คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 357 โลกวิญญาณเหอเซี่ย
จินเฟยเหยาเหล่มองเขา เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเมื่อก่อนข้าเลวร้ายมาก?”
“เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้ายากจนขนาดนี้ มีสิ่งของล้ำค่ากลับไม่นำมาแลกเงิน” ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ
“เจ้านึกว่าข้าไม่อยากขายหรือ ข้าเพียงจัดการแทนผู้อื่นเท่านั้น” จินเฟยเหยาเบ้ปาก ถ้านำมาขายได้ ขายคนละฉบับเพียงหนึ่งศิลาวิญญาณชั้นกลางก็ทำเงินได้มากมาย
ปู้จื้อโหยวจึงถามตรงๆ “เจ้ารับรางวัลมาเท่าใดจึงช่วยผู้อื่นทำเรื่องนี้?”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” จินเฟยเหยาเบิกตาโตมองดูเขาแล้วตบโต๊ะตะโกนทันทีราวกับนึกเรื่องอะไรขึ้นได้ “แย่แล้ว! ตอนนั้นข้าลืมขอรางวัล ยังไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย ทำไมข้าถึงลืมไ ได้นะ ดูเหมือนจะรีบไปดังนั้นจึงไม่ได้คิด”
“ยายโง่” เห็นท่าทางหงุดหงิดของนาง ปู้จื้อโหยวหัวเราะอย่างเบิกบาน
หลังถูกจินเฟยเหยาถลึงตาใส่อย่างรุนแรงหลายครั้ง เขาจึงกลั้นหัวเราะ ตบกระจกสภาพโลกวิญญาณพลางเอ่ยถาม “เจ้าคิดจะส่งออกไปอย่างไร ทำเป็นแผนที่กระดาษหนังแผ่นหนึ่งแทรกไว้ในซื่ อเต้าจิงหรือทำเป็นป้ายหยกส่งให้ฟรี ถ้าจะใช้ป้ายหยก ข้าต้องเก็บค่าป้ายหยก ปริมาณที่ส่งออกไปไม่ใช่น้อยๆ ถ้ากระดาษหนังก็ไม่คิดศิลาวิญญาณเจ้า”
ได้ยินว่าต้องควักกระเป๋าเอง จินเฟยเหยาก็เอ่ยด้วยสีหน้าทะเล้น “ทำไมไม่วาดลงในซื่อเต้าจิงโดยตรง จะได้ประหยัดศิลาวิญญาณทั้งยังเด่นสะดุดตา”
ปู้จื้อโหยวหยิบซื่อเต้าจิงแผ่นหนึ่งมาสั่น “นี่คือกระดาษธรรมดา แค่หนากว่าที่คนธรรมดาใช้นิดหน่อย ถ้าวาดลงไปโดยตรง เจอน้ำแล้วเละไม่ว่า ถ้าไม่ระวังก็จะฉีกขาด เจ้าคงไม่คิด จะให้ผู้อื่นส่งๆ จึงคิดจะใช้กระดาษฟางทำให้พ้นๆ ไปหรอกนะ!”
