คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 360 ปฏิเสธที่จะกิน
จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังมีหน้ามาพูดอีก ในนี้ก็มีความดีความชอบของเจ้าด้วย หรือเจ้าลืมแล้ว วงเวทศรของเจ้าได้มาจากที่ใด ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงอีก”
ปู้จื้อโหยวยักไหล่เอ่ยยิ้มๆ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ถ้าเจ้าไม่ได้โยนความผิดให้ข้า ผลประโยชน์คงไม่ตกถึงข้า สุดท้ายเจ้าก็ตามใต้เท้าหลงไปฆ่าเจ้าหมอนั่นมิใช่หรือ สิ่งของที่เก็บ ได้ต้องดีกว่าวงเวทศรมากแน่”
จินเฟยเหยาจ้องมองเขาแน่วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงด่าทอด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้น สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ก็ไม่เลวแล้ว ฝันไปเถอะว่าจะเก็บสิ่งของอย่างอื่นได้ ”
“เจ้าจะเอาหรือไม่เอา ยังต้องเร่งรุดเดินทางอีกมิใช่หรือ” ปู้จื้อโหยวเบ้ปากพลางเอ่ยถาม
“เอาแน่นอน!” ตอบอย่างเดือดดาล จินเฟยเหยาเฉือนชือเถี่ยอย่างว่องไว นำตานศักดิ์สิทธิ์ขนาดเท่าลิ้นจี่ออกมา
“เหตุใดตานสัตว์ปิศาจของสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดจึงเล็กนัก?” ปู้จื้อโหยวเอียงศีรษะมามอง รู้สึกว่าตานสัตว์ปิศาจอันนี้เล็กเกินไป
จินเฟยเหยาเก็บตานศักดิ์สิทธิ์ “ควบรวมเป็นแก่น ของดีไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ”
จากนั้นนางก็เก็บเขา หนังและเนื้อทั้งหมดของชือเถี่ยภายใต้การเร่งเร้าของปู้จื้อโหยว แล้วเหยียบพรมบินเร่งรุดเดินทางต่อ
เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนอยู่สามวัน แม้แต่ศิลาวิญญาณก็นำออกมาเสริมพลังวิญญาณ ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ไล่ตามขบวนผู้ซื้อของสำนักฟ้าทัน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นผู้ซื้อของสำนักฟ้า แต่ไม่ต้องไปถาม แค่มองแวบเดียวจินเฟยเหยาก็แน่ใจว่าคนเหล่านี้คือผู้ซื้อของสำนักฟ้า นี่คือเรือเหาะสีทองเป็นประกายวิบวับท ที่เขียนอักษร ‘ฟ้า’ ขนาดยักษ์ข้างลำเรือ ด้านหนัาและด้านหลังถูกขบวนที่สร้างขึ้นจากรถวิญญาณเกือบสิบคันห้อมล้อม บนรถวิญญาณเล็กๆ มีการแสดงดนตรีจากแดนเซียน ตลอดทางทั้งเ เอะอะทั้งอึกทึกและหรูหราอลังการสุดเปรียบปาน ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขาคือคนของสำนักฟ้า
เนื่องจากสถานที่อื่นๆ มีสัตว์ปิศาจปรากฏขึ้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำล้วนเดินทางบนเส้นทางสายนี้ เรือเหาะของสำนักฟ้าอหังการอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนที่พบเจอล้วนถอยไปด้านข้างหลีกทางให้พวกเขา จินเฟยเหยามองเห็นไกลๆ ว่าผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนหลีกทางให้ล่าช้าเนื่องจากของวิเศษเหาะเหินไม่ดีพอ บนรถวิญญาณเ เล็กๆ ที่เบิกทางเหล่านั้นจึงมีแตงโมลอยมากระแทกบนร่างของคนหลายคน
ผู้บำเพ็ญเซียนที่โดนคนนั้นตกใจจนเกือบจะร่วงตกลงไปเนื่องจากพลังวิญญาณปั่นป่วน ส่วนคนบนรถวิญญาณกลับหัวเราะอย่างหลงระเริง ชี้พวกเขาแล้วด่าทอหลายประโยค
“วางอำนาจมาก” จินเฟยเหยาจุปาก เห็นด้านหลังเรือเหาะของสำนักฟ้าไกลๆ มีผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มหนึ่ง ติดตามด้านหลังพวกเขาอย่างช้าๆ “เกิดอะไรขึ้น นอกจากขบวนแล้วจึงมีคนมากมายปานน นี้ติดตามมาด้วย”
“ไม่ใช่ ตอนที่ข้าเห็นครั้งแรกก็นึกว่าเป็นผู้ติดตาม ต่อมาจึงรู้ว่าไม่ใช่ พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เร่งรุดเดินทางแต่ไม่กล้าเดินล้ำหน้าขบวนรถของสำนักฟ้าไปด้านหน้า ถ้าเดิน ล้ำหน้าตามใจชอบบนรถวิญญาณจะมีคนออกมา ทุบตียกหนึ่งคือโทษสถานเบา สถานหนักคือเอาชีวิตทันที ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามด้านหลังไม่กล้ามาข้างหน้า” ปู้จื้อโหยวเอ่ย
“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาใบ้กินทันที “วางอำนาจเกินไปแล้ว ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนจะทำอย่างไร ข้าว่าความเร็วของเรือเหาะลำนี้ช้า ไม่ได้เหาะอย่างเต็มกำลัง หรือว่าต้องติดตามอยู่ด้าน นหลังตลอด?”
