คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 361 คลัง
จินเฟยเหยาที่ใช้น้ำล้างปากอยู่ตลอดเวลาในที่สุดก็ติดตามรถวิญญาณของสำนักฟ้ามาถึงเซิ่งหลิงซื่อตี้ สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือเมืองที่สร้างอยู่บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง บ้านเรือนจัดเรียงอยู่ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ สะอาดและเรียบร้อยอย่างยิ่ง ที่แปลกประหลาดคือเมืองนี้มีประตูเมืองสิบสองแห่งและทางเดินปูศิลาเหล็กกล้าอันกว้างขวางสิบสองสายทอดตัว วผ่านทุ่งหญ้าออกไปรอบด้าน
มียอดเขาเล็กๆ จำนวนมากตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าราวกับผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทางเดินศิลาเหล็กกล้าที่ใช้ค่าก่อสร้างมหาศาลก็ทะลุผ่านภูเขาเล็กๆ เหล่านี้ ไม่รู้ว่านำไปสู่ที่ใด
ริมฝีปากของจินเฟยเหยาผ่านการชำระล้างให้สะอาดด้วยโทสะอยู่หลายวันจนเกือบจะลบสีได้หมดแล้ว นางไม่เคยกินอะไรอีกเลยอย่างที่พูดไว้จริงๆ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ยังเก็บขอ องกินไว้ในตัว โดยพื้นฐานแล้วเดินทางไปถึงที่ใดก็จะลิ้มชิมอาหารอร่อยของท้องถิ่น อยู่ว่างจนเบื่อหน่ายก็ไปสวนหลังบ้านของผู้อื่นขโมยเด็ดผลไม้หลายผล ไม่ได้กินจนท้องอืดมานาน นแล้ว
หลังจากพั่งจื่อเข้าสู่ขั้นเจ็ดไม่กินอาหารสิบกว่าปีก็ไม่เป็นไร สัตว์ภูติบางตัวเติบโตแล้ว นอกจากดูดซับพลังตะวันจันทรา แม้แต่น้ำก็ไม่ดื่มสักอึก
“ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเมืองเซิ่งตี้ที่สำนักฟ้าตั้งอยู่ แต่เซิ่งหลิงซื่อตี้กลับไม่ได้หมายความถึงแค่สถานที่เล็กๆ แห่งนี้” เห็นใกล้จะเข้าเมือง ปู้จื้อโหยวจึงบอกกล่าว
“นั่นเป็นสถานที่กว้างใหญ่เพียงใด?” จินเฟยเหยาไม่สนใจสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป ถึงเมืองจะสะอาดเรียบร้อยเพียงใดนางก็ไม่สนใจ
ถึงตลอดทางได้พบเห็นทิวทัศน์อันงดงามจำนวนมาก ทั้งผู้คนยังดีต่อคนต่างโลกแบบนางอย่างยิ่ง ทว่าเพิ่งเข้าเซิ่งหลิงซื่อตี้ แท้ปราณวิญญาณอันเข้มข้นพวกนั้นพุ่งเข้ามาปะทะหน้ าก็ไม่ได้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่สักหลายปี
ปู้จื้อโหยวทำท่าทาง “นอกจากถนนสายที่อยู่ใต้ของวิเศษของพวกเรา ยังมีสถานที่ตามรายทางของถนนอีกสิบเอ็ดสาย นับรวมสิบเอ็ดสำนักและหลังภูเขาที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของพวกเขาจ จึงเป็นเซิ่งหลิงซื่อตี้ทั้งหมด ปราณวิญญาณที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกวิญญาณเหอเซี่ย แน่นอนว่าปราณวิญญาณของเมืองเซิ่งเทียนอ่อนแอที่สุด ของดีๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในสถา านที่ตั้งของสิบเอ็ดสำนัก”
“ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อาศัยอยู่ที่นี่ ได้หนังสุกรผีเสื้อหยกแล้วอย่างมากที่สุดข้าก็หาภูเขาที่ไร้ผู้คนสักแห่งหลอมสร้างหุ่นเชิดให้แล้วเสร็จจึงจากไป” จินเฟยเหยา าตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เจ้าคิดจะไปที่ใด?” ปู้จื้อโหยวสงสัยอยู่บ้าง ดูเหมือนนางวิ่งวุ่นไปทั่ว ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร
จินเฟยเหยาเอ่ยตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่รู้สิ สุ่มหาสถานที่แห่งหนึ่งบนกระจกสภาพโลกวิญญาณไปก็พอ เจ้าไม่รู้สึกว่าใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งเดียวตลอดน่าเบื่อหน่ายหรือ สายตารวม มอยู่ที่สถานที่เล็กๆ เบื้องหน้า จะทำให้มีโทสะด้วยเรื่องเล็กน้อยได้ง่าย”
“ข้าไม่มีความกลัดกลุ้มแบบนั้น” ปู้จื้อโหยวตอบอย่างสงบนิ่ง
“เจ้าไม่มีแน่ ค้นหาความลับของผู้อื่นตลอด แต่ละวันใช้ชีวิตน้อยๆ อย่างเบิกบานใจแทบตาย” จินเฟยเหยาเหล่มองเขาแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมีอะไรน่าค้นหา แต่คิ ดๆ ดู เป็นไปได้ว่าเนื่องจากตนเองไม่มีคนรู้จัก ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นว่าจะทำอะไร ลองนับคนที่ตนเองรู้จัก ดูเหมือนจะไม่มีความอยากรู้เลยสักนิด
ระหว่างที่สนทนา ผู้บำเพ็ญเซียนที่ติดตามอยู่ด้านหลังขบวนรถจำนวนไม่น้อยจากไปเอง ที่นี่มีประตูเมืองสิบสองแห่ง ไม่จำเป็นต้องเดินตามก้นขบวนรถเข้าเมือง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าขบวนเด ดินช้าแทบตาย ทั้งยังถูกคนนึกว่าเป็นผู้ติดตามอีก
ทว่าจินเฟยเหยากลับไม่ได้จากไป ถ้าพลัดหลงคิดจะตามรอยก็ลำบากแล้ว โชคดีที่มีคนเข้าเมืองมากมาย นางติดตามอยู่ห่างหน่อยก็ไม่ทำให้เกิดความสงสัย พอเข้าเมืองทางประตูเมืองก็เกิ ดความยุ่งยากขึ้น ในเมืองไม่อนุญาตให้ผู้บำเพ็ญเซียนเหาะเหิน มีเพียงเรือเหาะ รถวิญญาณของสำนักฟ้า และผู้บำเพ็ญเซียนที่มีอำนาจพิเศษจึงสามารถบินได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาและป ปู้จื้อโหยวจึงได้แต่หยุดลง
จินเฟยเหยาเห็นเรือเหาะบินเข้าเมืองทางอากาศ ก็รู้สึกหัวสมองพองโต ในเมืองกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถึงรู้ว่าเรือเหาะที่มีความจุปริมาณมากขนาดนี้จอดที่ใด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไ ไล่ตามได้ทัน
ทันใดนั้น นางก็เห็นบรรดาคนเฝ้ายามตรงประตูเมือง จึงเดินเข้าไปถามว่า “ขอสอบถามหน่อย ข้าเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อครู่เห็นขบวนรถอันงดงามเหาะผ่านไปทำให้ข้ารู้สึกประหลา าดใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าบ้านเกิดเมืองนอนของท่านจะมีเรือเหาะที่งดงามขนาดนี้ คิดจะเข้าไปดูใกล้ๆ หน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะให้ผู้อื่นชมดูหรือไม่”
นางประจบประแจงได้ดีจริงๆ ผู้บำเพ็ญเซียนเฝ้ายามได้ยินคนต่างโลกชื่นชมสิ่งของในโลกวิญญาณของตนเองขนาดนี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง เอ่ยอย่างสุภาพมีมารยาท “ผู้อาวุโสไม่ต้องเกรงใ ใจ เรือเหาะเหล่านี้จอดอยู่ที่ลานลั่วเซียนตรงใจกลางเมือง สามารถชมดูได้ตามสบาย”