จินเฟยเหยาพูดไม่ออก หรือว่าต้องใช้ป้ายหยกหรือกระดาษหนังจริงๆ? ช่างเถอะ กระดาษหนังดีกว่า ถ้าไม่เพียงพอ ตนเองยังมีหนังสัตว์ขยะมากมายนำออกมาให้พวกเขาวาดแผนที่ได้
“กระดาษหนังก็กระดาษหนัง ฝืนใช้หน่อยก็พอ” นางทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ปู้จื้อโหยวถือกระจกสภาพโลกวิญญาณมองบนนั้นอย่างสงสัย ตำแหน่งของโลกวิญญาณหลายสิบแห่งนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง สถานที่บางแห่งก็ไม่เคยได้ยิน เมื่อเห็นว่ามีแม้แต่โลกระดับเทพ เ เขาก็อดร้องเอ๋ไม่ได้
“มีอะไรไม่ถูกต้อง?” จินเฟยเหยาเอียงหน้าเอ่ยถามอย่างสงสัย
ปู้จื้อโหยวกลับวางกระจกสภาพโลกวิญญาณลง ชี้โลกระดับเทพด้านบนพลางเอ่ยว่า “โลกวิญญาณเหล่านี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ แต่แผนที่ของโลกระดับเทพกลับมิใช่ความลับ ผู้บำเ เพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตและขั้นว่างเปล่าเหล่านี้ล้วนทำแผนที่ของโลกระดับเทพแบบนี้ฉบับหนึ่งเพื่อให้สะดวกในการค้นหาวัตถุดิบสายฟ้า”
“ไม่จริงน่า หมายความว่าที่จริงทุกคนสามารถไปได้ตามใจชอบ เพียงแต่ไปเส้นทางที่ไปคือเส้นทางของโลกระดับเทพ?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน หมายความว่าตนเองจะเผยแพร่แผนที่ออกไปหรือไม่ อิน เยวี่ยก็สามารถวิ่งไปยังสถานที่อื่นได้ผ่านทางโลกระดับเทพ
“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เส้นทางที่พวกเขาไปคือเส้นทางของโลกระดับเทพ แต่ไม่มีแผนที่ของโลกระดับวิญญาณ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในโลกระดับเทพ และไม่ใช่โลกระดับเทพทั้งหมดจะอยู่ บนโลกระดับวิญญาณ ด้านล่างเป็นทะเลหรูเมิ่งก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าออกจากโลกระดับเทพลงมาเหาะบนทะเลเอง ไม่เพียงหาเส้นทางไม่เจอยังอาจจะพบคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นนี้ตายอ อยู่ในทะเลได้ เผ่าปิศาจมีอยู่ทุกแห่งหน” ปู้จื้อโหยวเห็นนางเข้าใจผิดจึงอธิบาย
จากนั้นเขาก็เอ่ยเบาๆ กับตนเองว่า “ถ้านำของสิ่งนี้ออกมาเร็วหน่อย ใต้เท้าหลงคงไม่ต้องออกจากโลกระดับเทพไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์”
จินเฟยเหยาหูไวได้ยินเข้า ไม่ได้อ้าปากสอบถามว่าใต้เท้าหลงหนีไปที่ใด ไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ทั้งยังไปจากโลกระดับเทพแล้วก็แสดงว่าแตะต้องตนเองไม่ได้ โชคดีจริงๆ
ในเวลานี้เอง ปู้จื้อโหยวเงยหน้าขึ้นมองนางแวบหนึ่งและส่ายศีรษะอย่างขบขัน
“เจ้ารีบทำแผนที่เถอะ ทิ้งต้นฉบับไว้ก็พอ ข้ายังมีธุระต้องไปโลกวิญญาณเหอเซี่ยสักครา แค่รอเจ้าก็เสียเวลาข้ามากแล้ว ถ้าไม่รีบไปตอนนี้จะไม่ทัน” จินเฟยเหยาร้อนใจคิดจะไป ใ ในเมื่อเจรจาเสร็จแล้วก็คิดจะไปทันที
ปู้จื้อโหยวแปลกใจ นางยังมีเรื่องอะไรอีก “เจ้าจะรีบไปทำไม?”
“ปล้นชิง”
“…”
“ไม่ต้องรีบ เจ้ารอข้าไม่กี่วัน ข้าจัดการธุระที่นี่หน่อย หลังจากสั่งเรื่องแผนที่แล้ว ข้าจะไปโลกวิญญาณเหอเซี่ยสักครา” ปู้จื้อโหยวตอบ
“เจ้าจะไปโลกวิญญาณเหอเซี่ยทำไม? สิ่งของพวกนั้นเป็นของข้านะ อย่านึกว่าเจ้าเข้าร่วมกลางคันแล้วข้าจะแบ่งให้” จินเฟยเหยามองเขาอย่างเจ็บเนื้อ หรือได้ยินว่าตนเองจะไปปล้น ปู้จื้อโหยวจึงอยากเข้าร่วมด้วย?
