คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 366 ออกเดินทาง
เจ้าสำนักหลิงเถี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช่ นอกจากศิลาวิญญาณและยาเสริมพลังแล้วพวกเรายังจะให้ของวิเศษชั้นยอดแก่ผู้บำเพ็ญเซียนทุกท่านคนละชิ้น เพียงแต่ของวิเศษแต่ละชิ นไม่เหมือนกัน ถ้านำออกมาให้เลือกทั้งหมด ใครเลือกก่อนก็ไม่ยุติธรรมกับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ดังนั้นพวกเราจึงคิดจะบรรจุของวิเศษลงในกล่องวิญญาณ ให้เลือกคนละกล่อง”
เขาเปลี่ยนความคิดกลางคัน เลือกของวิเศษชั้นยอดที่ย่ำแย่ที่สุดในคลังออกมาใส่ในกล่องหยกเหล่านี้ให้พวกเขาเลือกเองคนละชิ้น ถ้าไม่สมดังใจก็ได้แต่โทษว่าตนเองโชคไม่ดี ถ้านำมาใ ให้เลือกทั้งหมด คงไม่เหมาะจะนำของวิเศษชั้นยอดที่ย่ำแย่ออกมาและไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ใด
มีของวิเศษชั้นยอดจริงๆ ทุกคนได้แต่ลอบยินดีในใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะได้ก่อนหรือหลังเปิดวงเวท
ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ จินเฟยเหยาโคลงศีรษะถามไถ่อย่างอ่อนหวาน “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ท่านคงไม่เห็นว่าก่อนเปิดวงเวทมีเวลามากมาย ให้พวกเราไปเลือกก่อนเปิดวงเวทนะ?”
เจ้าสำนักกวาดตามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “หลังจากทุกท่านคุ้มครองวงเวทแล้วจะเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ต้องพักผ่อนสักหน่อย ย่อมต้องอยู่ฟื้นฟูอยู่ในสำนักเราหลายวัน ค่อยไ ไปเอาของวิเศษ ไม่ต้องรีบร้อน”
ความหมายชัดเจนยิ่ง หลังจากคุ้มครองวงเวทเสร็จสิ้นต้องอยู่ในสำนักหลิงเถี่ยวหลายวัน ไม่ให้พวกเขาออกไปเผยแพร่ข่าว แทบทุกคนรู้ข่าวนานแล้วว่าทำเรื่องนี้ลับหลังสิบเอ็ดหอ ถ้าไม่คิดจะทำให้คนของสำนักหลิงเถี่ยเข้าใจผิดก็ได้แต่รั้งอยู่ที่นี่หลายวัน
ทว่าจินเฟยเหยาคิดจะไปสำรวจ เรื่องนี้มอบให้จู๋ซวีอู๋ไปเสนอ ตนเองและเจ้าสำนักไม่คุ้นเคยกันจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากตอนนี้
หลังจากอธิบายเสร็จสิ้น เจ้าสำนักหลิงเถี่ยวจึงให้คนนำบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนลงไปพักผ่อน ส่วนจู๋ซวีอู๋นำพวกเขาสองคนไปยอดเขาศิลาที่แขกพักอาศัย หลังสั่งความหลายประโยคก็กลับ ไปพบเจ้าสำนักอีกครั้ง
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าเขาจึงกลับมาแจ้งจินเฟยเหยาว่าตกลงกับเจ้าสำนักแล้ว ถึงตอนนั้นจะให้นางและตนเองเข้าไปในเส้นทางพร้อมกัน ส่วนอาวุธเวทชั้นยอดของนางรอจนเปิดเส้นทางแล ล้วไปเลือกได้ทันที ทว่าพักผ่อนได้แค่สองชั่วยามก็จำเป็นต้องเข้าไปทันที ไม่รู้ว่าหลังจากจินเฟยเหยาคุ้มครองวงเวทเสร็จจะมีเรี่ยวแรงไปต่อหรือไม่
จินเฟยเหยาตอบรับเต็มปากเต็มคำ สำหรับนางแล้วเรื่องนี้ไม่นับเป็นอย่างไร
จู๋ซวีอู๋ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจากนางจึงพาปู้จื้อโหยวไปพูดคุยเรื่องซื่อเต้าจิงอย่างเป็นทางการ จินเฟยเหยาไม่คิดจะเอ่ยถามเรื่องที่ให้คนพบเห็นไม่ได้ให้มากความ
ไม่รู้ว่าพวกเขาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขแบบใด ผ่านไปสองชั่วยามปู้จื้อโหยวจึงกลับมา เห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มจึงรู้ว่าเรื่องของเขาเจรจาสำเร็จ
