คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 365 สาวน้อยใสซื่อ
เห็นจู๋ซวีอู๋เดินออกมาจากหอน้อย จากนั้นร่ายคาถาเงียบๆ ด้านนอกหอน้อยปรากฏลวดลายคาถาขนาดยักษ์ จัดการทุกอย่างเสร็จเขาจึงโล่งอก
จินเฟยเหยามองดูแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “จำเป็นต้องกักขังนางไว้อย่างแน่นหนาปานนี้ด้วยหรือ พวกเจ้าทรมานคนเกินไปแล้ว ถ้ารับนางไม่ได้ โยนนางไปไว้ข้างนอกก็พอ”
“เจ้าก็พูดง่าย ไม่ว่าโยนไว้ที่ใดปัญหาคือใครจะโยน ถ้าถูกคนอื่นเก็บไปเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ทำแบบนี้ไม่ได้” จู๋ซวีอู๋เอ่ยพลางส่ายศีรษะ
“น้อยๆ หน่อย เห็นชัดๆ ว่าตัดใจไม่ได้ คิดจะใช้นางเป็นไพ่ตาย ยังพูดว่าโยนนางทิ้งไว้ข้างนอกไม่ได้อีก” จินเฟยเหยาไม่เชื่อจึงพูดความคิดของตนเองออกมาตรงๆ
จู๋ซวีอู๋มองนางแล้วยิ้มแย้มขึ้น “เจ้าพูดไม่ไว้หน้ากันเลยแบบนี้ ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็ต้องปิดไว้หน่อย อีกสักครู่ข้าพาพวกเจ้าไปพบเจ้าสำนักของสำนักหลิงเถี่ยว เจ้าอย่าพูดแบบนี้ล่ะ”
จินเฟยเหยายักไหล่ “เจ้ามิใช่ไม่รู้จักข้า ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ก็แค่ประจบประแจง เรื่องนี้ข้าเก่งมาก”
“ข้ากลัวว่าหลังจากเจ้ามีพลังบำเพ็ญเพียรสูง จะเปลี่ยนความคิดพูดจาขวานผ่าซากยิ่งขึ้น” จู๋ซวีอู๋ยังเอ่ยกำชับเป็นพิเศษ “เจ้าต้องจำไว้อย่าเอ่ยว่าตนเองเป็นเทาเที่ย ไม่เช่นนั้นในป่ายอดเขาศิลาแห่งนี้คงมีวงเวทกักปิศาจเพิ่มมาอีกอัน”
“เจ้าเห็นว่าข้าโง่หรือ ข้าจะบอกเรื่องนี้ออกไปได้อย่างไร ขอเพียงพวกเจ้าไม่พูดก็นับว่าดีแล้ว” จินเฟยเหยามีโทสะอย่างยิ่ง สิ่งที่อันตรายที่สุดในตอนนี้คือตนเองตกลงไหม เจ้าสองคนนี้ก็มิใช่ตัวดีอะไร
“ไปเถอะ อย่าอาละวาดเลย” ปู้จื้อโหยวที่อยู่ข้างนอกใช้มือผลักนาง จากนั้นบอกจู๋ซวีอู๋อีกว่า “ท่านเกรงใจนางเกินไป คนอย่างนางถ้าไม่ทุบตีก็ไม่เชื่อฟัง ต้องเตะสักหลายทีถึงจะเอาอยู่หมัด”
“อา! คิดไม่ถึงว่ายังมีกระบวนท่านี้ ข้าคลุกคลีกับคนชั่วอย่างนาง ชื่อเสียงของตนเองจึงเสียไปด้วย ที่แท้เป็นเช่นนี้” จู๋ซวีอู๋มีสีหน้ารู้แจ้ง อดพยักหน้าไม่ได้
จินเฟยเหยามองพวกเขาสองคนอย่างมีโทสะ “พวกเจ้าสองคนเกินไปแล้วนะ!” ไม่รอให้นางด่าทอเพิ่ม ปู้จื้อโหยวก็ยิ้มชั่วร้ายแล้วผลักให้นางเดินไป
ภายใต้การนำของจู๋ซวีอู๋ คนทั้งสองเหาะไปยังตำหนักหลักของสำนักหลิงเถี่ยว หากมิใช่มีจู๋ซวีอู๋นำทาง ทว่าให้พวกเขาสองคนหาตำหนักหลักเอง นั่นจึงเป็นเรื่องยุ่งยากโดยแท้ ไม่ว่าใครคงคิดไม่ถึงว่าตำหนักหลักของสำนักหลิงเถี่ยวจะเป็นเพียงบ้านไม้เล็กๆ เรียบง่ายหลังหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่บนยอดเขาในมุมอันห่างไกล หน้าประตูปลูกต้นไม้ไม่ทราบชื่อ ทั้งยังเลี้ยงเป็ดไว้หลายตัว
