คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 353 กินเรียบทุกอย่าง
สำนักหุยชุนตั้งอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง ขุดบนผนังผาสร้างเป็นถ้ำอย่างหนาแน่นราวกับสุสานที่เรียงเป็นแถว ตามหน้าผายังขุดเป็นเส้นทางภูเขา เนื่องจากต้นไม้ที่นี่เหี่ยวแห้งหมด คิดจะใช้ไม้สร้างอาคารก็ไม่ได้ ถ้าจะเผาอิฐสร้างอาคาร มิสู้ขุดถ้ำอาศัยจะสะดวกกว่า
เวลานี้ผีดิบจำนวนมากเดินออกมาจากถ้ำ เห็นอินเยวี่ยอยู่กลางอากาศก็ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงว่า “ศิษย์มาต้อนรับซือจู่”
“พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปหลังภูเขาสักครา” อินเยวี่ยโบกมือไล่คนเหล่านี้และนำจินเฟยเหยาไปด้านหลังภูเขา
“เมื่อครู่คนที่ออกมาต้อนรับเจ้าทั้งหมดเป็นขั้นหลอมรวม ถึงรอบกายจะมีไอสีดำแวดล้อมแต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นศพ เคล็ดวิชาที่เจ้าได้มาร้ายกาจจริงๆ มีศพที่หลอมขึ้นฝึกวิชาชั่ว วร้าย เดินไปเนื้อหลุดไป น่าขำสุดๆ” จินเฟยเหยาตบบ่าพั่งจื่อแล้วเอ่ยยิ้มๆ
สถานที่อันงดงามแบบนี้ย่อมไม่อาจรื่นรมย์คนเดียวตามนิสัยของจินเฟยเหยา ดังนั้นพั่งจื่อจึงกลับเข้าถุงสัตว์ภูติไม่ได้ ตอนนี้พลังการบำเพ็ญเพียรยิ่งสูงพั่งจื่อยิ่งไม่ยอมออกจาก กถุงสัตว์ภูติมาในสถานการณ์แบบนี้ ได้แต่ถอนใจที่ตนเองในอดีตอายุเยาว์ไม่รู้ความ ไม่มีอะไรก็แล่นออกมาข้างนอก ชอบความประทับใจที่ได้อยู่ข้างนอก นี่คือข้ออ้างที่ถูกจินเฟยเ เหยาใช้ตอนทรมาน
ครั้งนี้มาหากระดูกมังกรปิศาจบรรพกาล จินเฟยเหยาต้องนำมันไปแนวหน้าอีกแน่ น่าชังจริงๆ
จินเฟยเหยาลูบมุกล้ำค่าบนหัวพั่งจื่อ หัวเราะหึๆ เอ่ยว่า “พั่งจื่อ ที่นี่ทั้งหมดเป็นพิษ พอดีจะได้ดูว่าเจ้าจะยกระดับการโจมตีด้วยพิษได้หรือไม่ เรียนรู้เพิ่มสักหน่อย ต่อไป ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว”
พั่งจื่อกลอกตาและถลึงตาใส่นาง เพื่อกระดูกมังกรปิศาจชัดๆ กลัวถูกพิษก็ยังจะตามมา ทั้งยังนำตนเองออกมาทดสอบพิษ ตอนนี้ยังบอกว่าเรียนรู้เรื่องพิษสักหน่อย สักวันจะเอาพิษไปล ลูบบนขนมที่นางกินให้นางโดนพิษสักหลายวัน
“สหายเซียนอิน ไปหลังภูเขาทำไม? ไม่ต้องเก็บผลน้ำค้างแข็งมารับรองข้าหรอก ตอนนี้ข้ายังอิ่มอยู่” จินเฟยเหยาเอ่ยถาม นางจำได้ก่อนหน้านี้อินเยวี่ยเคยบอกว่า ผลน้ำค้างแข็งที่ เขาพกพาเด็ดมาจากหลังภูเขา ถ้าไม่รู้เรื่องยังกินได้ ตอนนี้เห็นสภาพการเจริญเติบโตแล้ว ถึงให้นางกินอีกก็ไม่อยากกิน
อินเยวี่ยตอบอย่างยิ้มแย้ม “มังกรปิศาจบรรพกาลก็อยู่หลังภูเขา สหายเซียนจินอยากเจอมังกรปิศาจเร็วๆ แล้วหยิบกระดูกไปมิใช่หรือ ดังนั้นข้าจึงพาเจ้ามาดูก่อน”
“ดีสิ แบบนี้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นอยู่รบกวนในที่พักของเจ้ามากเกินไปก็เกรงใจ” พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็ยินดี เงยหน้าขึ้นมองไปทางหลังภูเขา สิ่งที่เข้าสู่สายตายังเป็นป่าซากศพอั นหนาแน่น มองนานไปก็เคยชิน บางครั้งยังรู้สึกว่าผลน้ำค้างแข็งที่ห้อยอยู่บนซากศพน่ามองจริงๆ
บินผ่านป่าศพผืนใหญ่ บนภูเขามีหลุมขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น ด้านในมีกระดูกมังกรกองหนึ่งนอนอยู่อย่างกำเริบเสิบสาน กระดูกมังกรนี้ยังจัดวางตามลักษณะของมังกรอย่างจริงจัง แบบหัว เป็นหัวหางเป็นหาง กระดูกขาวโพลนที่นอนอยู่ที่นี่แผ่กลิ่นอายแห่งบรรพกาลออกมา