“ปู้จื้อโหยวยิ้ม “ถ้ามีเรื่องด่วนจริงๆ ได้แต่ไปตามเส้นทางสายเล็กๆ เจอสัตว์ปิศาจเข้าก็จนปัญญา”
“พอดีเลย พวกเราปะปนอยู่ด้านหลังติดตามไปด้วย แบบนี้จะได้รู้ว่าพวกเขาส่งสิ่งของไปที่ใด รอขั้นแปลงจิตพวกนั้นไม่อยู่ ค่อยนำสิ่งของที่ข้าต้องการไป ถ้ามีสิ่งของอื่นๆ ก็สามาร รถถือติดไม้ติดมือไปด้วย” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ นี่คือโอกาสที่ส่งมอบมาให้ ติดตามอยู่ด้านหลังอย่างเปิดเผยได้โดยไม่มีปัญหา
ดังนั้นทั้งสองคนจึงแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนด้านหลัง ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ส่วนมากเป็นขั้นสร้างฐาน ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคงเปลี่ยนเส้นทางไปนานแล้ว เทือ อกเขาสองฟากฝั่งมีสัตว์ปิศาจจำนวนไม่น้อย สัตว์ปิศาจขั้นห้าขั้นหกไปมาเป็นประจำ พวกเขาจนหนทางจริงๆ จึงได้แต่ติดตามอยู่ด้านหลัง
โดยพื้นฐานพวกเขาต่างมีความไม่พอใจแน่นอก มีโทสะแทบตายแต่กลับไม่กล้าพูดจาว่าร้ายเสียงดัง หูของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเฉียบไวมาก อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็อยากจะหาคนมาเล่น นสนุกใจแทบขาด ถึงอย่างไรไม่ว่าติดตามกี่วัน ภายในสิบวันก็สามารถเร่งรุดถึงเซิ่งหลิงซื่อตี้ได้จึงได้แต่ติดตามโดยไม่มีทางเลือก
เดิมทีจินเฟยเหยานึกว่ามีเพียงขบวนของสำนักฟ้าจึงเป็นเช่นนี้ ทว่าเหาะมาไม่กี่วัน นางก็ได้เห็นหลายครั้ง ไม่ว่าสำนักดินหรือสำนักวิญญาณ ขอเพียงเป็นฝั่งที่สำนักยึดครองอยู่ นอกจากศิษย์เล็กๆ แล้ว คนอื่นๆ ที่เดินทางล้วนเดินกับขบวนรถ นอกจากขนาดและระดับความงดงามของเรือเหาะมีการแปรเปลี่ยนแล้ว จำนวนรถวิญญาณเบิกทางก็แตกต่างกัน
“จริงๆ เลย มีเวลาว่างมาทำเรื่องพวกนี้ มิสู้บินให้เร็วหน่อยดีกว่า” จินเฟยเหยาเป็นคนต่างโลก เอ่ยคำพูดระคายหูหลายประโยคก็ไม่เป็นไร ที่นี่คือโลกวิญญาณที่มีชื่อเสียงที่สุด ด คงไม่ทำให้คนต่างโลกอย่างนางลำบากใจหรอก
ปู้จื้อโหยวเห็นระหว่างที่นางพูดจาโยนสิ่งของเข้าปากจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ากินอะไรอีกล่ะ?”