เห็นทั้งสองคนมีสีหน้าประหลาดใจ จู๋ซวีอู๋จึงเอ่ยแนะนำว่า “ด้านหน้าสำนักหลิงเถี่ยวมีตึกรองที่น่าเกรงขามอยู่หลังหนึ่ง ปกติใช้เป็นตึกหลักรับรองแขกที่มาเยือน ทว่าตอนมีเรื่องสำคัญกลับจัดการหารือขึ้นที่นี่ เรื่องในครั้งนี้สำคัญอย่างยิ่งดังนั้นจึงประชุมที่นี่”
“เจ้าอยู่ที่นี่มีฐานะใด?” เห็นศิษย์สำนักหลิงเถี่ยวจำนวนไม่น้อยคารวะเขามาตลอดทาง ทั้งยังสามารถเข้าออกเขตหวงห้ามหลังเขาได้ตามสบาย แม้แต่ความลับของตำหนักหลักก็รู้ จินเฟยเหยาอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
จู๋ซวีอู๋ชะงักไปนิดหนึ่งจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ของข้าเป็นบุตรสาวของซือจุนแห่งสำนักหลิงเถี่ยว แต่ไม่ยอมรับการอบรมสั่งสอน หนีออกไปเอง หลังไปถึงโลกวิญญาณเป่ยเฉินก็เข้าสำนักตงอวี้หวง ดังนั้นนางจึงเป็นคนของสองสำนัก ตอนข้ายังเยาว์วัยเคยติดตามนางมาอาศัยอยู่ที่นี่หลายสิบปี เนื่องจากความสัมพันธ์นี้ คนของสำนักหลิงเถี่ยวจึงเกรงอกเกรงใจข้า โดยพื้นฐานแล้วถือเป็นคนกันเอง”
“ข้านึกว่าเจ้าจะแต่งฮุ่นตุ้นเป็นภรรยาเสียอีก ดังนั้นจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ราวกับปลาได้น้ำมาตลอด” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ
“ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร! แค่ตอนที่นางยังไม่ถูกฮุ่นตุ้นยึดครองร่าง มีความสัมพันธ์อันดีกับข้าที่สุด ไม่มีอะไรก็พาข้าออกไปเล่น ตอนนี้คนที่สามารถทำให้นางสงบได้มีเพียงข้าคนเดียว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงจำเสียงของข้าได้” จู๋ซวีอู๋เล่า
จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างมั่นใจยิ่ง “เนื่องจากเสียงของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นตาเฒ่าหรือบุรุษฉกรรจ์ นางต้องจำไม่ได้แน่”
“แต่ข้าเสนอไปแล้ว ครั้งนี้หลังทะลวงเส้นทางได้ ข้าจะไปสำรวจก่อน ข้าก็อยากดูว่า โลกวิญญาณอื่นๆ เป็นเช่นไร” จู๋ซวีอู๋รู้สึกสนใจการทิ้งศิษย์ไว้แล้วท่องไปทั่วหล้าอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าคนแบบนี้รับศิษย์ไว้ทำไม อยู่คนเดียวเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระดีกว่า จินเฟยเหยาตั้งใจจะกล่าวเช่นนี้ แต่คิดถึงว่าตนเองก็อยากไปด้วย พอคำพูดมาถึงปากก็เปลี่ยนเป็น “อย่างนั้นพาข้าไปด้วย ข้าก็อยากไป”
จู๋ซวีอู๋มองนางอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็อยากไปด้วย?”