เป็นของดีจริงๆ ดวงตาจินเฟยเหยากวาดมองบนกระดูกมังกร ของสิ่งนี้น่าจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“มังกรปิศาจตัวนี้ขุดออกมาตอนขุดถ้ำ พอออกมาก็ร่ำร้องว่าจะกินคน น่าเสียดายที่นี่ไม่มีเนื้อสดสักชิ้น มันร่ำร้องอยู่หลายปีเห็นว่าไม่มีหวังจึงหยุด” อินเยวี่ยอธิบายให้จินเฟ ฟยเหยาฟังก่อน
“หืม?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน เหตุใดคำพูดนี้จึงฟังดูมีปัญหา มังกรปิศาจอยากจะกินคน แต่ที่นี่ไม่มีเนื้อสดๆ แต่ตอนนี้ตนเองคือเนื้อสดๆ มิใช่หรือ?
“หึหึ ดูเจ้ากลัวเข้าสิ” อินเยวี่ยเม้มปากหัวเราะ “เจ้าไม่คิดดูบ้าง มังกรปิศาจมีเพียงวิญญาณ ถึงคิดจะกินเนื้อคน เขาก็ไม่มีทางกัดได้ แค่อาละวาดเพราะความเคยชินในอดีตเท่านั้น ตายแล้วยังจำอาหารได้”
“เพราะเหตุใดมังกรตัวนั้นจึงไม่ให้เจ้านำกระดูกของเขาไป?” จินเฟยเหยาเหล่มองและเอ่ยถามถึงปัญหานี้
“เขาบอกว่าข้าไม่ใช่คนที่เขารอคอย กลิ่นอายเข่นฆ่าบนร่างไม่เพียงพอ ไม่มีคุณสมบัติจะใช้กระดูกของเขา” อินเยวี่ยมองนางแล้วยิ้มอย่างจนปัญญา
“มังกรอะไรกัน กลิ่นอายเข่นฆ่าบนร่างเจ้ายังไม่เพียงพออีกหรือ? เจ้าสังหารคนมามากมายเพียงใด คิดไม่ถึงว่าคุณสมบัติยังไม่ถึงความต้องการของเขาอีก” จินเฟยเหยาเพิ่งเอ่ยจบอย่างต ตกตะลึง พลันนึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง ชี้เขาพลางเอ่ยถามว่า “สหายเซียนอิน เจ้าพาข้ามาที่นี่คงไม่ใช่เพราะข้าสังหารคนมามากมาย ดังนั้นจึงรู้สึกว่ามังกรอาจจะชอบหรอกนะ?”
อินเยวี่ยพยักหน้าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “ใช่ ข้าคิดมาตลอดว่าเพราะเหตุใดเขาจึงไม่ยอมให้ข้านำกระดูกมังกรไป อาจจะเป็นเพราะคนที่ข้าสังหารอเนจอนาถไม่เพียงพอ หลังจากเจอเจ้า ข้า ารู้สึกว่าแต่ละครั้งที่สหายเซียนจินลงมือ อีกฝ่ายแทบจะไม่เหลือซากศพครบส่วน อีกทั้งเจ้ายังเคยกินคนมากมายร้ายกาจกว่าข้าอีก คิดไปคิดมาอย่างเจ้าน่าจะเป็นคนที่มีกลิ่นอายเข่ นฆ่าทั่วร่าง”
“ดูพูดเข้า คนที่เจ้าสังหารก็ไม่ได้ตายดีมากนักหรอก” จินเฟยเหยาไม่พอใจ นี่ถือเป็นคำชมหรือ? นี่คือยกย่องสินะ! เหตุใดจึงฟังดูเหมือนกำลังบอกว่านางกักขฬะ
“กระดูกมังกรดียิ่งนัก ใช้หลอมของวิเศษอย่างน้อยที่สุดต้องได้ของชั้นยอด ถ้าบวกกับของดีๆ อย่างอื่นอีก ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถึงของวิเศษขั้นเทพ” อินเยวี่ยคุยโวอย่างยิ้มแย้ม ถ้าจินเฟยเหยาได้กระดูกมังกรจริงๆ ตนเองก็สามารถขอซื้อจากนางได้ ถึงอย่างไรนางคงใช้มังกรตัวใหญ่ขนาดนั้นไม่หมด
แต่จินเฟยเหยาครุ่นคิดดูรู้สึกว่ามีปัญหาอยู่บ้าง “กระดูกของเขาวางอยู่ตรงนั้น มีเพียงวิญญาณเท่านั้นหรือ เจ้าแบกไปสักหลายท่อนเขาก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ ทำไมต้องเกรงใจเขาขนา าดนี้ด้วย”
“ไหนเลยง่ายดายอย่างที่เจ้าว่า เจ้าดูเอาเองเถอะ” อินเยวี่ยเอ่ยจบก็ชี้ไปที่มังกรปิศาจ
พอจินเฟยเหยามองก็เห็นกระดูกกองนั้นยกขึ้นมากะทันหัน มองซ้ายมองขวาราวกับมีชีวิต ทั้งยังหาวหวอด จากนั้นก็มองพวกเขาเดินมาทางนี้อย่างเกียจคร้าน เสียงดังสนั่นไม่รู้ว่าดั งมาจากที่ใด “เจ้าหนู ยังไม่ตัดใจอีกหรือ?”