“นี่หรือ ผลไม้เชื่อมแสนอร่อย” จินเฟยเหยาชูห่อกระดาษในมือ ด้านในคือผลไม้เชื่อมที่นางซื้อก่อนขึ้นรถวิญญาณที่เมืองหลินไห่ หลังจากได้กินของสิ่งนี้ในร้านซื่อเต้าจิง นา างก็ชื่นชอบรสชาตินี้มาก ดังนั้นพอมาที่นี่จึงหาเวลาว่างไปซื้อมาห่อหนึ่ง
“เจ้าดูสิ สีสันงดงามอย่างยิ่ง” สิ่งที่นางถือในมือคือผลไม้เชื่อมสีม่วง สีสันงดงามอย่างยิ่ง
“งดงาม แต่สีสดเกินไป คงไม่ติดมือนะ” ปู้จื้อโหยวมองแล้วหัวเราะสนุกสนาน
“เป็นไปได้อย่างไร” จินเฟยเหยาโยนผลไม้เชื่อมชิ้นนี้เข้าปาก จากนั้นเลียนิ้วพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ กำลังเตรียมจะหยิบอีกชิ้น พบว่าไม่รู้นิ้วกลายเป็นสีม่วงตั้งแต่เมื่อใด
“เอ๋ นิ้วกลายเป็นสีม่วงแล้ว?” นางมองนิ้วอย่างตกใจ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองปู้จื้อโหยว
ปู้จื้อโหยวนิ่งอึ้งไป พบว่าจินเฟยเหยาไม่เพียงมีนิ้วสีม่วง แม้แต่ปากและลิ้นก็เป็นสีม่วงด้วย รู้สึกน่าขำทั้งยังไม่เข้าใจ ปกตินอกจากสูบยาเขาไม่ค่อยกินอาหารเท่าใด แม้แต่ อาหารที่เตรียมไว้ในซื่อเต้าจิงก็คร้านจะกิน เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขบคิดอย่างละเอียด เรื่องของโลกวิญญาณเหอเซี่ยที่เขาไม่รู้มีมากมายเกินไป ท่าทางต้องรั้งอยู่ ที่นี่หลายสิบปี ไม่เช่นนั้นในฐานะที่เป็นนายน้อยของซื่อเต้าจิงแล้วไม่รู้อะไรเลย คงเสียหน้ามาก
จินเฟยเหยาหงุดหงิด ปากกลายเป็นเช่นนี้ขายหน้ายิ่ง นางเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านมีคนแอบหัวเราะ ดังนั้นนางจึงใช้มือดูด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่อยู่ ใกล้นางที่สุดก็ถูกจับตัวมา
“สหายเซียนท่านนี้ อธิบายหน่อยได้หรือไม่?” เห็นสีหน้าหวาดกลัวของคนผู้นี้ จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ผู้อาวุโส…ปากของท่านกลายเป็นสีนี้เนื่องจากผลไม้เชื่อมย้อมสี สีหลุดจึงติดลงไป สิ่งของแบบนี้ให้คนธรรมดากิน ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนคนใดกินสิ่งของแบบนี้” ถึงใบหน้านางจะมีรอยยิ้ มบางๆ ทว่าโทสะที่สะกดไว้ยังทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้หวาดกลัว
“ย้อมสี?” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว “ตอนข้ากินที่โลกวิญญาณซิงหลัวไม่เห็นติดสีเลย”
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นชะงักนิดหนึ่งแล้วยิ้มขมขื่น “ผู้อาวุโส สิ่งของที่ขนส่งไปโลกภายนอกล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่สิ่งของที่ตนเองกินในยามปกติล้วนผสมลงไป ไม่เพียงผลไม้เ เชื่อมเหล่านี้ย้อมสีที่มีพิษเล็กน้อย แม้แต่พวกธัญพืชที่คนธรรมดากินก็เจือปนอาหารสัตว์”
เห็นจินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ก็พูดขึ้นมา “ในผลไม้เชื่อมใส่ผงศิลาเจ็ดสี สีสันของศิลาเหล่านี้งดงาม ใช้แช่ผลไม้เชื่อมสามารถทำให้สีสันงดงามขึ้ น ทั้งยังโรยข้าวจากอุจจาระของสัตว์เซียงหยวน ทำให้ยิ่งมีกลิ่นหอม ให้สัตว์ปิศาจที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารกินยารักษาบาดแผลเพื่อทำให้เจริญเติบโตเร็วขึ้น เพียงแต่เนื้อจะมีแสงสี ฟ้าในยามราตรี แม้แต่ยาที่กินในยามปกติพวกเราก็หลอมกันเอง ส่วนมากที่ขายในร้านใช้ยาปลอม บางแห่งวาดชั้นแวววาวบนผิวยาระดับต่ำจนเหมือนยาระดับสูง”
สีหน้าของจินเฟยเหยาเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าที่นี่มีของกินมากมาย นางคิดว่ายังกินที่โลกวิญญาณโหยวอวิ๋นไม่เพียงพอ มาถึงที่นี่ตั้งใจจะกินเป็นการใหญ่ สักรอบ แต่พอได้ฟังแล้วดูเหมือนแม้แต่ปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ก็มีปัญหา กินไม่ได้เลยสักอย่าง!
