คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 367 ฮุ่นตุ้นเบิกทาง
“ตอนนี้จัดตำแหน่งคุ้มครองวงเวทให้ทุกคน ภายนอกวงเวทมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่รวมยี่สิบแปดคน สหายเซียนแต่ละท่านเชิญเข้าสู่วงเวท” เวล ลานี้เจ้าสำนักหลิงเถี่ยวเริ่มกางวงเวท
พอจินเฟยเหยาได้ยินแบบนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของสำนักหลิงเถี่ยวแปดคนก็อยู่ว่างน่ะสิ ต้องสำรองไว้มากขนาดนี้เลยหรือ? นางกับ ปู้จื้อโหยวเข้าไปนั่งขัดสมาธิในวงเวท พอหันหน้ามามองดู จู๋ซวีอู๋ไม่ได้เข้าวงเวททว่ายังยืนจูงฮุ่นตุ้นอยู่ด้านข้างดังเดิม
รอจนคนทั้งหมดนั่งลง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตหกคนก็เข้ามาในวงเวทและนั่งในตำแหน่งใกล้จุดศูนย์กลาง ส่วนดวงตาวงเวทตรงกลางกลับว่างเปล่า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าคนนั้นไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นมาตลอด
“เปิดวงเวท!” ไม่รอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าที่เป็นดวงตาวงเวท เจ้าสำนักออกคำสั่งเริ่มทันที ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักหลิงเถี่ยวที่ได้รับคำสั่ งก็เริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าสู่วงเวททันที ผู้บำเพ็ญเซียนนอกสำนักอย่างพวกจินเฟยเหยาจึงได้แต่ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปด้วย ยังรู้สึกสงสัย ดวงตาวงเวทอยู่บ้าง
จินเฟยเหยามองฮุ่นตุ้นที่อยู่นอกวงเวทแวบหนึ่ง สงสัยว่าสำนักหลิงเถี่ยวพาฮุ่นตุ้นที่ควบคุมได้ยากมาที่นี่ อาจจะเป็นดวงตาวงเวทแทนผู้บำเพ พ็ญเซียนขั้นว่างเปล่า ทว่าฮุ่นตุ้นเพิ่งขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายจะสามารถแทนที่ได้จริงๆ หรือ ฮุ่นตุ้นถือว่ามีพลังหนึ่งในสิบส่วนของร่างสมบูรณ์ แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีความสามารถใดเป็นพิเศษ
ขณะที่ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปวงเวทยังปกติดี เวลานี้พลันมีแรงดูดมหาศาล ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบแปดคนรู้สึกว่าพลังวิญญาณหนึ่งในส สิบส่วนพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งญ็ญ ความเร็วรวดเร็วเกินไป ใช้ของวิเศษชั้นยอดที่อานุภาพไร้เทียมทานหนึ่งชิ้นจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณสองในสิบส่วน ระหว่างที่ครุ่นคิดก็สูญเสียพลังวิญญาณไปอีกส่วน ทุกคนขมวดคิ้ว ความเร็วขนาดนี้ถึงกินยาเสริมพลังก็ตามไม่ทันการผลาญใช้พลังวิญญาณ
“ทุกคนเพ่งสมาธิไปยังพลัง ควบคุมพลังวิญญาณไว้ ถ่ายทอดพลังวิญญาณลงในวงเวทด้วยความเร็วเสมอกัน” เวลานี้เจ้าสำนักเอ่ยเสียงห้าวลึก