“เจรจาเสร็จแล้ว?” จินเฟยเหยาเอ่ยปากถามตามสบาย
หลังจากปู้จื้อโหยวนั่งลงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจรจาเสร็จแล้ว ขอเพียงยึดกุมสิ่งที่ต้องการที่สุดและความละโมบของคนได้ เรื่องทุกอย่างก็คุยกันง่าย”
“หมายความว่าซื่อเต้าจิงสามารถมาเปิดร้านที่โลกวิญญาณเหอเซี่ยได้ทันที?” จินเฟยเหยาถามอย่างสงสัย ส่วนพั่งจื่อที่อยู่ข้างกายนางกำลังเล่นกับสุกรผีเสื้อหยกตัวหนึ่ง ปีกเล็ก ๆ ของสุกรผีเสื้อหยกตัวนี้กระพือหนีไปหนีมา ทว่าลับหลังพั่งจื่อกลับใช้ลิ้นทุบตีมันเป็นครั้งคราว เล่นอย่างเบิกบานใจสุดๆ
“ไหนเลยจะเร็วขนาดนั้น แค่สำนักหลิงเถี่ยวตกลงจะช่วยสนับสนุนข้า แต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีคนของสิบเอ็ดหอสนับสนุนเกินครึ่งจึงจะได้” ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะหัวเราะหึๆ
“ยุ่งยากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยอมทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ ข้านึกว่าเจ้าแค่ชอบแอบดูคนอื่นไปทั่ว ไม่สนใจเรื่องมีสาระเสียอีก” จินเฟยเหยาไม่สนใจเรื่องนี้ หันหน้าไปร่วมทรมาน สุกรผีเสื้อหยกกับพั่งจื่อ
ปู้จื้อโหยวนำกล้องยาสูบแสนรักออกมาอย่างสง่างาม เริ่มสูบควันและแก้ต่างให้ตนเอง “ซื่อเต้าจิงเสนอหญ้าวิญญาณอายุหนึ่งพันปียี่สิบต้นให้ข้าใช้ชื่อนายน้อยมาทำเรื่องนี้ เจ้ ากินคนก็สามารถเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร แต่ข้าทำไม่ได้จึงต้องใช้ยา”
“หญ้าวิญญาณอายุหนึ่งพันปี? มีค่ามากหรือ” หลังจากจินเฟยเหยาเจี๋ยตันก็ไม่เคยกินยาอีกเลยจึงนึกราคาของหญ้าวิญญาณไม่ออก ในอดีตต่อให้กินหญ้าวิญญาณก็กินอายุหลายสิบปี อย ย่างมากที่สุดก็อายุหลายร้อยปี จินเฟยเหยาเคยเห็นหญ้าวิญญาณอายุพันปีที่ใต้เท้าหลง เพิ่งได้มาไว้ในมือก็ถูกแย่งชิงไป
“มีแต่เจ้าที่ใช้ตานสัตว์ปิศาจมาคำนวณราคา ผู้บำเพ็ญเซียนแทบทั้งหมดต่างใช้หญ้าวิญญาณทำการซื้อขาย สิ่งของล้ำค่าไม่อาจใช้ศิลาวิญญาณคำนวณได้ ทุกคนชอบรับหญ้าวิญญาณมากกว่า ต่อไป ปถ้าเจ้าเจอหญ้าวิญญาณข้างนอก ทางที่ดีขุดมาให้หมด จะได้ใช้แลกเปลี่ยนตอนเจอของดีๆ” ปู้จื้อโหยวเตือนนาง
ถึงหญ้าวิญญาณส่วนใหญ่ที่เติบโตในป่าโลกวิญญาณมีน้อยมาก ผู้บำเพ็ญเซียนค้นหาหญ้าวิญญาณไปทั่วราวกับตั๊กแตน สิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ล้วนขนย้ายกลับไปหมด สิ่งที่เคลื่อนย้ายไ ไม่ได้ก็เฝ้าจนกระทั่งเติบโตเต็มที่ มีเพียงโชคดีอยู่ในสถานที่ใหม่ซึ่งมีคนไปมาน้อยจึงสามารถได้เจอกับหญ้าวิญญาณอายุหลายร้อยปี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหญ้าวิญญาณอายุหนึ่งปีขึ้น นไปก็เป็นสิ่งของล้ำค่าที่ทำให้สัตว์ปิศาจเลื่อนขั้นและเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรได้ ปกติยังไม่เติบโตเต็มที่ก็มีสัตว์ปิศาจเฝ้าอยู่นับร้อยปี
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดเนิ่นนาน ดูเหมือนนอกจากชั้นเมฆส่วนนอกของโลกระดับเทพ ตนเองก็ไม่เคยเห็นหญ้าวิญญาณอายุเกินร้อยปีในป่า ดังนั้นจึงเสนอแนะว่า “ชั้นเมฆส่วนนอกของ โลกระดับเทพมีหญ้าวิญญาณอยู่จำนวนมาก เจ้าลองไปดูที่นั่นได้ นำหญ้าวิญญาณอายุนับร้อยปีมาหลายสิบต้นก็ไม่มีปัญหา”
