คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 362 สำนักหลิงเถี่ยว
ทั้งสองคนเปลี่ยนสถานที่และเริ่มตรวจสอบป้ายหยก ในแผ่นหยกจดบันทึกสิ่งของที่ซื้อมาได้อย่างชัดเจน ดูทั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่งก็ไม่พบหนังสุกรผีเสื้อหยก สุดท้ายก็เห็นจดบันทึก กไว้ด้านล่างบรรทัดเดียวว่า ‘สุกรผีเสื้อหยกสิบแปดตัวและหนังสุกรสิบเอ็ดชิ้นถูกส่งไปหลังภูเขา’
“เอ๋? ส่งไปหลังภูเขาแล้ว หลังภูเขาของสำนักหลิงเถี่ยวเป็นสถานที่กักขังฮุ่นตุ้นมิใช่หรือ เห็นที่จดบันทึกลงบนนี้ ดูเหมือนสุกรผีเสื้อหยกยังมีชีวิตอยู่” จินเฟยเหยาสงสัยอย ยู่บ้าง สุกรผีเสื้อหยกใช้ได้แค่หนังมิใช่หรือ เอาตัวที่มีชีวิตกลับมาทำไม?
“ตอนนี้จะทำอย่างไร?” ปู้จื้อโหยวสอบถาม
“จะทำอย่างไรได้ ข้าต้องได้หนังสุกรผีเสื้อหยกมาไว้ในมือ” จินเฟยเหยาแน่ใจในการตัดสินใจของตนเองและมองปู้จื้อโหยว “เจ้าบอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการมิใช่หรือ หรือว่าจะตามข ข้าไปสำนักหลิงเถี่ยว?”
“ข้าอยากไปพบคนของสำนักฟ้า แต่ถ้าไปตรงๆ ผู้อื่นต้องไม่ยอมให้ข้าเข้าประตูใหญ่แน่ ตามเจ้าไปไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสได้รู้จักคนของสำนักฟ้า ถึงตอนนั้นการเจรจาจะง่ายขึ้น” ปู้จื้อ อโหยวครุ่นคิดและตัดสินใจไปสำนักหลิงเถี่ยวสักครา
จินเฟยเหยาเลิกคิ้วมองเขา “เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าไปทำความชั่ว เจ้าจะเจรจาอะไรได้ คงมิใช่คิดจะดูว่ามีหลักฐานอะไรที่เจ้าสามารถใช้ข่มขู่คนอื่นได้หรือไม่ จากนั้นใช้สิ่งนี้มาแลกเ เปลี่ยนเพื่อให้สำนักหลิงเถี่ยวสนับสนุนซื่อเต้าจิงเปิดร้านหรอกนะ”
“เจ้ายอดเยี่ยมมาก ข้าเพิ่งคิดแบบนี้เจ้าก็รู้” ปู้จื้อโหยวหัวเราะหึๆ
“จำเป็นต้องเดาด้วยหรือ นอกจากเรื่องประเภทนี้แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ครั้งนี้เอาอย่างไร จะไปกลางวันหรือจะไปกลางคืน?” จินเฟยเหยานำถุงเฉียนคุนและป้ายหยกใส่ในอก ไม่มีความคิดจะ ะแบ่งให้ปู้จื้อโหยวเลยสักนิด นายน้อยคิดจะได้สิ่งของจากคนยากไร้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ปู้จื้อโหยวจ้องมองนางใส่สิ่งของในอก แล้วพึมพำกับตนเอง “ในสำนักมีคนมากมาย พวกเราไปตอนกลางคืน”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งบอกว่าคนมากปะปนเข้าไปได้ง่าย ตอนนี้เหตุใดจึงบอกว่าคนมากต้องไปตอนกลางคืน?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“โง่งม สถานที่แตกต่างกันวิธีการที่ใช้ก็แตกต่างกัน คลังเก็บของเมื่อครู่สถานที่เล็ก อีกทั้งตรงประตูมีคนไปมามากมาย ส่วนในสำนักล้วนเป็นพวกหน้าเดิมๆ ที่เห็นมาหลายสิบปีถึงหลา ายร้อยปี ยังมีสัญญาณลับ เสื้อผ้า และสัญลักษณ์ ไม่เช่นนั้นใครๆ ก็สามารถปะปนเข้าไปในสำนักผู้อื่นได้” ปู้จื้อโหยวถลึงตาใส่นางอย่างดูแคลน คิดไม่ถึงว่าจะไม่แบ่งสิ่งของให้จริงๆ ๆ ยายขี้งก