“ดียิ่งนัก เพียงแต่ถ้าบนเรือเหาะมีบุคคลสำคัญ ข้าไปอย่างหุนหันคงไม่ค่อยดีนัก” จินเฟยเหยาลูบคาง แสร้งทำท่าทางลังเลเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ผู้บำเพ็ญเซียนเฝ้ายามช่างเอาใจใส่จริงๆ ทำให้นางวางใจอย่างที่สุดทันที “ผู้อาวุโสไม่ต้องคิดมาก นั่นคือเรือซื้อสินค้า สัญลักษณ์บนเรือเป็นของสำนักหลิงเถี่ยว เรือซื้อสินค้า าเหล่านี้ล้วนจอดอยู่ในสถานที่เดียวกัน สามารถชมดูได้ตามสบายไม่รบกวนหรอก”
“สำนักหลิงเถี่ยว ข้าเคยได้ยินมาว่าเป็นสำนักที่ร้ายกาจมาก” มุมปากของจินเฟยเหยายกเป็นรอยยิ้ม
จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวห้อตะบึงไปยังลานลั่วเซียนในเมืองภายใต้สายตาภาคภูมิใจของผู้บำเพ็ญเซียนเฝ้ายาม
ลานลั่วเซียนหาได้ง่ายดายยิ่ง ขอเพียงเข้าเมืองและเดินตรงไปข้างในตามถนนใหญ่ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าก็เดินมาถึง นั่นเป็นพื้นที่ว่างซึ่งสามารถจอดเรือเหาะยาวร้อยจั้งได้ห ห้าสิบกว่าลำ บนพื้นปูอิฐสีสันสดใสมีลวดลาย นอกจากเรือเหาะยังมีรถวิญญาณนับร้อยคัน บนลานลั่วเซียนในเวลานี้มีเรือเหาะยาวร้อยจั้งจอดอยู่ยี่สิบกว่าคัน ส่วนมุมหนึ่งมีเรือเ เหาะเล็กๆ ยาวยี่สิบสามสิบจั้งจำนวนห้าสิบกว่าลำ ทั้งหมดเป็นเรือเหาะซื้อสินค้าที่จินเฟยเหยาตามรอยมานาน
ผู้บำเพ็ญเซียนล้วนสามารถใช้ถุงเฉียนคุนได้ ดังนั้นนอกจากสิ่งของบางอย่างที่ใส่ถุงเฉียนคุนไม่ได้ สิ่งของที่ซื้อมาล้วนพกพาอยู่บนตัวผู้ซื้อ ส่วนจินเฟยเหยาอาศัยโอกาสชมดูเ เรือเหาะ หาเรือเหาะที่นางจับตาดูมาตลอดพบอย่างง่ายดาย
โดยรอบลานลั่วเซียนมีคลังเก็บสินค้าจำนวนมาก บนคลังสินค้าแต่ละหลังใช้การแขวนธงที่แตกต่างกันจำแนก มองไกลๆ เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากเรือเหาะ มีตั้งแต่ขั้นแปลงจิตไปจนถึง งขั้นสร้างฐาน ขั้นแปลงจิตเดินลงจากเรือเหาะก็ขยับร่างเหยียบของวิเศษของตนเองเหาะเหินไป กฎระเบียบในเมืองไม่มีผลต่อคนเหล่านี้เลยสักนิด
ส่วนบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ลงมา ไม่กล้าเหยียบของวิเศษไปทันที ทว่าเปลี่ยนเป็นรถวิญญาณคันเล็กๆ เตรียมกลับสำนัก ปู้จื้อโหยวสายตาแหลมคมมองเห็นคนหนึ่งในจำนวนนั นนำถุงเฉียนคุนออกมาวางลงบนถาดใบหนึ่ง
จากนั้นผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ ที่ยกถาดก็ยกถาดมาเบื้องหน้าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ในมือของคนผู้นั้นดูเหมือนจะถือป้ายหยกบางอย่าง ใช้การรับรู้ตรวจสอบสิ่งของด้านในเล็กน้อ อยก็ให้ผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ ส่งถาดไปไว้ในคลังด้านหลัง เหนือคลังมีธงผืนหนึ่ง บนนั้นเขียนอักษร ‘เถี่ยว’ ขนาดใหญ่ไว้
“ที่นี่แหละ อีกสักครู่พวกเราไปกัน” ปู้จื้อโหยวเอ่ย
จินเฟยหยาถามอย่างสงสัย “เหตุใดไม่เข้าไปตอนกลางคืน ตอนกลางวันคนไม่เยอะเกินไปหรือ?”