ปู้จื้อโหยวถลึงตาใส่นาง “ทำไมเจ้าไม่ไปเด็ดที่นั่นเองล่ะ”
“ระดับขั้นของสัตว์ปิศาจที่นั่นสูงเกินไป ข้าไม่กล้าไป ทว่าไม่เจอเผ่าปิศาจเลยสักตัว น่าแปลกจริงๆ” จินเฟยเหยาพลันนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้ โลกระดับวิญญาณไม่มีเผ่าปิศาจ เพราะเห หตุใดแม้แต่โลกระดับเทพที่ทั้งหมดเป็นสัตว์ปิศาจระดับสูงก็ไม่มีเช่นกัน
“ไม่มีแน่นอน โลกระดับเทพไม่มีเผ่าปิศาจ เผ่าปิศาจก็ไม่ขึ้นโลกระดับเทพ” ปู้จื้อโหยวเห็นนางไม่รู้เรื่องนี้ ก็พ่นควันใส่หน้านางแล้วหัวเราะ
จินเฟยเหยาตะลึงงัน “เพราะเหตุใดจึงไม่มีและไม่ยอมขึ้นไปด้วย”
“ไม่รู้สิ” ปู้จื้อโหยวตอบตามจริงอย่างไม่ใส่ใจ
“เอ๋ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่สนใจเรื่องนี้? หรือเจ้าไม่อยากรู้สาเหตุว่าทำไมโลกระดับเทพมีสัตว์ปิศาจขั้นเก้ามากมายทว่ากลับไม่มีเผ่าปิศาจปรากฏตัวขึ้น?” จินเฟยเหยาลุกขึ้นนั่ง พย ยายามให้ปู้จื้อโหยวไปสอบถามเรื่องนี้
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางผิดหวังคือปู้จื้อโหยวปฏิเสธอย่างเกียจคร้าน “ไม่สนใจ สอบถามเรื่องนี้ยากเกินไป อีกทั้งข้าจะไปหาใครมาแลกเปลี่ยนข้อมูล มีหรือไม่มีเผ่าปิศาจน่าจะเป็นเรื่องท ที่เผ่าปิศาจร้อนใจ ไม่มีก็ยิ่งดี จะได้ไม่เจอหน้าก็ต้องสู้กัน ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ถ้าเจ้าอยากรู้ขนาดนี้จ่ายหญ้าวิญญาณพันปีให้ข้าสิบต้น ข้าจะหาเวลาว่างไปตรวจสอบให้”
“เชอะ หญ้าวิญญาณหนึ่งปีจะเอาหรือไม่ ตอนนี้ข้าให้เจ้าสองเท่าเลย” จินเฟยเหยากัดฟันด่าทอ
“ฮ่าๆ ไม่มีหญ้าวิญญาณก็ไปสืบเอง”
ห้าวันต่อมา สำนักหลิงเถี่ยวก็หากำลังคนได้พร้อม ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ในสำนักใหญ่ขนาดนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย จินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยวออกมานานแล้ว มอง แวบเดียวก็เห็นฮุ่นตุ้นอยู่ในนั้น
คิดไม่ถึงว่าจะพาฮุ่นตุ้นมา!
จินเฟยเหยาตกใจอยู่บ้าง หรือไม่กลัวว่านางจะขบถก่อเรื่องขึ้น พอมองดูอย่างละเอียด จึงพบว่าบนลำคอของฮุ่นตุ้นสวมสร้อยคอสีทองเป็นประกาย บนนั้นมีหินผลึกสีเขียวขนาดเท่ากำปั นก้อนหนึ่ง บนหินผลึกยังมีคาถาสีเขียวจนเกือบดำ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้ใช้ควบคุมความเคลื่อนไหวของฮุ่นตุ้นหรือไม่
นางเหาะอยู่ห่างจากพื้นสามฉื่อแบบเท้าเปล่า มือข้างหนึ่งถูกจู๋ซวีอู๋จูงเบาๆ ท่าทางเหมือนจูงท่านแม่ รอบด้านมีผู้บำเพ็ญเซียนทยอยกันมา ไม่ว่าเป็นศิษย์ในสำนักหรือผู้บำเพ็ญ เซียนที่เชิญมาจากภายนอก สายตาล้วนมองบนร่างของฮุ่นตุ้น ส่วนฮุ่นตุ้นที่ถูกสายตาเหล่านั้นจับจ้องรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย จู๋ซวีอู๋รีบฉุดดึงนางไว้และทำให้สงบลง
ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนก็มากันพรักพร้อม จินเฟยเหยาคำนวณดู ทั้งหมดรวมถึงตนเองด้วยมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สามสิบหกคน ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตนับรวมเจ้าสำนักด้ วยมีสิบคน น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าสำนักจะลงมือ คงมาเฝ้าดูเสียแปดส่วน แต่กลับไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่า บุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ปกติเย่อหยิ่ง ต้องรอให้พวกเขากา งวงเวทใหญ่เสร็จสิ้นค่อยปรากฏตัวแน่
“ไปเถอะ” เจ้าสำนักโบกชายแขนเสื้อ หมอกสีเทากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นและหยุดอยู่กลางอากาศไม่แผ่กระจาย
“นี่คือเมฆอูสิงของเจ้าสำนัก เหาะเหินได้รวดเร็วยิ่ง อีกทั้งยังสามารถพรางกายได้” จู๋ซวีอู๋ถ่ายทอดเสียงจากที่ไกลๆ มาอธิบายรอบหนึ่ง นอกจากจินเฟยเหยาและปู้จื้อโหยว คนข ของโลกวิญญาณเหอเซี่ยต่างรู้จักของวิเศษเหาะเหินชิ้นนี้ ถึงอย่างไรผู้อื่นก็เป็นเจ้าสำนักหลิงเถี่ยว บนร่างมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์เล็กน้อยก็ถูกคนเผยแพร่ไปทั่ว
ทุกคนทยอยกันเหาะเข้าไปในเมฆอูสิง จินเฟยเหยาก็กระโดดเข้าไป อย่าเห็นว่าเป็นเพียงไอหมอกสีเทา ทว่าเหยียบเข้าไปด้านในก็ยืนได้อย่างมั่นคงราวกับมีฐาน ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณ เหาะเหิน ทั้งยังไม่มีปัญหาด้านทัศนวิสัย มองจากภายนอกเห็นเป็นผืนสีเทามองอะไรไม่ชัด อยู่ข้างในมองออกไปข้างนอกกลับเป็นแค่สิ่งที่เหมือนเยื่อบางๆ
หลังจากเจ้าสำนักเข้ามา เมฆอูสิงก็ออกจากสำนักหลิงเถี่ยวมุ่งไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเมฆอูสิงรวดเร็วยิ่ง ใช้เวลาครึ่งวันก็มาถึงริมทะเล ที่นี่ออกนอกพื้นที่ของสำ ำนักหลิงเถี่ยวนานแล้ว เพียงแต่เนื่องจากไม่มีสิ่งมีค่า เป็นหาดก้อนหินและโขดหินผืนหนึ่งจึงไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนมา ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะค้นคว้าอยู่สามร้อยปีโดยไ ไม่ถูกพบเห็นภายใต้จมูกของสิบเอ็ดหอ
เมฆอูสิงพาพวกเขาเหาะขึ้นบนก้อนหินที่ยื่นออกมาริมทะเล เจ้าสำนักเก็บเมฆอูสิง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของสำนักหลิงเถี่ยวสิบแปดคนก็นำวัสดุนานาชนิดออกมาอย่างรวดเร็ว ว เริ่มวาดวงเวทบนพื้น
สิ่งของที่พวกเขาใช้ทั้งหมดระดับสูงยิ่ง ไม่เพียงใช้หมึกวิญญาณวาดวงเวท ยังใช้หินผลึกและวัตถุดิบหลากสีสันทำเป็นวงเวทบนพื้นราวกับประติมากรรมนูน
วาดวงเวทใช้เวลาหนึ่งชั่วยามและยังใช้เวลาอีกครึ่งชั่วยามประดับประดาบนนั้น ทำให้บนก้อนหินที่ไม่มีอะไรเลยเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตหรูหราและงดงามอย่างยิ่ง
หลังจากทำวงเวทเสร็จ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่มาจากภายนอกต่างได้ถุงเฉียนคุนคนละหนึ่งใบ จินเฟยเหยาใช้การรับรู้กวาดดู ด้านในมียาเสริมพลังระดับห้าสิบขวดและศิลา าวิญญาณชั้นบนห้าสิบก้อน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับเสริมพลังวิญญาณขณะที่กินยามากๆ ถ้ากินยาตลอดภายในร่างกายจะมีพิษยาสะสม
ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากพอได้ถุงเฉียนคุนมาก็มองดูแวบเดียวแล้วโยนใส่ไว้ในอก ถึงต้องเสริมพลังวิญญาณก็ต้องกินยาขั้นสองขั้นสามก่อน สิ่งของดีๆ อย่างยาขั้นห้าต้องเก็บไว้ใช ช้งานตอนที่จำเป็นจริงๆ
จินเฟยเหยาแอบคิดในใจ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ใดก็ประหยัดเหมือนกันทั้งนั้ร ถึงร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็จะแสร้งทำเป็นยากจนเสียแปดส่วน มีเงินทองก็จะไม่ให้คนอื่นรู้