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ ไม่โต้เถียงกับเขา การโต้เถียงน่าเบื่อไปชั่วขณะ ใส่ถุงเฉียนคุนก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้นางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แค่มองคร่าวๆ ก็รู้ว่าตนเองร่ำรวยแล้ว แค่เห็นชื่อสิ่งของที่บันทึกลงบนป้ายหยกก็รู้ว่าเป็นของดี อีกทั้งตอนดูถุงเฉียนคุนเมื่อครู่ ในนั้นยังเปล่งแสงอันงดงามออกมารอบด้าน ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็ นมาก่อน
“ไปเถอะๆ พวกเราไปช้าๆ ก่อน ตอนกลางคืนค่อยเข้าสำนักหลิงเถี่ยว ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเจอฮุ่นตุ้นหน่อย คนที่ถูกวิญญาณจริงรุกรานยึดครองร่างและสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์จะเป็นเช่นไ ไร” นางใช้ศอกกระทุ้งปู้จื้อโหยวพลางเอ่ยยิ้มๆ
“ฮุ่นตุ้นในตำนานไม่ค่อยเท่าไร ต้องหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่งแน่” ปู้จื้อโหยวเอ่ยเตือนก่อน “สัตว์เทพหน้าตาบ้านๆ ถ้าจะว่าไป ในตำนานที่เล่าขานกันมาฉยงฉียังหน้าตางดงามหน่อย ส่วนตัวอื่นๆ หน้าตาดูไม่ได้”
“ฉยงฉี?” จินเฟยเหยาตะลึงงัน จากนั้นเริ่มหัวเราะหึๆ “เจ้าหมอนั่นหน้าตาไม่เลวจริงๆ ทำให้สตรีชอบเป็นพิเศษ”
“เจ้าเคยเจอ? ข้าขอซื้อข่าว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เลว” ปู้จื้อโหยวนำสมุดเล็กๆ ออกมา เป็นครั้งแรกที่เอ่ยว่าจะใช้ศิลาวิญญาณซื้อข่าวสารหลังจากเปิดเผยฐานะ
“อย่าพูดเรื่องนี้เลย รีบไปเถอะ เรื่องนี้ต้องดูว่าเจ้าให้ศิลาวิญญาณมากน้อยเพียงใด ข้าค่อยครุ่นคิดว่าจะบอกแค่ไหน” จินเฟยเหยาเตรียมตกศิลาวิญญาณอย่างยิ้มแย้ม อีกทั้งต ต้องใช้ข่าวทุกอย่างของเหรินเซวียนจือให้เป็นประโยชน์
เดินตามทางเดินศิลาไปยังสำนักหลิงเถี่ยว เนื่องจากราคาที่เจรจาไม่เลว เหรินเซวียนจือจึงถูกจินเฟยเหยาขายออกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า นางครุ่นคิดนิดหนึ่งจึงขายแม้แต่จูเชวี่ยออก ไปด้วย แม้แต่เรื่องเผ่าปิศาจอาจจะโจมตีเผ่ามนุษย์และเผ่ามารก็เล่าออกมา ทว่าเพียงเอ่ยถึง เรื่องนี้ยังไม่แน่นัก อาจจะเป็นเรื่องเท็จก็ได้ ไม่จริงเท่ากับเรื่องของฉยงฉีเด็ดข ขาด
“เผ่าปิศาจ? ว่าไปแล้วในโลกวิญญาณสิบสองแห่งของพวกเรายังไม่มีสัตว์ปิศาจที่สามารถเลื่อนขึ้นเป็นเผ่าปิศาจสักตัว ได้ยินว่าโลกระดับเทพและโลกระดับวิญญาณภายนอกมีเผ่าปิศาจ แต่ ที่นี่กลับไม่มี” ปู้จื้อโหยวครุ่นคิด ถึงแม้เผ่าปิศาจปรากฏตัวขึ้นหลังจากสัตว์ปิศาจเลื่อนขั้น แต่ไม่เคยได้ยินว่าสถานที่ใดในโลกวิญญาณสิบสองแห่งมีเผ่าปิศาจปรากฏตัวขึ้น
ที่นี่อาจจะมีอะไรน่าสงสัย อย่างไรก็มีสัตว์ปิศาจขั้นเก้าจำนวนมากถึงเลื่อนเป็นขั้นเทพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด คำนวณดูแล้ว เจ้าตัวที่เรียกตนเองว่าจูเชวี่ยขั้นเทพอย่างมากท ที่สุดก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเนื่องจากมีร่างของเผ่ามนุษย์ จึงไม่ถือว่าเป็นเผ่าปิศาจ