“ถูกต้อง แต่คนแซ่ปู้ไม่ไป ขนาดเรื่องของโลกวิญญาณเหอเซี่ยเขายังไม่รู้ชัดเจนเลย” จินเฟยเหยาหัวเราะฮ่าๆ
ปู้จื้อโหยวกลอกตาใส่และมองท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของนาง ต่อไปมีเส้นทางเยอะแล้ว จัดการธุระเรียบร้อยย่อมต้องไปทำการค้าที่โลกอื่น รีบร้อนไปขนาดนี้อันตรายอย่างยิ่ง ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนเรื่องทุกอย่าง
ระหว่างสนทนา คนทั้งสามก็มาถึงหน้ากระท่อมไม้ เป็ดสองตัวค้นหาก้อนหินกินเองราวกับข้างๆ ไม่มีใคร และไม่สนใจพวกเขาเลยสักนิด จู๋ซวีอู๋กลับผลักประตูไม้นำพวกเขาสองคนเข้าไป
จินเฟยเหยาติดตามเขาเหยียบย่างเข้าไปในบ้านไม้ เบื้องหน้าเปิดกว้างทันที คิดไม่ถึงว่าในบ้านไม้จะเป็นตำหนักใหญ่อันงดงาม พื้นปูผลึกโปร่งใสแวววาว ใช้มุกล้ำค่าและหยกวิญญาณทำเป็นกำแพง ศิลาแสงราตรีสูงขนาดเท่าตัวคนฝังอยู่บนเพดาน สาดส่องภายในห้องราวกับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงตอนกลางวัน
ด้านหลังโต๊ะเตี้ยซึ่งสลักเสลาจากหยกที่จัดวางอยู่สองฟากข้างมีคนนั่งอยู่สิบกว่าคนแล้ว เกือบทั้งหมดมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ มีชายชราหนวดเครายาวถึงอกคนหนึ่งนั่งอยู่บนเวทีสูงด้านบนสุด หนวดเคราและผมเผ้าเป็นสีขาวทั้งหมด ยิ่งแลดูมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากขึ้น บนร่างมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิตช่วงกลาง เพียงพอจะทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กลุ่มนี้เชื่อฟังชั่วคราว
จู๋ซวีอู๋พาพวกเขาเดินไปเบื้องหน้า ประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “คารวะเจ้าสำนัก พอดีข้ามีสหายเซียนสองคนมาที่โลกวิญญาณเหอเซี่ยจึงเชิญพวกเขามาช่วยเหลือ”
คิดไม่ถึงว่าอยู่ที่สำนักตงอวี้หวงจู๋ซวีอู๋ทำตัวราวกับเด็กน้อยไม่รู้ความ อยู่ที่สำนักหลิงเถี่ยวกลับทำตัวปกติขนาดนี้ นึกว่าเจ้าหมอนี่ไร้หัวคิดไปทั่วเสียอีก ที่แท้บุคคลแตกต่างกัน เขาไม่เกรงกลัวสำนักตงอวี้หวง แต่กลับเกรงกลัวคนของสำนักหลิงเถี่ยว
แต่คิดๆ ดูแล้ว เจ้าสำนักตงอวี้หวงคือศิษย์พี่ของเขา มีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นกำเนิดใหม่ ทว่าเจ้าสำนักของสำนักหลิงเถี่ยวมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิต ดูท่าทางแก่ชรานั่นสิ คาดว่าเป็นผู้อาวุโสของเขาเสียแปดส่วน
“คารวะเจ้าสำนัก” จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวก้าวเข้าไปคารวะ
“สหายเซียนทั้งสองเดินทางพันหลี่มาถึงที่นี่ ยินยอมช่วยเหลือสำนักหลิงเถี่ยวเรา ข้าขอขอบคุณมา ณ ที่นี้” หลังทำตามพิธีรีตองจบ เจ้าสำนักก็ให้พวกเขานั่งลงและเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจตามธรรมเนียมเล็กน้อย
เวลานี้มีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ถามว่า “เจ้าสำนัก เมื่อครู่ยังไม่ได้เอ่ยถึงธุระสำคัญ ข้าคิดจะถามดูสักหน่อย การช่วยเหลือนี้จะให้ช่วยเหลืออย่างไร?”
เจ้าสำนักของสำนักหลิงเถี่ยวครุ่นคิดว่าวันนี้คงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนมาอีกจึงเอ่ยว่า “เส้นทางที่พวกเราพบมีรอยแยกช่องว่างหลายสายขัดขวางอยู่ รอยแยกยึดครองเส้นทางทั้งสาย ไม่มีทางทะลวงผ่านได้เลย จำเป็นต้องซ่อมแซมรอยแยกช่องว่างเหล่านี้ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดจะซ่อมแซมรอยแยกที่อื่น ตอนนี้กลับพบสถานที่ที่สะดวกกว่า จะได้ใช้วิธีที่ศึกษามาหลายร้อยปีกับที่นี่พอดี”
เขาไม่ได้เอ่ยถึงแผนที่ในซื่อเต้าจิง ในนี้นอกจากจินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยว ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนในโลกวิญญาณเหอเซี่ย มีเพียงศิษย์ในสำนักเดียวกันที่มีความสัมพันธ์ไม่เลว ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระก็ถูกเชิญมาที่นี่ด้วย ส่วนซื่อเต้าจิงยังมีคนจำนวนน้อยถือครองในโลกวิญญาณเหอเซี่ย สำนักหลิงเถี่ยวไม่คิดจะให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป
“ซ่อมแซมรอยแยกไม่จำเป็นต้องให้พวกท่านออกโรง พวกเรามีผู้อาวุโสขั้นว่างเปล่าเป็นกำลังหลัก และยังมีขั้นแปลงจิตเป็นกำลังเสริม ส่วนทุกท่านช่วยอยู่ชั้นนอกสุด หลักๆ คือถ่ายทอดพลังวิญญาณให้วงเวท พวกเรามียาและศิลาวิญญาณเสริมพลังวิญญาณให้ทุกท่าน ช่วงเวลาที่ช่วยเหลือถ้าสั้นก็สิบวันถ้ายาวนานก็สี่สิบห้าสิบวัน” เจ้าสำนักลูบเคราเอ่ยวาจาเบาๆ
เวลายาวนานเกินไปกระมัง สิบวันคาดว่าพูดไปอย่างนั้นเอง ต้องสามสิบวันขึ้นไปแน่ หลายวันขนาดนี้พลังวิญญาณที่เสริมให้กับวงเวทใหญ่ต้องไม่ขาดช่วง เป็นงานที่หนักหนาจริงๆ แต่ถ้าให้ของวิเศษชั้นยอด ถึงจะหนักหนาทว่าก็ไร้อันตราย
ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ อาจจะไม่มีประสบการณ์ถ่ายทอดพลังวิญญาณเป็นระยะเวลานาน ทว่าจินเฟยเหยากลับลอบยิ้ม ไม่รู้ว่านางหนีเอาชีวิตรอดมานับกี่ครั้ง การถ่ายทอดพลังวิญญาณและเสริมพลังวิญญาณตลอดหลายสิบวันสำหรับนางแล้วคุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคยไปกว่านี้ได้อีก
คิดไม่ถึงว่าการช่วยเหลือจะง่ายดายถึงเพียงนี้ ได้อาวุธเวทชั้นยอดมาราวกับเก็บได้เปล่าๆ โดยแท้ ในใจจินเฟยเหยายินดียิ่ง รู้สึกว่าหลังจากมาโลกวิญญาณเหอเซี่ยความโชคดีของนางยิ่งเพิ่มขึ้น หากมิใช่ที่นี่มีอาหารปลอมมากมาย นางยังตัดใจจากไปไม่ได้จริงๆ
เรื่องราวง่ายดาย เพียงแต่เจ้าสำนักไม่ได้เอ่ยถึงของวิเศษชั้นยอดที่ตกลงไว้ ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนจึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย คนที่บอกว่าจะให้ของวิเศษชั้นยอดคือคนรู้จักของพวกเขา ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าสำนักหลิงเถี่ยวจะให้ของวิเศษชั้นยอดจริงหรือไม่ แต่ถ้าถามออกมาตรงๆ ก็ขายหน้า ทุกคนต่างเป็นคนที่มีศักดิ์ฐานะ จะทำตาปริบๆ เอ่ยออกมาเหมือนยาจกคงไม่ค่อยดีเท่าไร
ทุกคนต่างไม่ส่งเสียง สายตาเหลือบมองคนข้างๆ คิดจะให้มีคนเป็นฝ่ายออกมาถาม
เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาก็ยกมือเอ่ยถามอย่างใสซื่อว่า “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ข้าได้ยินมาว่าจะได้ของวิเศษชั้นยอด เป็นความจริงหรือไม่? จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยเห็นของวิเศษชั้นยอดเลย ถ้ามีจริงก็ดียิ่งนัก”
เป็นคนที่หน้าหนามาก! สายตาของทุกคนมารวมกันอยู่บนร่างของนาง ชื่นชมว่านางหน้าหนาก่อน จากนั้นก็มีสีหน้ายอมรับ มีคนแบบนี้ช่างดีจริงๆ
เจ้าสำนักไม่คิดว่าจะมีคนเอ่ยถามถึงเรื่องนี้จริงๆ ตอนนั้นเนื่องจากร้อนใจจึงคิดจะมอบของวิเศษชั้นยอดให้ อีกทั้งสิ่งของที่ยังไม่ได้ใช้ในคลังสมบัติก็มีมากมาย เพียงแต่หลายวันนี้จิตใจสงบลง รู้สึกว่าแค่คุ้มครองวงเวทก็ต้องให้มากขนาดนี้ จึงคิดจะให้แค่ของวิเศษชั้นบน ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงไม่เอ่ยถึง ถึงของวิเศษชั้นยอดในคลังสมบัติมีอยู่ไม่น้อย ทว่านำออกมาหลายสิบชิ้นก็ยังเจ็บเนื้ออยู่ดี
มองดวงตาเป็นประกายของจินเฟยเหยา ทั้งยังเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงเจ้าสำนักทุกคำ ลดฐานะของตนเองลง แสร้งทำเป็นชนชั้นผู้เยาว์ไร้เดียงสา ทั้งยังพูดอย่างดีอกดีใจตลอดเวลา ในที่สุดก็มีของวิเศษชั้นยอด ท่าทางตื่นเต้นนั่นทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ใดดี
………………………………………..