ปู้จื้อโหยวมีสีหน้าไม่พอใจและส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างรังเกียจ “ผู้ใดอยากไปปล้นกับเจ้า เรื่องไปเปิดร้านที่โลกวิญญาณเหอเซี่ยยังเจรจาไม่สำเร็จ ข้าต้องไปด้วยตนเองสักครา ทางเ เดียวกันพอดี ใครอยากไปทำการค้าพรรค์นั้นกับเจ้า”
“เช่นนั้นก็ดี” ได้ยินเขาพูดแบบนี้จินเฟยเหยาก็โล่งอก จะให้เขาเอาเปรียบโดยไร้เหตุผลไม่ได้
นางคิดว่าปู้จื้อโหยวเป็นนายน้อยของซื่อเต้าจิง ซื่อเต้าจิงก็มีอยู่ทั่วทุกที่ ต้องหาศิลาวิญญาณได้ไม่น้อยแน่นอน ตนเองติดตามเขาต้องอยู่ดีมีสุขเสียแปดส่วน แต่หลังจากผ่า านมาหลายวัน จินเฟยเหยาจึงพบว่า นอกจากปู้จื้อโหยวขายข่าวสารให้ซื่อเต้าจิงเพื่อหาศิลาวิญญาณเล็กน้อยก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จากที่นี่เลย
เป็นนายน้อยชัดๆ กลับใช้ชีวิตเหมือนสายข่าวธรรมดา หลังจากจินเฟยเหยาดึงคอเสื้อของเขาเค้นถามอย่างไม่ยินยอมจึงรู้ว่าที่จริงซื่อเต้าจิงเป็นของตระกูลเขา แต่คนรับหน้าที่บริห หารจัดการคือท่านพ่อ บุรุษที่หลอกใต้เท้าไหวขึ้นเตียงคนนั้นไม่ให้ศิลาวิญญาณแก่เขาสักก้อนเพื่อบ่มเพาะความสามารถในการแอบดูของปู้จื้อโหยว ส่วนทางใต้เท้าไหวก็ไม่ได้ให้ สิ่งใดแก่เขาเลยเนื่องจากการอบรมในตระกูล ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงปิศาจยากไร้ที่แขวนชื่อนายน้อยเท่านั้น
ปู้จื้อโหยวเห็นนางหดหู่จึงเอ่ยปลอบโยนอย่างรู้ใจ “เจ้าไม่ต้องเสียใจ รอท่านพ่อข้าตายแล้ว ซื่อเต้าจิงก็ตกเป็นของข้า ถึงตอนนั้นข้าจะให้เจ้ากินข้าวหลายชามทุกวัน สังหารคนไม่ กี่คนแล้วขึ้นครองตำแหน่ง จะไม่เก็บศิลาวิญญาณจากเจ้าแม้แต่ครึ่งก้อน”
“เจ้าจะเอาของพรรค์นี้มาทำไม! แค่เลี้ยงอาหารเลิศรสข้าก็พอ” จินเฟยเหยาด่าอย่างไม่สบอารมณ์
“รู้แล้ว” ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ
จินเฟยเหยาลังเลนิดหนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างมีความหวัง “ท่านพ่อเจ้าอยู่ที่ใด เมื่อไรซื่อเต้าจิงจึงเป็นของเจ้า?”
