คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 363 ฮุ่นตุ้น
“ที่แท้จมูกของเจ้าใช้ได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้พูดเหมือนร้ายกาจมาก ตอนนี้ให้เจ้าดมกลิ่นเจ้ากลับหาไม่พบ” ปู้จื้อโหยวเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน “จะโทษข้าได้อย่างไร กลิ่นหอมของฮุ่นตุ้นเข้มข้นเกินไป เข้าป่าภูเขาคือเข้ามาในใจกลางกลิ่น กลิ่นรอบด้านล้วนเข้มข้นเหมือนกัน หาไม่พบ บเลยสักนิด ข้าแน่ใจว่าฮุ่นตุ้นต้องอยู่ที่นี่แน่”
“นี่ยังต้องให้เจ้าบอกหรือ โดยพื้นฐานแล้วเจ้านั่นไม่เคยไปจากที่นี่” ข่าวเล็กน้อยแบบนี้ปู้จื้อโหยวเคยสอบถามมา เป็นไปไม่ได้ที่สองตามืดบอดไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
พวกเขาวนอยู่ในป่ายอดเขาศิลาอยู่นานก็ไม่พบสถานที่ที่เหมือนเขตหวงห้ามหลังภูเขา คิดจะให้จินเฟยเหยาดม นางกลับบอกว่ากลิ่นเข้มข้นเกินจึงสูญเสียการได้กลิ่นไป คนทั้งสองได้แ แต่เดินผ่านในป่ายอดภูเขาศิลาค้นหาเขตหวงห้ามหลังภูเขาก่อนฟ้ามืด
เดินวนอยู่หลายรอบ ขณะที่ความอดทนของจินเฟยเหยามาถึงจุดสิ้นสุด ปู้จื้อโหยวพลันถ่ายทอดเสียงมาว่า “หาเขตหวงห้ามหลังภูเขาของสำนักหลิงเถี่ยวพบแล้ว”
จินเฟยเหยาอาศัยเสียงแยกแยะตำแหน่งรีบวิ่งไปหา สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ายังเป็นยอดเขาศิลา
ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากสถานที่อื่นๆ คือยอดเขาศิลาที่นี่ไม่มีหญ้าขึ้นสักนิด โล้นเลี่ยนไม่มีอะไรเลยทั้งยี่สิบสี่ยอด ยอดเขาเหล่านี้โอบล้อมยอดเขาศิลาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยดอก จืออวี่สีชมพูไว้ตรงกลาง ในกิ่งดอกไม้ของยอดเขาศิลาลูกนี้มีโซ่เหล็กหยาบใหญ่ขนาดหนึ่งคนกว่ายี่สิบสี่เส้นเชื่อมยอดเขาศิลาโล้นเลี่ยนรอบด้านไว้ด้วยกัน
บนโซ่เหล็กยาวเหยียดเหล่านั้นติดยันต์สีทองเต็มไปหมด มีจำนวนเกินหมื่นใบ ลวดลายยันต์สีทองกระพริบแสงหม่นภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
ส่วนบนยอดเขาศิลาที่มีดอกไม้บานเต็มไปหมดมีหอน้อยอันหรูหราเหนือธรรมดาและ งดงามสุดเปรียบปาน บนหอน้อยยังมีผ้าโปร่งสีชมพูยาวๆ ร่ายรำอยู่ในสายลมอย่างสง่างาม ส่วนกลีบดอกไม้ สีชมพูเหล่านั้น ก็ร่วงลงมาจากยอดเขาราวกับสายฝนพรำโดยไม่หยุดเลยแม้แต่เค่อเดียว
สถานที่แห่งนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ใช่หลังภูเขา จัดวางอย่างแปลกประหลาดขนาดนี้ หากมิใช่กักขังฮุ่นตุ้นก็คงซ่อนนางมารที่งามหยาดฟ้าไว้ โซ่เหล็กและยันต์วิญญาณเหล่านี้ร้อยรัดเป ป็นวงเวทกักบริเวณ เนื่องจากสิ่งของด้านในอันตรายมากจึงกางวงเวทอย่างหนาแน่นขนาดนี้
