
“ผลน้ำค้างแข็ง? พวกนั้นเป็นผลเชื้อราที่เกิดบนศพพันปีหลังภูเขา ข้าได้เชื้อราเหล่านั้นมาจากที่อื่นอย่างยากลำบาก ถือว่าทำให้โลกวิญญาณน้ำพุเหลืองมีพืชพรรณขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ยังไม่งอกบนดินดังเดิม ได้แต่ปลูกลงบนศพเน่าเปื่อย แต่ครั้งนี้นำอัคคีเมฆากลับมาแล้ว น่าจะสร้างพื้นดินปกติออกมาได้สักผืน” อินเยวี่ยทำลายความหวังของนางเป็นผุยผงทันที ผลน้ำค้างแข็งไม่ได้ปลูกในสถานที่ปกติจริงๆ ด้วย
จินเฟยเหยาเบือนหน้าไป ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี ได้แต่ยินดีที่ปกติไม่มีอะไรทำตนเองก็กินพวกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นวันนี้ได้ยินความเป็นมาของผลน้ำค้างแข็งกะทันหัน ต้องรับไม่ได้แน่ๆ โชคดีที่เคยฝึกมา
“ดูสิ ทางนั้นคือต้นผลน้ำค้างแข็ง” ทันใดนั้น อินเยวี่ยก็ชี้ไปที่สิ่งของสีฟ้าดำแถบหนึ่งเบื้องหน้า
จินเฟยเหยาจ้องเขม็ง นั่นเป็นศพแห้งหลายพันศพที่ตั้งอยู่บนพื้นดินแตกระแหงอย่างเป็นระเบียบ ทั่วร่างเต็มไปด้วยสีฟ้าดำ บนนั้นมีพืชสีฟ้าราวกับหญ้าส่องประกายแวววาว มีผลน้ำค้างแข็งที่โปร่งใสงอกอยู่ท่ามกลางพืชเหล่านั้น ในป่าศพแห่งนี้ยังมีโครงกระดูกคนนับร้อยกำลังหิ้วตะกร้าเก็บผลน้ำค้างแข็ง มองลงไปจากกลางอากาศ ภาพนี้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ คนปกติมาถึงที่นี่คงกลัวจนปัสสาวะราด
ไม่ต้องให้นางถาม อินเยวี่ยก็เริ่มอธิบายให้นางฟังช้าๆ “ผลน้ำค้างแข็งเหล่านี้มีประสิทธิผลเทียบเท่ายาของเผ่ามนุษย์ต่อบรรดาศพ ทั้งยังสะดวกกว่ายามาก คืองอกออกมาโดยตรง ลูกน้องข้ามีเกือบหนึ่งแสนศพ ปริมาณที่กินในแต่ละวันมหาศาล ดังนั้นจึงต้องปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ นอกจากผลน้ำค้างแข็ง ยังมีพืชที่เป็นหยินอื่นๆ อีก ขอเพียงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญของศพ ข้าก็จะหาวิธีนำกลับมา”
หนึ่งแสนศพ…
จินเฟยเหยาจุปาก เจ้าหมอนี่เป็นราชันศพจริงๆ ด้วย ถ้าพาศพหนึ่งแสนศพออกไป นี่คือกองทัพที่ไม่กลัวความตาย พังแล้วก็หยิบซากศพหลอมออกมาอีก ถ้าเขามีเวลาก็เป็นไปได้ว่าจะทำกองทัพล้านศพออกมา
เหาะในโลกวิญญาณที่ยิ่งเข้าไปข้างในก็ยิ่งน่ากลัวเป็นเวลาสิบกว่าวัน ในที่สุดก็ถึงรังเก่าของอินเยวี่ย สำนักหุยชุน[1] สำนักแห่งเดียวในโลกวิญญาณน้ำพุเหลือง
สำนักหุยชุน...จินเฟยเหยามุมปากกระตุก เจ้าอินเยวี่ยรสนิยมแย่เกินไปแล้ว
…………………………………
[1] หุยชุน หมายถึง ทำให้มีชีวิตอีกครั้ง