เห็นสีหน้าของนางไม่น่าดูอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้รีบอธิบายว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ถ้าอยากได้ของดีจริงๆ ไม่ต้องไปยังสถานที่ของคนธรรมดา ในแต่ละเมืองล้วนมีเท่ออู้ถ ถังที่มีของกินของใช้ให้ผู้บำเพ็ญเซียนโดยเฉพาะ อาหารในนั้นรับประกันว่าไม่เติมสิ่งปลอมปน ทั้งยังมีราคาถูก ไม่แพงเหมือนโลกภายนอก ถึงแม้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดที่สามารถเข้ าเท่ออู้ถังได้ แต่ผู้อาวุโสมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ทั้งยังมาจากต่างโลก ต้องเข้าไปได้แน่”
“เจ้าไปเถอะ” จินเฟยเหยาปล่อยเขากลับไป มองปู้จื้อโหยวที่แอบหัวเราะอยู่นานทางด้านข้างแล้วด่าทออย่างอารมณ์เสีย “มีอะไรน่าขำ!”
“ข้ากำลังคิดว่า แนะนำให้เจ้างดอาหารตั้งนานแล้ว กินนั่นกินนี่ทั้งวัน ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ขนาดปากยังย้อมเป็นสีม่วง ลิ้นยิ่งเป็นสีม่วงจนออกดำ ฮ่าๆๆ” ปู้จื้อโหยวกุม ท้องหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าอัปลักษณ์ของจินเฟยเหยาช่างน่าขำจริงๆ
“สถานที่บ้าๆ ผู้ดูแลของร้านเจ้าพูดจาเหลวไหลทั้งนั้น บอกว่าพื้นที่กว้างใหญ่ทิวทัศน์งดงามอะไรก็ดีไปหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นของปลอมทั้งสิ้น” จินเฟยเหยาด่าทออย่างไม่สบอารมณ์ มีช ชีวิตอยู่มาตั้งหลายร้อยปี เป็นครั้งแรกที่เจออาหารปลอม
ที่แท้เป็นคนบ้าประเภทไหนจึงใช้สิ่งมีพิษใส่ลงในอาหารที่ตนเองกินเพียงเพื่อให้งดงามน่ามองและเพิ่มรสชาติ ถ้าบอกว่าไม่มีความสามารถคิดจะทำให้ดีหน่อยยังพอมีเหตุผล แต่เห็นได้ชั ดว่าสิ่งที่ส่งไปขายยังโลกอื่นล้วนเป็นของแท้ราคายุติธรรม เพราะเหตุใดที่แหล่งผลิตกลับเป็นของปลอม ไม่เข้าใจเลยว่าคนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่
นี่มิใช่นำเนื้อแสนอร่อยไปให้เพื่อนบ้านกิน จากนั้นตนเองนำอุจาระสุนัขมาผ่านกระบวนการแล้วทำเป็นเนื้อให้ตนเองกินหรือ ถึงกินอยู่ในปาก สัมผัสและรสชาติจะเป็นเนื้อเหมือนกัน แต่เนื้อแท้ของมันยังเป็นอุจจาระสุนัขอยู่ดี!
หลังปู้จื้อโหยวหัวเราะจนเพียงพอจึงตบไหล่จินเฟยเหยา “เจ้าจะมีโทสะทำไม ถ้าเจ้าอยากกินก็สามารถไปกินที่เท่ออู้ถังได้ ผู้อื่นก็บอกแล้วว่าอาหารในนั้นล้วนเป็นของแท้ ขอเพีย ยงเจ้าไม่ซื้ออาหารตามท้องถนนก็พอ อีกอย่างเจ้าก็เป็นขั้นกำเนิดใหม่แล้ว กินของพวกนี้ไปเจ้าก็ไม่ตายเสียหน่อย”
“ไม่กินแล้ว! กินอะไรกัน ขอเพียงเป็นสิ่งที่กินได้ในโลกวิญญาณแห่งนี้ ข้าจะไม่กินอีกเลยสักชิ้น!” จินเฟยเหยาโยนผลไม้เชื่อมในมือลงพื้นแล้วด่าทออย่างดุร้าย
“อ้อ?” ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ “แล้วตานสัตว์ปิศาจที่ได้มาเมื่อครู่ล่ะ?”
จินเฟยเหยาพูดไม่ออก จากนั้นยักไหล่เอ่ยอย่างเบาสบาย “ข้าจะให้พั่งจื่อเลียดูก่อน ฝีมือทดสอบพิษของมันร้ายกาจมาก”
ปู้จื้อโหยวมองไปตรงที่ซึ่งพั่งจื่อนั่งอยู่ เห็นมุมปากของมันกระตุกขึ้นนิดๆ กำลังแอบหัวเราะ เขานึกขึ้นได้ พั่งจื่อที่ปกติมีของกินก็จะแย่ง พอมาถึงที่นี่ก็ไม่เคยแย่งอาห หารจินเฟยเหยากินเลย ที่แท้พบว่าไม่ถูกต้องแต่แรก
“พวกเจ้านี่น่าขำจริงๆ” ปู้จื้อโหยวส่งเสียงอุ๊บส์แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง