คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 364 พ่ายแพ้ทุกทาง
“แต่ถ้าหัวกลายเป็นเทาเที่ย แต่ร่างกลับมีลักษณะของมนุษย์ เจ้าจะทำอย่างไร?” ปู้จื้อโหยวพลันเอ่ยถาม
จินเฟยเหยาถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย จากนั้นถามจู๋ซวีอู๋ว่า “ข้าเข้าใกล้หน่อย นางคงไม่กัดนะ?”
“กัดอะไร! ตัวกัดคนที่นี่มีแต่เจ้า” จู๋ซวีอู๋โบกไม้โบกมือให้นางเป็นการไล่ จากนั้นแอบพูดคุยอะไรกับปู้จื้อโหยวอีก
“ลับๆ ล่อๆ ไม่วางแผนร้ายก็ขโมยสิ่งของ สองคนนี้อยู่ด้วยกันต้องไม่ใช่เรื่องดีงามแน่” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก เดินไปหาฮุ่นตุ้นที่มีความเกี่ยวพันกับตนเองที่สุด
ฮุ่นตุ้นยังนอนอยู่บนตั่งนุ่มดังเดิม ถึงจะเก็บปีกแล้วทว่ายังกินพื้นที่ บางอันถูกทับไว้ใต้ร่าง บางอันกลับแผ่บนตั่งนุ่ม ดวงตาสองข้างของนางปิดสนิทดูไม่ออกว่าหลับห หรือตื่น จินเฟยเหยาเอ่ยถามเสียงดัง “นี่ พวกเราสองคนมาคุยกันเถอะ”
ฮุ่นตุ้นไม่ส่งเสียงสักแอะ ไม่มีปฏิกิริยาเพียงนอนเงียบๆ จินเฟยเหยาครุ่นคิด ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดคุยเรื่องอะไรกับนาง กลอกตาทีหนึ่งจึงกระซิบถามว่า “มอบตานศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าใ ให้ข้าได้หรือไม่?”
“…” ฮุ่นตุ้นยังไม่มีปฏิกิริยา
“ไม่ให้ก็บอกสักคำสิ แล้วเจ้าต้องการตานศักดิ์สิทธิ์ของข้าหรือไม่ กินหยวนอิงของข้าแล้วสามารถเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตได้นะ” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ แล้วถามอีก
“…” ฮุ่นตุ้นยังคงไม่สนใจนางดังเดิม แม้แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้ก็ทำให้นางมีปฏิกิริยาไม่ได้
“เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้ว สัมผัสทั้งห้าของนางถูกปิดกั้น ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ เจ้าต้องถ่ายทอดเสียงหานางโดยตรง” จู๋ซวีอู๋เงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยเตือนนาง
“อ้อ เมื่อครู่ยุ่งอยู่กับการกินสุกรผีเสื้อหยก จึงไม่ได้ยิน” จินเฟยเหยายิ้ม ที่แท้ต้องใช้การถ่ายทอดเสียง ดังนั้นนางจึงถ่ายทอดเสียงไปว่า “นี่ เจ้าได้ยินหรือไม่?”
รออยู่ครู่หนึ่ง ฮุ่นตุ้นก็ไม่ถ่ายทอดเสียงตอบกลับมา จินเฟยเหยามองนางอย่างหมดวาจา ครุ่นคิดแล้วเดินไปเบื้องหน้า ดึงปีกของนางถอนขนหลายอันลงมาอย่างแรง
ฮุ่นตุ้นที่เดิมทียังหลับตากระโดดขึ้นมาทันที สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเดือดดาล จากนั้นในหูของทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องอย่างมีโทสะดังมา เสียงร้องแหลมบาดหูอย่างยิ่ง ถึงใช้มือปิดหู ก็กั้นเสียงกรีดร้องแหลมไม่ได้
จู๋ซวีอู๋รีบพุ่งปราดมา คว้ามือของฮุ่นตุ้นและเริ่มปลอบโยน เสียงยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่งฮุ่นตุ้นค่อยๆ สงบลง เสียงกรีดร้องแหลมจึงยุติ
“มีวิธีหลอกล่อจริงๆ รู้จักปลอบโยนคนขนาดนี้” จินเฟยเหยามองจู๋ซวีอู๋อย่างดูแคลน คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีด้านที่อ่อนโยนขนาดนี้
ปู้จื้อโหยวยื่นมือไปหยิกเจ้าตัวการร้าย “เจ้าทำเรื่องงามหน้าอะไรอีกล่ะ!”
จินเฟยเหยายกมือด้วยสีหน้าใสซื่อให้เขาดูขนปีกหลายอันในมือ “ข้าเห็นนางไม่สนใจข้าจึงดึงขนปีกหลายอัน”
“มือบอนนักนะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเจ้าก็ไปได้แล้ว ไหนว่าจะหาสถานที่หลอมสร้างหุ่นเชิด” ปู้จื้อโหยวตบบ่าของนาง เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
“เข้าใจผิดไปหรือไม่ เจ้ากับจู๋ซวีอู๋รวมหัวกันคิดจะไล่ข้าไป?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาดึงดันจะติดตามตนเองมา ตอนนี้เพิ่งสร้างความสัมพันธ์กับจู๋ซวีอู๋ ขนาดยังไม่ได้พบทางสิบเอ็ดหอก็คิดจะไล่ตนเองไป
ปู้จื้อโหยวเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าคิดจะรั้งอยู่ที่นี่จริงๆ?”
“ถึงข้าจะไม่ต้องอยู่ที่นี่ แต่พวกเจ้าก็ไล่ข้าไปไม่ได้ ข้าอยากไปย่อมจากไปเอง แต่เจ้าจะไล่ข้าไปไม่ได้” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งได้รวดเร็ว เกินไปแล้ว
“ในเมื่อไม่อยากไป ข้ามีเรื่องดีๆ จะแบ่งปันเจ้า” ปู้จื้อโหยววางมือบนไหล่นาง โอบนางไปด้านข้างแบบมีแผนการร้าย จากนั้นกระซิบบอกว่า “เมื่อครู่เจรจากับจู๋ซวีอู๋แล้ว เขายอม มช่วยแนะนำข้าให้รู้จักกับระดับบนของสำนักหลิงเถี่ยว ให้สำนักหลิงเถี่ยวสนับสนุนข้าเปิดร้านซื่อเต้าจิงที่โลกวิญญาณเหอเซี่ย แต่การแนะนำนี้ต้องมีข้ออ้าง ตอนนี้มีโอกาสดี นอกจากสามารถติดต่อเบื้องบนได้ยังมีรายรับก้อนหนึ่งด้วย”
“เจ้าไปเถอะ อย่าคิดจะฉุดลากข้าลงน้ำ” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ยังคิดจะวางแผนกับนางอีก
ปู้จื้อโหยวยื่นนิ้วมาส่ายไหว “เจ้าคิดจะไปโลกวิญญาณภายนอกมิใช่หรือ ตอนนี้เป็นโอกาสดี”
เจ้าคนน่าชัง ทำไมต้องหาเรื่องที่ข้าสนใจพบด้วย จินเฟยเหยาบริภาษในใจอย่างไม่พอใจ จากนั้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องดีอะไร?”
“ก่อนที่เจ้าจะเผยแพร่แผนที่ออกมา สำนักหลิงเถี่ยวกำลังศึกษาการข้ามน่านน้ำผืนนั้นจนถึงวิธีไปยังโลกวิญญาณอื่นๆ อีกทั้งดำเนินการมาสามร้อยกว่าปีเต็มๆ มีความก้าวหน้าไม่น้อยแต่ก กลับหากุญแจสำคัญไม่พบ ขาดอีกเพียงก้าวเดียว ในแผนที่ที่พวกเรานำออกมาบันทึกทางเข้าไว้หลายแห่ง มีแห่งหนึ่งอยู่ที่โลกวิญญาณเหอเซี่ย อีกทั้งยังบังเอิญอยู่ใกล้กับสถานที่ ซึ่งพวกเขาศึกษามาตลอด” ปู้จื้อโหยวเล่า
“อ้อ” จินเฟยเหยาตอบรับ โดยพื้นฐานแล้วทางออกเหล่านี้อินเยวี่ยเคยหาไว้ทั้งหมด ถ้าออกไปได้ตนเองจะได้ไม่ต้องเจอเขา ถ้าโลกวิญญาณเหอเซี่ยค้นหาตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อนคงเต ตรียมการไว้พร้อมแล้ว ไม่แน่ว่าที่นี่คือสถานที่แรกสุดในโลกวิญญาณสิบสองแห่งที่สามารถเปิดเส้นทางได้
ส่วนปู้จื้อโหยวเห็นจินเฟยเหยาครุ่นคิดจึงเอ่ยต่อ “จู๋ซวีอู๋บอกว่า หลายวันก่อนมีข่าวว่ามีคนพกพาแผนที่มาที่นี่ พวกเขาจึงหาทางออกที่จดบันทึกไว้บนนั้นพบทันที บอกว่ามีว วิธีเปิดเส้นทางแล้วเพียงแค่หาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปมาลงแรงคุ้มครองวงเวท แต่ไม่อยากให้เรื่องนี้ถูกคนอื่นๆ ของสิบเอ็ดหอรู้ ดังนั้นจึงแอบหาคนลับๆ”
“พวกเขาคิดจะชิงไปยังโลกวิญญาณอื่นๆ ก่อน ค้นหาสิ่งของดีๆ ในนั้นแล้วยึดครองไว้?” ไหนเลยจินเฟยเหยาจะไม่รู้ความคิดของคนเหล่านี้ คงทำเพื่อผลประโยชน์เสียแปดส่วน