ทุกคนยับยั้งพลังวิญญาณ ต่อต้านแรงดูดของวงเวท ให้พลังวิญญาณถ่ายทอดเข้าไปอย่างช้าๆ ตรงดวงตากลางวงเวทปรากฎดวงแสงเล็กๆ ดวงหนึ่ง พลังวิญญาณท ที่ถ่ายทอดเข้าไปผ่านวงเวททั้งหมดมารวมกัน จากนั้นกลายเป็นแสงวิญญาณขนาดหนึ่งนิ้วมือลอยออกมาจากดวงแสงโจมตีบนพื้นที่ว่างเหนือก้อนหิน
เห็นพื้นที่ว่างพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา หลังจากกระเพื่อมก็ปรากฎรอยแยกช่องว่างสีดำที่ไร้กฎเกณฑ์แห่งหนึ่ง แสงวิญญาณซ่อมแซมรอยแยกทีละนิดอย่างช้าๆ ขอเพียงซ่อมแซมรอยแยกช่องว่างได้ เส้นทางสายนี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์
นี่คือขั้นตอนที่ยาวนานและน่าเบื่อหน่าย ทุกคนตั้งใจทำงาน เจ้าสำนักหลิงเถี่ยวพาศิษย์ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิด้านข้าง ส่วนจู๋ซวีอู๋พาฮุ่นตุ้นยืน อยู่นอกวงเวทมาตลอด ระหว่างนั้นฮุ่นตุ้นยังอาละวาดอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร กระพือปีกคิดจะจากไปอย่างกะทันหัน ทุกครั้งล้วนถูกเขาขั ดขวางไว้
จินเฟยเหยาเดาว่าเนื่องจากน่าเบื่อหน่ายเกินไป เดิมทีก็ไม่ได้ยินมองไม่เห็น ยังยืนโง่งมอยู่ที่นี่มิยิ่งหงุดหงิดหรือ ถ้าอยู่หลายสิบวันจริงๆ จะ ะก่อความวุ่นวายหรือไม่
สิบวันผ่านไป ในที่สุดก็ซ่อมแซมรอยแยกช่องว่างแล้วหนึ่งช่อง ทว่าด้านหลังกลับยังมีช่องใหญ่กว่าอีกช่อง เห็นรอยแยกขนาดยักษ์ช่องนั้นทำให้คนร รู้สึกท้อแท้
“ทุกคนยืนหยัดไว้ ขอเพียงซ่อมรอยแยกช่องนี้เสร็จสิ้นก็จะสามารถเปิดเส้นทางทั้งหมดได้” เห็นทุกคนมีสีหน้าหงุดหงิด เจ้าสำนักจึงยืนขึ้นให้กำลังใจ จทุกคน ถ่ายทอดพลังวิญญาณเป็นเวลายาวนานเช่นนี้การรับรู้บาดเจ็บอยู่บ้าง หากไม่ยุ่งยากคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมอบสิ่งของอย่างของวิเศษชั้นยอด
หลังจากทุกคนซ่อมแซมรอยแยกนี้เสร็จสมบูรณ์ ด้านหลังก็ปรากฎรอยแยกขนาดใกล้เคียงกับช่องแรกขึ้นอีก ดังนั้นทุกคนจึงเหล่มองเจ้าสำนัก
เจ้าสำนักก็คิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีรอยแยกอีกช่อง ครั้งนี้คร้านจะพูดมากความ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ถึงอย่างไรพวกเจ้ารับปากแล้ว ไม่ทำก็ต้องทำ ดังนั้นเขาจึงยืนหลับตาครุ่นคิดอยู่ด้านข้าง แสร้งทำเป็นไม่รู้
เพื่อของวิเศษชั้นยอดทุกคนจึงไม่ปริปาก หากมิใช่มือหนึ่งถือศิลาวิญญาณชั้นบนก้อนหนึ่งดูดซับพลังวิญญาณก็กินยาเสริมพลัง ทว่าสิ่งที่ทำให้คนคิด ดไม่ถึงคือ วันที่สามสิบเจ็ดมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้นของสำนักหลิงเถี่ยวคนหนึ่งล้มลง
คุณสมบัติร่างกายย่ำแย่เกินไป! จินเฟยเหยาอดมองเขาหลายแวบไม่ได้ แค่ถ่ายทอดพลังวิญญาณเล็กน้อยก็กลายเป็นแบบนี้?
เห็นมีคนล้มลงบนพื้น เจ้าสำนักจึงรีบลากตัวออกมา ส่วนดวงแสงพลังวิญญาณกลางวงเวทส่ายไหวทันที เขาอดตะโกนเสียงเครียดไม่ได้ “ตั้งใจควบคุมพลัง งวิญญาณ! ถ้าก้อนพลังวิญญาณระเบิด พวกเราทุกคนต้องตายหมด!”