“ไม่รู้สิ เขาออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์นานแล้ว เส้นทางที่ไปก็เป็นเส้นทางของโลกระดับเทพ ส่วนซื่อเต้าจิงมีคนสนิทของเขาทำ ข้าเป็นเพียงคนอิสระคนหนึ่ง ขนาดใช้ฐานะนายน้อ อยไปทำงานให้พวกเขายังต้องจ่ายศิลาวิญญาณให้ข้า” ปู้จื้อโหยวหัวเราะอย่างภาคภูมิ
จินเฟยเหยายักไหล่เอ่ยอย่างดูแคลน “เจ้านี่เป็นลูกกตัญญูจริงๆ แม้แต่ศิลาวิญญาณของพ่อก็เอา”
“ถ้าไม่เอาศิลาวิญญาณเจ้าก็เลี้ยงข้าสิ”
“ฝันไปเถอะ”
ทั้งสองคนไม่มีอะไรทำก็ปะทะคารมกัน ภายใต้การทำงานที่เชื่องช้าของปู้จื้อโหยว ใช้เวลาสิบกว่าวันจึงจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วเสร็จ แผนที่ก็ทำออกมาหมดแล้ว ทั้งหมดใช้กระดาษหนัง งสัตว์กันน้ำอันทนทานวาด เนื้อหาแทบจะเหมือนในกระจกสภาพโลกวิญญาณราวกับพิมพ์เดียวกัน ผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกจากสำนักไปหาสมบัติสามารถมีในมือคนละแผ่น นอกจากไม่กันไฟแล้ว ถึงร่ วงทะเลก็ยังไม่เปื่อย
“รีบไปหน่อย! จะไม่ทันแล้ว” เพิ่งจัดการเรื่องที่นี่เสร็จ จินเฟยเหยาก็ลากปู้จื้อโหยวให้รีบไปตามเส้นทางกึ่งส่งตัวและกึ่งเหาะเหินสายหนึ่งบนกระจกสภาพโลกวิญญาณ เร่งรุดไป ปยังโลกวิญญาณเหอเซี่ย
เส้นทางภายในโลกวิญญาณสิบสองแห่งโดยพื้นฐานล้วนมีสภาพดี คนทั้งสองใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนก็มาถึงโลกวิญญาณเหอเซี่ย จากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นมาถึงโลกวิญญาณเหอเซี่ยใช้เวลาเดินทาง หนึ่งปี ทว่าจากโลกวิญญาณเหอเซี่ยมายังโลกวิญญาณซิงหลัวกลับใช้เวลาไม่นานขนาดนั้น แค่ครึ่งปีกว่า
ถึงตรงกลางจะมีความแตกต่างของเวลา เมื่อจินเฟยเหยารุดมาถึงโลกวิญญาณเหอเซี่ย ผ่านท่าจอดเรือเดินทะเลที่มีเรือสินค้าขนาดยักษ์แน่นขนัดและเหยียบลงบนท่าเรือสำนักฟ้า หลังจากสอบถ ถามดูจึงรู้ว่าเรือวิญญาณซื้อสินค้าของสำนักฟ้าที่กลับมาจากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นเทียบท่าเมื่อสามวันก่อน
เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยามีโทสะแทบแย่ ฉุดลากปู้จื้อโหยวแล้วด่าทอยกหนึ่ง หากมิใช่เขาอืดอาดยืดยาด นางน่าจะมาเฝ้าล่วงหน้านานแล้ว
หลังด่าทออย่างดุร้าย จินเฟยเหยาคิดจะไล่ตามกลุ่มผู้ซื้อของสำนักฟ้า จึงรู้จากคนธรรมดาที่ท่าเรือว่า ผู้ซื้อของสำนักฟ้าโดยสารรถวิญญาณหวากวงไปแล้ว จุดหมายปลายทางต้องเป็น เซ ซิ่งหลิงซื่อตี้ พื้นที่ซึ่งสำนักระดับฟ้าตั้งอยู่รวมกัน ศูนย์กลางของโลกวิญญาณเหอเซี่ยแน่นอน