ผลประโยชน์ในโลกวิญญาณเหอเซี่ยแบ่งสรรเรียบร้อยแล้ว ส่วนโลกวิญญาณภายนอกกลับเป็นสถานที่ซึ่งยังไม่รู้จัก ขอเพียงชิงออกไปก่อนก็สามารถคว้าโอกาสมาได้ก่อน ต่อไปสิบเอ็ดหอคิดจะแ แบ่งผลประโยชน์อีก ถ้าผลประโยชน์ที่มากที่สุดอยู่ในมือของตนเอง ราคาที่เจรจาก็จะสูงขึ้นอีก
จินเฟยเหยาคิดรุนแรงไปหน่อย ถ้ายึดครองสิบเอ็ดหอต้องอาละวาดแน่ ดังนั้นปู้จื้อโหยวจึงส่ายศีรษะเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะยึดครองทั้งหมด ทว่าสามารถฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ก้อ อนใหญ่ ไม่นานแผนที่ของพวกเราคงเผยแพร่ไปทั่วทั้งโลกวิญญาณสิบสองแห่ง ย่อมมีคนจับตาดูเส้นทางที่ถูกปิดกั้นเหล่านี้ สำนักหลิงเถี่ยวจำเป็นต้องเปิดเส้นทางโดยเร็วจึงให้รางวัลเป็ นของวิเศษชั้นยอด ตอนนี้ขาดคนพอดี พวกเราสองคนนอกจากได้ของวิเศษชั้นยอดคนละชิ้นยังสามารถได้สิ่งที่ตนเองต้องการ”
“ก็ได้ แต่พอเปิดเส้นทาง พวกเขาจะให้ข้าไปหรือไม่?” จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำได้ มีผลประโยชน์ให้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ถ้าเปิดเส้นทางแล้วไม่ให้ตนเองไป เช่ นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว
ปู้จื้อโหยวตบศีรษะนางแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าไม่คิดดูบ้างเล่า ทะลวงเส้นทางแล้วยังต้องมีคนไปทดลองดูก่อน เจ้าสามารถเป็นฝ่ายสมัครได้”
“อะไรนะ! สำรวจเส้นทาง ถ้ามีอันตรายข้ามิตายหรือ” พอจินเฟยเหยาได้ฟัง นี่ถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาหรือ?
“เจ้าคงไม่นึกว่าหลังจากผู้อื่นซ่อมแซมเส้นทางเสร็จจะเก็บศิลาวิญญาณเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากไปหรอกนะ?” ปู้จื้อโหยวเอ่ยโดยไม่แสดงความเห็น
จินเฟยเหยาเงียบงันไป “เป็นไปไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนออกไปคนหนึ่งก็คือมีคนหารทรัพยากรเพิ่มขึ้น”
“เจ้าเข้าใจก็ดี เช่นนั้นตกลงตามนี้” หลังปู้จื้อโหยวเอ่ยจบก็ตรงไปหาจู๋ซวีอู๋ที่กำลังทำให้ฮุ่นตุ้นสงบ
จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว ให้ของวิเศษชั้นยอด มือเติบจริงๆ ไม่รู้ว่าสำนักหลิงเถี่ยวจะมอบของวิเศษชั้นยอดอะไร นางจึงเดินตามหลังไป เก็บขนปีกฮุ่นตุ้นในมือและเอ่ยถามจู๋ซวีอู๋อย ย่างห่วงใย “นางเป็นอะไร เหตุใดจึงอาละวาดขึ้นมากะทันหัน”
ยายนี่ยังกล้าถามอีก ปู้จื้อโหยวแอบมองนางแวบหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่านางดึงขน
“ข้าก็ไม่รู้ หลังจากข้ามานางก็สงบลงมาก ข้าถามนางแล้ว ดูเหมือนบอกว่าตกใจตื่นกะทันหัน นางตกใจไม่ได้ จะเดือดดาลได้ง่ายมาก เมื่อครู่เจ้าอยู่ข้างกายนางมิใช่หรือ เจ้ากัดน นางใช่หรือไม่?” จู๋ซวีอู๋ขมวดคิ้วเอ่ยวาจา
“ใส่ความ” จินเฟยเหยาเอ่ยเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างยิ่ง “ต่อให้ข้าอยากกินนางก็จะฉวยโอกาสตอนที่เจ้าไม่อยู่ จะกินต่อหน้าเจ้าได้อย่างไร”
“เจ้าอย่าหวังจะได้นางเลย เจ้าสู้นางไม่ได้หรอก” จู๋ซวีอู๋กำชับอย่างระมัดระวัง
จินเฟยเหยากระพริบตาปริบๆ หน้าตาดีกว่าข้า ยังร้ายกาจกว่าข้าด้วยหรือ?