บางทีขอเพียงสร้างเส้นทางเชื่อมไปภายนอกเรื่องนี้อาจจะปรากฎความจริงออกมา ไม่มีข่าวคราวเรื่องเผ่าปิศาจเลยสักนิด แม้แต่ตาเฒ่าก็ไม่ส่งข่าวสารใดๆ กลับมา เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นคำ ำพูดของจูเชวี่ยเพียงฝ่ายเดียว
ถึงจะไม่แน่ใจ ปู้จื้อโหยวยังจดบันทึกมันลงไป ถ้ามีโอกาสเขาก็ยินดีจะแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเผ่าปิศาจ
ทั้งสองคนเหาะไปตามเส้นทางอยู่ครึ่งวัน ตามปราณวิญญาณรอบด้านที่ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที เบื้องหน้าพลันปรากฏป่ายอดเขาศิลาตั้งตระหง่านบนทุ่งราบ ยอดเขาศิลาเหล่านี้กว้างเพียงสิ บกว่าจั้งและยื่นขึ้นไปกลางอากาศหลายร้อยจั้งราวกับเสาระฟ้า
“จำนวนมากมายอย่างยิ่ง มียอดเขาถึงสี่ห้าร้อยยอดสร้างขึ้นเป็นกลุ่มภูเขาหนาม เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ปราณวิญญาณเข้มข้นถึงขั้นนี้ นอกจากโลกระดับเทพ นี่เป็นสถานที่ซึ่งมีปราณว วิญญาณเข้มข้นที่สุดที่ข้าเคยเจอมาในโลกวิญญาณ” จินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกๆ เดิมทีคิดจะสูดปราณวิญญาณอันเข้มข้น กลับถูกกลิ่นเนื้อที่หอมจนเอียนทำให้สำลัก
“ฮุ่นตุ้น เพิ่งขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายคิดไม่ถึงว่าจะมีกลิ่นเข้มข้นขนาดนี้ หรือว่าการที่มนุษย์ถูกวิญญาณจริงยึดครองทั้งหมดและการที่วิญญาณจริงถูกมนุษย์ครอบครองมีความแตกต่าง งกันมากขนาดนี้?” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย หนังสุกรผีเสื้อหยกเกือบจะถูกนางโยนทิ้งไปนอกสมอง
ถึงแม้ที่นี่สามารถมองเห็นยอดเขาเหล่านี้ได้ แต่ยังอยู่ห่างอีกช่วงระยะหนึ่ง ทว่ากลิ่นเนื้อของฮุ่นตุ้นกลับลอยมาถึงที่นี่ ขณะที่กำลังชื่นชมอยู่ จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเทาเที่ ยตัวจริงในแดนเทพ ข้างกายเจ้าหมอนี่เต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเซียนที่เหาะขึ้นมาและร่างจริงของสัตว์เทพ ได้กลิ่นเหล่านี้ทุกวัน ต้องได้กลิ่นจนเอียนและสูญเสียการรับกลิ่นไปแน่
เนื่องจากเจ้าตัวกินก้นดมได้กลิ่นหอมมากมาย เห็นอาหารเลิศรสวิ่งไปวิ่งมาอยู่เบื้องหน้ากลับได้แต่มองทว่ากินไม่ได้ ดังนั้นจึงเสียสติไปเสียแปดส่วน กินผู้อื่นยังมีคนคัดค้าน กินตนเองก็ไม่ต้องล่วงเกินใคร จินเฟยเหยาคิดถึงตรงนี้ อดหนาวเหน็บไม่ได้ ถ้าตนเองเหาะขึ้นไป มิใช่เจ้าตัวกินจุสองตัวนอนมองอาหารเลิศรสอยู่ตรงประตู สุดท้ายกินกันเองหรือ!
“คิดอะไรอยู่? จริงจังขนาดนี้” ปู้จื้อโหยวพลันเห็นสองตาของจินเฟยเหยาไร้ประกายอีกทั้งสีหน้ายังซีดขาว แม้แต่เหงื่อยังออกจึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย
จินเฟยเหยาได้สติคืนมาปาดเหงื่อบนหน้าผากเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “เจ้าว่าต่อไปข้าจะกินก้นของตนเองหรือไม่?”