ไม่มีทางเลือก โชคดีที่พวกเขาเพิ่งไปแค่สามวัน รีบตามไปยังไล่ตามทัน จินเฟยเหยาคิดเสียดิบดี แต่เพิ่งเดินลงจากท่าเรือก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลวมรวมคนหนึ่งนำผู้บำเพ็ญ เซียนขั้นสร้างฐานสี่คนบวกกับขั้นฝึกปราณอีกยี่สิบกว่าคนเดินมา
จินเฟยเหยาเห็นพวกเขาพุ่งมาหาตนเอง จึงชะงักเท้ามองคนกลุ่มนี้ด้วยสีหน้าสงสัย ปู้จื้อโหยวกลับยืนอยู่ด้านข้างนางก้มหน้าลงแอบหัวเราะโดยไม่ส่งเสียง
คนกลุ่มนี้เดินมาถึงเบื้องหน้า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่เป็นผู้นำประสานมือต้อนรับอย่างเคารพ “ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสทั้งสองเข้าสู่โลกวิญญาณเหอเซี่ย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั งสองมา ไม่ได้มาต้อนรับแต่ไกลหวังว่าผู้อาวุโสอย่างได้ถือโทษ ข้าน้อยเป็นผู้อาวุโสของสำนักดินแห่งเมืองหลินไห่ มาต้อนรับผู้บำเพ็ญเซียนต่างโลกที่นี่โดยเฉพาะ ทั้งสองท่านมีคำ ำสั่งใดโปรดบ่งบอก ผู้น้อยจะกระทำอย่างสุดความสามารถ”
จินเฟยเหยาไหนเลยจะเคยเห็นฉากอันสุภาพเกรงใจขนาดนี้จึงรู้สึกงุนงงทันที ยังดีที่ปู้จื้อโหยวออกมาแก้ไขสถานการณ์ “พวกเรามาจากโลกวิญญาณซิงหลัว ไม่ได้มาทำการค้า เพียงแค่มาเ เที่ยวเล่น ได้ยินว่าโลกวิญญาณเหอเซี่ยมีพื้นที่กว้างขวางทิวทัศน์งดงาม พวกเราจึงคิดจะมาชมดูให้ทั่ว”
ได้ยินว่าไม่เกี่ยวกับการค้า ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากก็ไม่มีแก่ใจ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่เป็นผู้นำคนนั้นสงบจิตใจ กล่าววาจาตามมารยาทมิได้หยุด พูดอยู่ครู่หนึ่งก็ทำให้ จินเฟยเหยารับฟังจนง่วงเหงา หลังส่งคนกลุ่มนี้จากไป ปู้จื้อโหยวรีบลากจินเฟยเหยาออกจากที่นี่ ถ้าเดินช้าหน่อยไม่แน่ว่าจะถูกใครพัวพันอีก
“ผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่กระตือรือร้นต่อแขกผู้มาเยือนจริงๆ สกัดคนไว้ที่ท่าเรือทันที” โลกวิญญาณแห่งนี้ใจดีและมีน้ำใจมากเกินไปทำให้จินเฟยเหยารู้สึกไม่คุ้นชิน
ส่วนปู้จื้อโหยวเอ่ยแบบพบเห็นจนชินเสียแล้ว “ถ้าเจ้าไม่ใช่ขั้นกำเนิดใหม่ รับประกันว่าผู้อาวุโสของสำนักดินจะไม่มาต้อนรับเจ้า อย่างมากที่สุดก็ให้คนขั้นฝึกปราณหลายคนมาส่งเจ จ้า คนที่นี่ชอบดื่มสุราวิญญาณเป็นพิเศษ โดยพื้นฐานแล้วขอเพียงมีงานเลี้ยงก็ต้องดื่มสุรา พวกเรารีบเดินหน่อยจะได้ไม่ถูกเชิญไปดื่มสุรา”
“สุราวิญญาณ? อย่างนั้นก็มีของกินน่ะสิ กินสักหลายมื้อก่อนค่อยไปเถอะ ถึงอย่างไรไม่กินก็เสียเปล่า” ได้ยินว่ามีของกิน จินเฟยเหยาก็นึกถึงบรรดาอาหารที่ได้กินในโลกวิญญาณซิงห หลัว ครั้งนี้มีลาภปากแล้ว
“วันๆ รู้จักแต่กิน” ปู้จื้อโหยวหิ้วคอเสื้อจินเฟยเหยาและลากออกจากท่าเรือโดยไม่ฟังและไม่สนใจคำคัดค้านของนาง