“หา!” จินเฟยเหยาตกใจอย่างยิ่ง สายตาจับจ้องดวงแสงกลางวงเวท คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ด้านในคือพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคนในสามสิบเจ็ดวั นที่ผ่านมา ถ้าระเบิดคงไม่มีใครหนีรอด
มีผู้บำเพ็ญเซียนรีบนั่งเสริมช่องว่างที่ขาดหาย ดวงแสงในสายตาของทุกคนค่อยๆ มั่นคงอย่างช้าๆ ทุกคนจึงโล่งอก คิดไม่ถึงว่าแค่ซ่อมแซมรอยแยกยังมี อันตรายถึงชีวิต บนโลกนี้ไม่มีอะไรง่ายดายจริงๆ
หลังจากลากผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นออกมา เจ้าสำนักก็ถลึงตาใส่เขาหลายครั้ง หากมิใช่มีคนนอกอยู่ที่นี่ต้องด่าทอเขาสักยกแน่ ทำให้สำนักหลิงเถี่ยว วเสียหน้าแท้ๆ ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระยังไม่ล้ม คนของตนเองกลับล้มลง
วันที่ห้าสิบสามพวกเขาก็ซ่อมแซมรอยแยกช่องนี้เสร็จ ด้านหลังไม่มีรอยแยกปรากฎขึ้นอีก ทุกคนต่างโล่งอก ทั่วร่างเริ่มปวดเมื่อย พิษของยาเสริมพลัง งเริ่มออกฤทธิ์ ถ่ายเทพลังวิญญาณอย่างตึงเครียดและไม่ได้พักตลอดห้าสิบวันทำให้ร่างกายของทุกคนรู้สึกไม่สบาย ตอนนี้ทุกคนเพียงรอให้เจ้าสำนักตะโ โกนสั่งหยุด
ปฏิกิริยาของจินเฟยเหยาไม่ชัดเจนเท่าพวกเขา ครั้งนี้ดีกว่าในอดีตมากนัก ศิลาวิญญาณและยาเสริมพลังที่กินล้วนเป็นของดี ดีกว่ายาระดับต่ำในอ อดีตที่กินแล้วเสริมพลังครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งเป็นพิษยา บวกกับร่างกายที่แข็งแกร่งเกินธรรมดาจากเคล็ดวิชาสร้างร่างมารและเทาเที่ย ถึงร่างกา ายจะรู้สึกไม่สบายทว่าเดินทางผ่านเส้นทางได้อย่างไม่มีปัญหา
“ซวีอู๋!” เจ้าสำนักสั่งคำหนึ่ง สิ่งที่ตะโกนกลับไม่ใช่คำว่าหยุด
จู๋ซวีอู๋ได้รับคำสั่งจึงกุมมือฮุ่นตุ้นเหาะเข้าไปในวงเวท ฮุ่นตุ้นยืนอยู่กลางดวงแสง สะบัดมือของเขาออกทันที เส้นผมเริ่มลอยขึ้นมา ใบหน้าเปล ลี่ยนเป็นดุร้าย
“ทุกคนถ่ายทอดพลังทั้งหมดเข้าไป พวกเราจะทะลวงเส้นทางที่ปิดกั้นในคราวเดียว!” เจ้าสำนักตวาดด้วยเสียงเคร่งขรึม นี่คือด่านสุดท้าย หยิบยืมพลังขอ องฮุ่นตุ้นทะลวงเส้นทางก็สามารถเชื่อมไปสู่โลกภายนอกได้
ครั้งนี้เจ้าสำนักมีความมั่นใจไม่มากนัก เดิมทีที่ตกลงกันไว้คือผู้อาวุโสขั้นว่างเปล่าของสำนักหลิงเถี่ยวท่านหนึ่งจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกสิ บเอ็ดหอเรียกตัวไป ไม่รู้ว่าสิบเอ็ดหอได้ข่าวอะไรหรือไม่ดังนั้นจึงเรียกคนไป ทว่าคิดไปคิดมา ถึงระเบิดก็มีเพียงฮุ่นตุ้นที่สามารถรับการโจมตีอย่ างเต็มกำลังแทนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าได้ เพียงแต่ฮุ่นตุ้นไม่เชื่อฟัง เรื่องนี้ต้องระวังหน่อย