“เพราะเหตุใดจึงบอกว่าข้าสู้นางไม่ได้ นางแปลงร่างไม่ได้เป็นเพียงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเท่านั้น” จินเฟยเหยาไม่ยินยอม ขนาดฉยงฉียังสู้ได้แค่สูสีกับนาง อาศัยอะไรมาบอกว่านา างเอาชนะฮุ่นตุ้นไม่ได้
“เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อ ตอนนี้นางมีร่างของสัตว์ร้าย แม้แต่บนร่างยังไม่ใช่พลังวิญญาณทว่าใช้พลังปิศาจ” จู๋ซวีอู๋ก็ไม่อธิบายมากความ
จินเฟยเหยาหรี่ตา ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ ทว่ามีปัญหานี้จริงๆ กลิ่นอายหลังจากเหรินเซวียนจือเปลี่ยนร่างไม่มีกลิ่นหอมเข้มข้นเท่าฮุ่นตุ้น กลิ่นหอมของฮุ่นตุ้นเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเซ ซียนขั้นแปลงจิตแล้ว หากมิใช่อินเยวี่ยไม่มีกลิ่นเลยสักนิด นางก็อยากจะเปรียบเทียบสองคนนี้ดูจริงๆ ว่ากลิ่นของฮุ่นตุ้นจะเหมือนกลิ่นของอินเยวี่ยหรือไม่
“ข้าส่งนางเข้าไปก่อน ตอนเดือดดาลครั้งที่แล้ววงเวทผนึกปิศาจสิบสองอันถูกนางทำลายทันที และพุ่งออกมาทำลายป่ายอดเขาศิลากว่าครึ่ง ต่อมาต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ใช้วงเวทผนึกปิศ ศาจยี่สิบสี่อันจึงสามารถหยุดยั้งพลังของนางได้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกวิญญาณจริงยึดครองโดยสมบูรณ์แตกต่างจากเจ้า ควบคุมพลังไม่ได้ ถึงมีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นกำเนิดใหม่ก็สามา ารถเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตได้อย่างง่ายดาย” จู๋ซวีอู๋พยุงฮุ่นตุ้นขึ้น เตรียมส่งนางกลับหอน้อย
หลังจากเดินออกไปสองก้าว เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องครั้งที่แล้ว ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าของสำนักหลิงเถี่ยวที่เพิ่งกลับมาพอดียังถูกโจมตีจนต้องพักรักษาต ตัวอยู่ครึ่งปีกว่า ดังนั้นทางที่ดีเจ้าอย่ายั่วโทสะนาง”
ร้ายกาจขนาดนั้น! จินเฟยเหยาตกตะลึง หรือว่าสัตว์ร้ายจะร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ? แต่เพราะเหตุใดตัวที่ได้พบมาตลอดทางล้วนไม่มีอะไรพิเศษ หรือว่าเนื่องจากเรียนเคล็ดวิชาทงเสิน?
ถ้าไม่มีเคล็ดวิชาทงเสิน พละกำลังของเผ่าปิศาจในโลกระดับวิญญาณก็จะควบคุมได้ยาก เผ่าปิศาจและผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามารเผ่ามนุษย์ในโลกระดับสวรรค์ มีโทสะง่ายขนาดนี้เลยหรือ?
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องกังวล อีกสักครู่ไปเลือกของวิเศษชั้นยอดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของจินเฟยเหยา กินฮุ่นตุ้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงกินตานศักดิ์สิทธ ธิ์ของชือเถี่ยที่ร่วงลงมาจากฟ้าเม็ดนั้นลงไปก็น่าจะหลอมรวมเข้าด้วยกันได้หมด ขอเพียงไม่กระทบถึงการเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตก็พอ
นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนจากการใช้การรับรู้ว่าสามารถเปลี่ยนเป็นร่างเทาเที่ยได้ง่ายขึ้น ความรู้สึกไม่เข้ากันเล็กน้อยยิ่งมายิ่งเบาบางลง อีกทั้งทำไมต้องเลือกตัวที่จัดการยา ากด้วย มิใช่ว่าไม่มีทายาทสัตว์เทพระดับต่ำๆ เสียหน่อย