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงคือสำนักหลิงเถี่ยวจะให้ฮุ่นตุ้นอาศัยอยู่ในสถานที่อันงดงามปานนี้ ในฐานะสัตว์ที่ถูกกักขังก็น่าจะอยู่ในห้องขังเหม็นๆ สิ คิดไม่ถึ งว่าจะปฏิบัติด้วยอย่างดี
ในเวลานี้เอง มีเสียงไพเราะลอยมาจากยอดเขาศิลาลูกนี้ให้ได้ยินอย่างชัดเจน
“จริงสิ ดูเหมือนฮุ่นตุ้นจะเล่นเครื่องดนตรีได้ร้อยชนิด ที่นี่ต้องเป็นที่อยู่ของมันแน่ พวกเรารีบไป” จินเฟยเหยาปรบมือ ที่นี่แหละ
ดังนั้นคนทั้งสองจึงแอบเหาะตรงขึ้นไปยังหอน้อยบนยอดเขา
คนทั้งสองมาถึงห้องที่อยู่นอกสุดของหอน้อยก่อนและใช้การรับรู้สำรวจเข้าไปอย่างระมัดระวัง จินเฟยเหยาตะลึงงันทันที กวาดการรับรู้ไปโดยรอบอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ใช้เท้าเตะประตู บุกเข้าไป
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” ปู้จื้อโหยวเห็นประตูถูกเตะเปิด ก็รู้ทันทีว่าจินเฟยเหยาบุกเข้าไปแล้ว อดตกใจไม่ได้ ยายอันธพาลนี่!
ในประตูคือสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งกำลังใช้เพลิงแท้ย่างสุกรผีเสื้อหยกอยู่ในสวน เพิ่งย่างสุกรผีเสื้อหยกขนาดสองฝ่ามือตัวหนึ่งเป็นสีเหลืองทองก็รู้สึกได้ว่าการ รรับรู้สองสายกวาดผ่านมา ที่นี่คือเขตหวงห้ามหลังภูเขา แทบไม่มีคนนอกมาถึงมาก็ไม่ใช้การรับรู้กวาดมาก่อน คาดว่าต้องมีใครบุกเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงเข้ามาในเขตหวงห้ามหลังภูเขาก็ต้องตาย!
จากนั้นเขาก็เห็นประตูใหญ่ถูกเตะเปิดออก เงาร่างคนผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น หลังจากเห็นใบหน้าชัดเจนการโจมตีที่พร้อมใช้ออกของเขาก็หยุดชะงักในพริบตา ส่วนสุกรผีเสื้อหยกใน มือก็ถูกแย่งไป
“จู๋ซวีอู๋ เจ้าทำอะไรน่ะ! จะย่างหมูก็ถลกหนังลงมาให้ข้าก่อนสิ เจ้าย่างหนังไปด้วยแบบนี้แล้วข้าจะใช้อย่างไร!” จินเฟยเหยาที่แย่งหมูย่างมาหันหน้าไปด่าทออย่างดุร้าย
จู๋ซวีอู๋ตะลึงงัน พลิกมือแย่งหมูย่างกลับคืนมาแล้วเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “หมูตัวนี้เป็นของข้า ข้าคิดจะย่างอย่างไรก็ได้ เจ้าต่างหากแล่นมาที่นี่ทำไม คิดไม่ถึงว่าจะมาทำความชั วถึงต่างโลก”
“เห็นแก่ที่เจ้าคิดจะวางยาพิษข้าให้ตายครั้งที่แล้ว มอบสุกรผีเสื้อหยกทั้งหมดออกมา ข้าขอแค่หนัง ส่วนเนื้อเจ้าเอาไปกินเอง” จินเฟยเหยายื่นมือมาดึงสุกรผีเสื้อหยกไว้แน่น ท ทั้งยังตะโกนอย่างมีเหตุผลเต็มที่
“เหลวไหล! คนที่คิดจะวางยาพิษเจ้าให้ตายคือไป๋เจี่ยนจู๋ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย!” เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย หลังปฏิเสธอย่างอารมณ์ไม่ดี เขาจึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ามาที่นี่ เพื่อหนังสุกรผีเสื้อหยก?”
“ใช่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ให้ข้าแล้วกัน ขอแค่หนังสุกรให้ข้า ข้าจะไม่ถือสาเรื่องในอดีต” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ มองพินิจเขาขึ้นลงด้วยเจตนาร้าย
“หลังจากพลังการบำเพ็ญเพียรสูงขึ้นปริมาณอาหารของเจ้าก็น้อยลงแล้ว ยากแท้ๆ ที่จะเอาหนังหมูแต่ไม่เอาเนื้อหมู เจ้ายังพาใครมาด้วย?” หลังจากจู๋ซวีอู๋ปล่อยมือก็มองไปตรงประตู
ปู้จื้อโหยวถอนฤทธิ์ซ่อนกายข้างนอก เดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติและประสานมือคารวะจู๋ซวีอู๋ “สหายเซียนจู๋ ไม่ได้พบกันเสียนานสบายดีหรือ”
จู๋ซวีอู๋คิดไม่ถึงว่าคนที่มากับจินเฟยเหยาจะเป็นปู้จื้อโหยว หลังจากประหลาดใจก็ประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “สหายเซียนปู้ แม้แต่ข่าวของโลกวิญญาณเหอเซี่ยเจ้าก็คิดจะสืบไปข ขายหรือ?”
“ข้ายังไม่ได้เริ่มเลย คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนจู๋จะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับสำนักหลิงเถี่ยว สามารถย่างหมูในเขตหวงห้ามหลังภูเขาได้” ปู้จื้อโหยวางแผนกับจู๋ซวีอู๋ทันที
เขากำลังกังวลว่าไม่มีโอกาสตีสนิทกับสิบเอ็ดหอพอดี คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะส่งจู๋ซวีอู๋มาให้ฟรีๆ ติดตามจินเฟยเหยามีแต่เรื่องดีจริงๆ เขากับจู๋ซวีอู๋เคยพบหน้ากันหลายครั้ง เ เนื่องจากคนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาดทั้งยังวิ่งวุ่นไปทั่วเป็นเวลานาน มีคนรู้จักไม่มากดังนั้นข่าวสารของเขาจึงหาได้ยากยิ่ง ปู้จื้อโหยวจึงไปคบหากับเขาเสียเอง ไม่นับว่าคุ้นเค คยกันมากนักแต่ก็ถือว่ารู้จักกัน
ตอนนี้สามารถใช้ความสัมพันธ์ของเขาตีสนิทกับพวกระดับสูงของสำนักหลิงเถี่ยว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของตนเอง ยังสามารถใช้ความสัมพันธ์กับจินเฟยเหยาได้ นางเคยอาศัยกินข้าวกับจู๋ซวีอ อู๋มาหลายปีซึ่งทำให้สำนักของผู้อื่นบรรยากาศอึมครึม
พอจินเฟยเหยาเห็นปู้จื้อโหยวพูดคุยกับจู๋ซวีอู๋ราวกับได้พบสหายเก่าก็รู้ว่าเขาวางแผนอะไร
คิดไม่ถึงว่าจู๋ซวีอู๋จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เหนือความคาดหมายของนางอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอจู๋ซวีอู๋ที่นี่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เพราะเหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่? หร รือเจ้าเห็นว่าข้าไม่มีทางมาเฝ้าสำนักให้เจ้า ตอนนี้จึงอยากได้ฮุ่นตุ้น?”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าเคยพบฮุ่นตุ้น พอดีคิดจะออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่วจึงแวะมาเจอสหายเก่าที่นี่เสียหน่อย เนื้อสุกรผีเสื้อหยกเนียนนุ่มมาก ดังนั้นข ข้าจึงให้คนไปซื้อจากโลกวิญญาณโหยวอวิ๋นมาให้ฮุ่นตุ้นกินโดยเฉพาะ เมื่อครู่เพิ่งย่างเสร็จตัวหนึ่ง พวกเจ้าก็บุกเข้ามา” จู๋ซวีอู๋ถลึงตาใส่จินเฟยเหยาอย่างอารมณ์ไม่ดี
ตอนนั้นตนเองไม่ได้คิดให้รอบคอบจริงๆ แต่ก็ไม่มีเจตนาร้าย คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะบอกว่าตนเองอยากได้ฮุ่นตุ้น น่าชังจริงๆ
“เนื้อเนียนนุ่ม?” จินเฟยเหยาก้มหน้าลงมองสุกรผีเสื้อหยกที่เพิ่งย่างเสร็จในมือ หนังสุกรใช้ไม่ได้แล้ว คิดดูแล้วสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งของของโลกวิญญาณเหอเซี่ย ดังนั้นจึงใส่ป ปากแทะ พอเข้าปากก็ละลายทันทีจริงๆ นางอดทอดถอนใจไม่ได้ คนเกิดมาบนโลกนี้ กินได้คือมีบุญวาสนาจริงๆ
ปู้จื้อโหยวไม่สนใจจินเฟยเหยาทางด้านข้างที่เริ่มกินอีกครั้ง เข้าไปตีสนิทกับจู๋ซวีอู๋และแอบเจรจาข้อตกลง คนทั้งสองกระซิบกระซาบกันไม่หยุด ครู่หนึ่งส่ายศีรษะอีกครู่หนึ่งก ก็ทำสัญญาณมือ ท่าทางกำลังต่อราคาอยู่
ไม่รู้ว่าปู้จื้อโหยวนำสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน จินเฟยเหยากินสุกรผีเสื้อหยกจนหมด คนทั้งสองก็เจรจาเงื่อนไขเสร็จสิ้น บนใบหน้าต่างมีรอยยิ้มพึงพอใจ
“จู๋ซวีอู๋ เอาหนังสุกรผีเสื้อหยกให้ข้า ข้าวิ่งวุ่นอยู่หลายปีเพื่อหนังพวกนี้” จินเฟยเหยาเริ่มพัวพันจู๋ซวีอู๋ พัวพันจนเขาจนปัญญาได้แต่นำสุกรผีเสื้อหยกมาให้นาง
“เดิมทีข้าคิดจะนำหนังมาหลอมสร้างชุดอาคมให้ฮุ่นตุ้น ในเมื่อเจ้าอยากได้ขนาดนี้ก็ให้เจ้า แต่ต่อไปห้ามเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้อีก”
จินเฟยเหยาหิ้วถุงสัตว์ภูติที่บรรจุสุกรผีเสื้อหยกเอ่ยขอบคุณอย่างยิ้มแย้ม คิดไม่ถึงว่าจะได้สุกรผีเสื้อหยกมาไว้ในมือง่ายดายปานนี้ นึกว่าอาจจะต้องสู้กับฮุ่นตุ้นสักยกเสี ยอีก สุดท้ายเรื่องราวกลับพลิกผัน ไม่รู้ว่าฮุ่นตุ้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางแอบดูหน่อยได้หรือไม่
ในขณะที่นางคิดเช่นนี้ก็มีเสียงอันไพเราะดังมา เรือนหลักหอน้อยที่ด้านหลังสวนมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา บอกว่าเดินก็ไม่ตรงนัก เนื่องจากสิ่งที่จินเฟยเหยาเห็นคือคนผู้หนึ่ง เหาะออกมา
นี่คือสาวงามพิลาส สองตาปิดสนิท ด้านหลังมีปีกสองคู่กำลังกระพือเบาๆ สวมชุดกระโปรงโปร่งบางห้อยหยกประดับ เรือนผมสีดำยาวจนถึงเท้า เหาะออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ในมือถือขลุ ยตี๋เลาหนึ่ง พลิกเล่นอยู่ในมืออย่างเบื่อหน่าย หลังจากปรากฏตัวขึ้นไม่ได้พูดกับผู้ใด เหาะไปบนตั่งนุ่มด้านล่างต้นจืออวี่ในสวนเองและนอนลงอย่างเกียจคร้าน
“มีปีกด้วย คนผู้นี้มีปีกทั้งยังมีสี่ข้าง” จินเฟยเหยาไม่เคยเห็นคนมีปีกงอกมาก่อน อย่างมากที่สุดก็เคยเห็นของวิเศษบินได้ที่เหมือนปีก สัตว์ภูติเล็กๆ ที่งอกปีกอย่างเห รินเซวียนจือไม่ถือว่าเป็นคน แม้แต่เผ่ามารก็ไม่มีใครมีปีกงอกออกมา สตรีที่เกียจคร้านเบื้องหน้าผู้นี้กลับมีปีกสองคู่
“นางคือศิษย์พี่ผู้อ่อนโยนที่ข้าเคยเล่าให้ฟังคนนั้น และเป็นฮุ่นตุ้น” จู๋ซวีอู๋เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม
“อะไรนะ!” จินเฟยเหยาอดตะโกนไม่ได้ ชี้ฮุ่นตุ้นอย่างตกตะลึงสุดขีดพลางเอ่ยวาจาไม่เป็นส่ำ “เพราะเหตุใดฮุ่นตุ้นจึงหน้าตาแบบนี้ หลังจากข้ากลายเป็นเทาเที่ยเพราะเหตุใดจึงตัวสูงใหญ ญ่หน้าตาอัปลักษณ์ ส่วนนางกลายเป็นฮุ่นตุ้นทั้งหมดชัดๆ กลับหน้าตางดงามถึงเพียงนี้! อีกทั้งยังมีปีก หลังฉยงฉีกลายร่างก็มีปีก คิดไม่ถึงว่าร่างมนุษย์ของฮุ่นตุ้นตัวนี้จะมีปี ก!”
นางอารมณ์ปั่นป่วนเกินไป นึกว่าฮุ่นตุ้นหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่งมาตลอด แม้แต่ป้ายหยกที่ได้มาไว้ในมือตอนเล่าเรื่องฮุ่นตุ้นก็มีภาพประกอบ รูปของฮุ่นตุ้นบนนั้นอัปลักษณ์สุดขีด นอกจากฮุ่นตุ้นแล้ว ตัวอัปลักษณ์อันดับสองคือเทาเที่ย จินเฟยเหยานึกว่าอย่างน้อยตนเองก็หน้าตาดีกว่าฮุ่นตุ้นมาตลอด ทว่าตอนนี้เห็นลักษณะของฮุ่นตุ้นงดงามถึงเพียงนี้ เป็นสภ ภาพที่นางรับไม่ได้ที่สุด
จู๋ซวีอู๋มองท่าทางตกตะลึงสุดขีดของนาง ได้แต่อธิบายว่า “นางเปลี่ยนร่างอย่างเจ้าไม่ได้ นี่คือลักษณะหลังจากฮุ่นตุ้นหลอมรวมลงในร่างของนาง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงมีเพีย ยงปีกงอกออกมา นอกจากปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ตรงส่วนอื่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป”
“หมายความว่า…” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วคาดเดา “ถ้าข้าไม่เรียนเคล็ดวิชาทงเสิน ไม่แน่ว่าอาจจะมีเพียงเขางอกออกมาบนศีรษะเท่านั้น ไม่ต้องกลายร่างเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง?”