“…” ปู้จื้อโหยวตกตะลึง ไม่รู้เลยว่าต้องต่อบทสนทนานี้อย่างไร เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเทาเที่ยในแดนสวรรค์กินก้นของตนเอง
ดังนั้นเขาจึงเตะก้นจินเฟยเหยาและด่าทออย่างไม่สบอารมณ์ “คิดบ้าบออะไรอยู่! หัดฝึกสมองตอนเจ้าฝึกบำเพ็ญหน่อยได้หรือไม่ ยิ่งมายิ่งโง่”
“สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงนะ ข้ากังวล” จินเฟยเหยาโต้กลับอย่างไม่ยินยอม
“ไปห่างๆ เลย คร้านจะฟังของพรรค์นี้ ถ้าต่อไปเจ้ากินก้นของตนเอง อย่าบอกว่ารู้จักข้านะ” ปู้จื้อโหยวโบกไม้โบกมือให้นางอย่างรังเกียจ
“เชอะ ไร้คุณธรรม”
เนื่องจากที่นี่อยู่ใกล้กับสำนักหลิงเถี่ยว ถ้ายังเดินไปข้างหน้าต่อต้องเข้าไปในสายตาของคนอื่นแน่ จึงมุดเข้าพงหญ้าข้างทาง ต่างคนต่างซ่อนกายและเดินเข้าใกล้ยอดเขาศิลาต่อ อ
พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นบนยอดเขาศิลาด้านนอกสุดสลักอักษรตัวใหญ่สูงห้าจั้งไว้ ‘สำนักหลิงเถี่ยว’ ส่วนด้านหลังกลับมองไม่เห็นอาคารสักหลัง แม้แต่ประตูสำนักก็ตั้งไว้ที่นี่ ป้ายสำนักก็ทำไว้ด้านนอกสุด
การป้องกัน! ยอดเขาทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยการป้องกันไร้สภาพ นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนบินเข้ามาโดยตรงไม่ได้ ลมและนกล้วนสามารถไปมาได้อย่างอิสระ พวกจินเฟยเหยาสองคนไม่เดินไปง่ายๆ ทว่ารออยู่ที่สุดทางเดินศิลา ด้านข้างเป็นยอดเขาศิลาที่เขียนชื่อสำนัก
คนของสำนักหลิงเถี่ยที่เข้าออกมีจำนวนไม่น้อย บางคนนำป้ายหยกออกมาแล้วเดินเข้าป่ายอดเขาศิลา ส่วนบางคนกลับหยุดอยู่ด้านข้าง ส่งป้ายหยกแนะนำตัวไปด้านใน ป้ายหยกลอยเข้าไปเ เอง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนออกมารับเข้าเข้าไป
จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวมองดูพบคนกลุ่มหนึ่งมีรถเทียมสัตว์ คนที่นั่งในนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นหลอมรวม คนทั้งสองจึงวิ่งไปนั่งบนหลังคารถคันนี้ เมื่อมีคนออกมา ารับคนเหล่านี้ก็นั่งอยู่บนรถปะปนเข้าไปในป่ายอดเขาศิลา
พวกเขาหลบหลีกคนอื่นๆ เลือกไปยังสถานที่ที่มีคนน้อย เดินท่ามกลางยอดเขาศิลาที่ตั้งอยู่รอบด้านครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เห็นสำนักหลิงเถี่ยว ไม่มีประตูสำนัก ที่พักก็สร้างอยู่บนภู เขาศิลา อยู่ยอดบนสุดหรืออยู่บนผนังผาอันสูงชัน จำนวนศิษย์สำนักหลิงเถี่ยวที่เหาะผ่านยอดเขาเหล่านี้มีมากกว่านกป่าหลายเท่า
“ข้าพบปัญหาหนึ่ง” จินเฟยเหยามองดูรอบด้าน ได้แต่ถ่ายทอดเสียงไปหาปู้จื้อโหยว ไม่รู้ว่านางคิดอะไรได้อีก “ปัญหาอะไร?”
“ที่นี่ไม่มีภูเขา มีเพียงยอดเขาศิลาพวกนี้ สถานที่ใดจึงเรียกว่าหลังภูเขา? ค้นหาภูเขาทีละลูกต้องหาจนถึงเมื่อใด หรือว่าสุกรผีเสื้อหยกถูกคนต้มกินไปหมดทั้งเนื้อและหนังแล้ ว” ยอดเขาเกือบทุกลูกที่นี่ต่างมีตำหนักหนึ่งหลัง ถ้าค้นหายังไม่รู้ว่าต้องค้นหาจนถึงเดือนใดปีใด อีกทั้งตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด คนทั้งสองจึงตัดสินใจปะปนเข้ามาก่อน เกรงว่าตอน นกลางคืนไม่มีใครจะถูกกักไว้ภายนอกการป้องกัน
วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศดี คิดจะจัดการผู้เพ็ญเซียนคนหนึ่งแล้วนำตัวมาสอบถาม คือรังเกียจว่าตนเองซ่อนตัวได้ดีเกินไปจนอยากถูกคนพบเห็นร่องรอย
“หลังภูเขาปกติจะอยู่ด้านหลังสำนัก ทั้งยังต้องไม่เหมือนกับสถานที่อื่นๆ มักจะมีความแตกต่างนิดๆ ร่างกายของฮุ่นตุ้นต้องใหญ่โตมาก หายอดเขาที่ใหญ่ที่สุดด้านหลังก็พอ ลองหาดูก ก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ รอฟ้ามืดค่อยจับคนมาสอบถาม” ปู้จื้อโหยวบุกเข้าสำนักหลายครั้ง อย่าว่าแต่หลังภูเขาแม้แต่ห้องลับใต้ดินเขาก็หาพบ ตอนนี้แค่หาฮุ่นตุ้นที่อาศัยอยู่หลัง ภูเขาตัวหนึ่งไม่ลำบากเลยสักนิด