“คนเยอะยิ่งสะดวกในการปะปนเข้าไปในฝูงชน มีแต่มือใหม่จึงนึกว่าตอนที่ไม่มีคนจึงทางสะดวก ไม่คิดดูบ้างว่าถ้ารอบด้านไม่มีใคร แล้วเจ้าปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ซึ่งสมควรจะไร้ผู้คน มิยิ่งสะดุดตาหรือ อีกทั้งเข้าไปตอนกลางวัน ประตูใหญ่ก็เปิดอยู่” ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ เอ่ยถึงเรื่องซ่อนตัวแอบมองไม่มีใครเชี่ยวชาญยิ่งกว่าเขา ย่อมมีประสบการณ์มากเป็นพิเศษ
ที่แท้มีวิธีการมากมาย จินเฟยเหยาลอบพยักหน้ากับตนเอง ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำไว้ ต่อไปไม่แน่ว่าจะได้ใช้
ดังนั้นหลังจากคนทั้งสองหาอาคารที่ไม่มีใคร คนหนึ่งซ่อนกาย อีกคนหนึ่งก็แปะยันต์ซ่อนกาย จากนั้นเดินส่ายอาดๆ เดินไปคลังของสำนักหลิงเถี่ยว เวลานี้ตรงประตูคลังมีผู้บำเพ็ ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนกำลังพูดคุยธุระอยู่ ประตูคลังกลับเปิดกว้าง จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวเดินเลียบกำแพงเข้าไป เดินเข้าไปก็พบว่าด้านในยังมีอีกห้องหนึ่ง และมีประตู ใหญ่ที่วาดวงเวท ส่วนบนกำแพงนอกห้องนี้มีป้ายหยกแขวนอยู่จำนวนมาก นับร้อยๆ ชิ้น ทั้งหมดเป็นรายการบัญชีเข้าและออกของคลังสินค้า
มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกำลังแขวนป้ายหยกลงบนนั้น จากนั้นชี้ถุงเฉียนคุนใบหนึ่งบนโต๊ะแล้วสั่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณด้านข้าง “นี่คือสิ่งของที่เพิ่งนำกลับมาจา ากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋น เจ้านำพวกมันไปไว้ในคลังทั้งหมด จำไว้ว่าต้องแยกประเภทให้เรียบร้อย อย่าแอบเกียจคร้าน”
“ขอรับ” ศิษย์ขั้นฝึกปราณคนนั้นกำลังจะยื่นมือไปหยิบถุงเฉียนคุนพลันเห็นถุงหายวับไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนั้นพบว่าถุงเฉียนคุนหายไปอย่างกะทันหัน กำลังคิดจะมีปฏิก กิริยาก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีสายลมเย็นเยียบ พริบตาก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจนร่วงไปนอนบนพื้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง วงเวทในห้องนั้นก็เปิดออก ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสองคนที่เพิ่งทำความสะอาดคลังเสร็จเดินออกมาจากในนั้นก็เห็นคนทั้งสองนอนอยู่บนพื้นจึงร้องตะโกนอย่ างตกใจ “เกิดเรื่องแล้ว!”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมตรงประตูยังหารือกันอยู่ ได้ยินเสียงตะโกนก็พุ่งปราดเข้าไป ตรวจสอบผู้บำเพ็ญเซียนสองคนบนพื้นพบว่าแค่สลบไป ท่าทางอีกฝ่ายคิดจะขโมยสิ่งของอย่า างเงียบๆ ดังนั้นจึงไม่ใช้เวทมนตร์ที่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โต
“รีบตรวจสอบว่าสิ่งใดหายไป! สิ่งของล้ำค่าบางอย่างต้องส่งมอบให้สิบเอ็ดหอ ต้องตรวจสอบให้ละเอียด พวกเจ้าส่งคนไปแจ้งจื๋อเจี้ยถังบอกว่าที่นี่มีโจรปล้น! ถ้าสิ่งที่สูญหายเป็นของที สำนักของตนเองใช้ก็ดีไป ถ้าเป็นสิ่งของที่สิบเอ็ดหอต้องใช้ พวกเราต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง”
ทั่วทั้งคลังปั่นป่วนขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนเคลื่อนไหว หยิบป้ายหยกบนกำแพงเริ่มตรวจสอบคลัง ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในจำนวนนั้นกำลังจะหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่ง สายลมแ แรงก็พัดมากะทันหัน ป้ายหยกชิ้นนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
“โจรยังอยู่ในคลัง!” เขาตื่นตระหนก ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสองคนรีบปิดประตูคลัง ก่อนจะตรวจสอบให้ชัดเจน ห้ามทุกคนเข้าออก
เวลานี้จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวยืนอยู่ไม่ไกลนัก ถอนฤทธิ์ยันต์ซ่อนกายแล้วและอยู่รวมกับคนอื่นๆ มองคลังที่ปั่นป่วนวุ่นวายจากนั้นปิดประตูอย่างแน่นหนา
“มีอะไรหรือ?” ปู้จื้อโหยวเห็นประตูใหญ่ปิดจึงเอ่ยถาม
จินเฟยเหยาราวกับถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “พั่งจื่อนำป้ายหยกกลับมา พวกเขาปิดประตูก็ไร้ประโยชน์ พั่งจื่อไม่ได้เข้าไปเลย แค่ยืนอยู่นอกประตูแล้วใช้ลิ้น ตวัดป้ายหยกออกมา”
“พวกเราไปเถอะ อีกสักครู่ที่นี่ต้องวุ่นวายแน่” ปู้จื้อโหยวพยักหน้าพลางเอ่ยวาจา
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพอใช้การรับรู้ตรวจดูถุงเฉียนคุนที่พวกเขาได้ไว้ในมือแล้วหนีออกมากลับไม่พบหนังสุกรผีเสื้อหยกจึงได้แต่ให้พั่งจื่อไปขโมยมา ดูสิว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่ จึงไม่ใช่หนังสุกรผีเสื้อหยกที่ซื้อมากองนั้น