จินเฟยเหยาเห็นวิญญาณพูดได้มามาก ทว่าไม่เคยเห็นกระดูกมังกรล้วนกระจายเกลื่อนพื้นกลับยังมีชีวิตอยู่มาก่อน แม้แต่ลูกน้องของอินเยวี่ยที่เป็นโครงกระดูกเก็บผลน้ำค้างแข็งพวก กนั้น ตรงข้อต่อก็ต้องใช้สิ่งของหลอมสร้างให้ติดกัน ไม่เช่นนั้นจะร่วงกระจายเกลื่อนพื้น ทำอะไรไม่ได้
อีกทั้งมันเพียงแค่เอ่ยวาจา จินเฟยเหยาก็รู้สึกถึงไอปิศาจที่ทำให้คนหวาดกลัว นางอดคิดไม่ได้ ตอนที่เจ้านี่มีชีวิตอยู่ต้องกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แน่ ไม่แน่ว่าเป็นคนเผ่าปิ ศาจ เพียงแต่เหตุใดจึงโชคร้ายถูกคนสังหารตายที่นี่
หากมิใช่อินเยวี่ยขุดถ้ำอาศัยก็ไม่รู้ว่าเจ้านี่จะได้โผล่หัวออกมาเมื่อใด เหลือเพียงโครงกระดูกยังมีอานุภาพมากขนาดนี้ มิน่าเล่าอินเยวี่ยอยู่ขั้นว่างเปล่า ยังไม่มีความสามารถ จะนำกระดูกจากร่างของเขาไปได้
“ผู้อาวุโส ท่านเห็นว่าสหายของข้าคนนี้เป็นอย่างไร สามารถช่วยเหลือท่านได้หรือไม่?” อินเยวี่ยฉุดดึงจินเฟยเหยาเบาๆ ทั้งสองคนหยุดอยู่ข้างหลุมมังกร
“หืม?” มังกรปิศาจยกหัวเข้ามาใกล้จินเฟยเหยา ไม่มีลูกตาชัดๆ ยังใช้เบ้าตาอันว่างเปล่ามองดูนางอย่างละเอียด
“อ้อ…ที่แท้เป็นเจ้าโง่เทาเที่ย ไปเล่นข้างๆ ไป” มังกรปิศาจนอนลงอีกครั้งอย่างผิดหวังและส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน
จินเฟยเหยามีโทสะแทบตาย ท่าทางนี่มันอะไรกัน ด่าตนเองว่าโง่ก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่ายังดูแคลนขนาดนี้ มังกรที่ตายจนเหลือแค่วิญญาณอย่างเจ้า มีอะไรน่าหยิ่งทะนงกัน
ยากนักที่นางจะมีโทสะจนเป็นแบบนี้ อินเยวี่ยจึงรีบเอ่ยโน้มน้าว “ผู้อาวุโส ท่านไม่จำเป็นต้องพูดแบบนี้ เทาเที่ยก็เป็นหนึ่งในสี่สัตว์ร้าย อีกทั้งคนที่นางกินก็มีมากมาย กลิ่น นอายเข่นฆ่าน่าจะเพียงพอดึงเข็มสยบปิศาจบนกระดูกหางของท่านออกได้”
ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของจินเฟยเหยาก็เหล่มองส่วนหางของมังกรปิศาจ บนกระดูกมังกรที่เล็กที่สุดชิ้นนั้นมีเข็มเล็กละเอียดยาวหนึ่งนิ้วมือหนึ่งเล่ม เข็มอันเล็กแค่นี้ปักตรึ งกระดูกสัตว์ปิศาจที่บ้าระห่ำไว้บนพื้น
“เขาหยามเกียรติข้าแบบนี้ ต่อให้ข้าสามารถดึงออกมาได้ข้าก็ไม่ช่วยหรอก ถ้าปล่อยเจ้าหมอนี่ออกมาผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรหรือไม่ ในเมื่อบ้าระห่ำขนาดนี้ก็ให ห้เขาหาวิธีเอาเองแล้วกัน” จินเฟยเหยาที่ได้โอกาสมาอย่างยากเย็นยกมือกอดอกด้วยสีหน้าดูแคลน
“ฮึ” มังกรปิศาจไม่ให้โอกาสนางกระหยิ่มใจ หลังจากส่งเสียงขึ้นจมูกก็โจมตีนางอย่างต่อเนื่อง “เดิมทีเทาเที่ยก็โง่อยู่แล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครกินก้นของตนเองหมดอย่างเบิกบาน ถึง งต่อมาจะคายออกมา ทว่าก็กลายเป็นเรื่องขำขันในหมู่สัตว์ปิศาจไปนานแล้ว ปากใหญ่ไร้สมอง มีของกินหน่อยก็ลืมทุกอย่าง อีกทั้งนิสัยโง่เขลา นั่งกินอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งมทั้งวัน ไ ไม่โง่แล้วเรียกว่าอะไร!”
“เจ้า!” จินเฟยเหยามีโทสะจนใบหน้าใกล้จะเขียวคล้ำ แต่กลับเถียงไม่ออก ใครให้สิ่งที่ผู้อื่นพูดเป็นความจริงทั้งหมดเล่า แต่เรื่องเหล่านี้เทาเที่ยเป็นคนทำเอง นางเพียงยึดครอง งวิญญาณจริงน้อยนิดเท่านั้น เรื่องน่าอับอายแบบนี้ไม่น่าจะนับนางเข้าไปด้วย
แต่พอคิดอีกที นอกจากกินก้นของตนเอง จินเฟยเหยายังหาข้อแตกต่างจากตนเองไม่ได้ ฟังจากน้ำเสียงของมังกรปิศาจราวกับเคยเล่นกับเทาเที่ยสมัยบรรพกาล เจ้าหมอนี่ต้องดูแคลนเทาเท ที่ยแน่ หรือว่าเป็นชิงหลงหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์?
คิดถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “หลายวันก่อนมีเจ้าตัวที่ชื่อจูเชวี่ยถูกข้าดึงขนจนเกลี้ยง หนีไปเหมือนไก่ถูกโดนถอนขนไม่มีผิด”
มังกรปิศาจพลันชะงักไป เอียงศีรษะไปจ้องมองจินเฟยเหยา ถึงจะไม่มีดวงตา ทว่ายังจ้องมองจนนางขนลุก ปากยังพยายามเอ่ยอย่างห้าวหาญ “จ้องมองข้าทำไม ข้ามีหลักฐาน นี่คือขนของมัน”
ว่าแล้วนางก็เอาขนของจูเชวี่ยออกมาอวดและส่ายไหวเบื้องหน้ามังกรปิศาจ
มังกรปิศาจพลันเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะจนผืนฟ้าและแผ่นดินสะท้านสะเทือน หัวเราะจนกระดูกทั่วร่างของเขาสั่นไหวไม่หยุด หัวเราะพลางด่าทอ “เจ้าโง่จูเชวี่ย คิดไม่ถึงว่าจะให้เท ทาเที่ยดึงขนบนร่าง ไม่รู้ว่าตาของมันบอดหรือไม่เหตุใดจึงเลือกสิงร่างคนที่ไร้ความสามารถแบบนั้น เรื่องนี้ต้องแพร่ออกไปแน่นอน ดูสิว่าต่อไปมันจะเอาหน้าอันหยิ่งผยองไปวางไ ไว้ที่ใด น่าขำแทบตายแล้ว”
จินเฟยเหยาอยากจะพูดอย่างยิ่ง ถูกขังอยู่ในนี้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ยังมีหน้าไปหัวเราะจูเชวี่ยอีก ถึงอย่างไรผู้อื่นก็วิ่งหนีอยู่ภายนอก ไม่เหมือนเจ้าที่ถูกขังให้ดูคนตายทุกว วันอยู่ที่นี่
หืม? จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ถ้าวิญญาณจริงถูกเผ่าปิศาจปล่อยออกมาอย่างที่จูเชวี่ยว่าไว้ แล้วมังกรปิศาจตัวนี้มันเรื่องอะไรกัน? ตัวอื่นล้วนเป็นเพียงวิญญ ญาณจริงน้อยนิด มันกลับเป็นวิญญาณที่ครบสมบูรณ์และไม่ได้ปล่อยวิญญาณจริงออกไป ไม่ถูกต้อง!