เสียงร้องตกใจของฮุ่นตุ้นพลันถ่ายทอดมาถึงหูของทุกคน ทรมานหูของทุกคนอย่างบ้าคลั่ง วงเวทสูบพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบ บแปดคนจนว่างเปล่าตามเสียงร้องของนางทันที จากนั้นก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตหกคน พลังวิญญาณทั้งหมดถูกสูบไปไว้บนร่างของฮุ่นตุ้น ส่ว วนจู๋ซวีอู๋กระโดดออกจากวงเวทอย่างว่องไว ไม่เช่นนั้นคงหนีไม่พ้นถูกดูดพลังวิญญาณจนว่างเปล่า
ภายใต้แสงรัศมีเสียดแทงนัยน์ตาของวงเวท ฮุ่นตุ้นอ้าปาก ลำแสงสายหนึ่งยิงออกมาจากปากโจมตีสถานที่ซึ่งเมื่อครู่เพิ่งซ่อมแซมรอยแยก เสียงดังตูม พื้นที่ว่างเปล่าถูกลำแสงโจมตีจนบิดเบี้ยวเป็นวังวน วงเวททั้งหมดก็ถูกทำลายในคราวเดียวตามไปด้วย ส่วนฮุ่นตุ้นหลังการโจมตีครั้งนี้ก็หมดสติไ ไปร่วงลงพื้นทันที
“สำเร็จแล้ว! เปิดเส้นทางได้แล้ว” เจ้าสำนักลุกขึ้นยืนอย่างยินดี กลางอากาศเหนือก้อนหินปรากฎวังวนแห่งหนึ่ง นี่คือสะพานกลางอากาศที่สามารถข้าม ผ่านน่านน้ำที่มีลมพายุรุนแรงผืนนั้น
“รีบไปทำให้สะพานกลางอากาศเสถียร จะให้เส้นทางหายไปไม่ได้!” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมาตลอดรับคำสั่งเจ้าสำนัก รีบเ เดินขึ้นไปใช้พลังวิญญาณวาดวงเวทบนเส้นทาง
เจ้าสำนักมองผู้บำเพ็ญเซียนแต่ละคนที่ถูกสูบพลังจนว่างเปล่าด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ “ขอบคุณสหายเซียนทุกท่านที่ช่วยเหลือ ของวิเศษชั้นยอดเตรียมไว ว้พร้อมแล้ว อีกสักครู่จะส่งทุกท่านกลับไปพักผ่อนที่สำนักหลิงเถี่ยว”
“อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ข้าไม่ต้องกลับไป ข้ายังขยับได้” จินเฟยเหยาโยนยาเสริมพลังเม็ดหนึ่งใส่ปากอย่างว่องไว ยืนขึ้นปัดฝุ่นบนร่างกายตนเอง ม มองเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นอะไร
เจ้าสำนักมองนางอย่างประหลาดใจ ถูกดึงพลังวิญญาณไปจนเกลี้ยงทั้งยังถ่ายเทพลังวิญญาณมาห้าสิบสามวัน คิดไม่ถึงว่ายังยืนขึ้นได้
ส่วนจินเฟยเหยากลับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ข้าเลือกของวิเศษชั้นยอดได้แล้วสินะ”
คิดไม่ถึงว่านางยังจดจำเรื่องนี้มาตลอดเพิ่งเสร็จเรื่องก็เอ่ยถึงทันที เจ้าสำนักมีสีหน้าน่าเกลียดอยู่บ้าง นำถุงเฉียนคุนใบหนึ่งออกมาแผ่บนพ พื้นก็ปรากฎกล่องหลากสีสันที่บรรจุของวิเศษชั้นยอดสามสิบกล่อง
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่เชิญมาจากภายนอกมีเพียงยี่สิบเอ็ดคน ที่นี่มีสามสิบกล่อง เป็นสิ่งที่สำนักหลิงเถี่ยวทำขึ้นหลังจากครุ่นคิดโดย ยเฉพาะ ถ้ามีคนละชิ้นพอดี ใครได้ชิ้นสุดท้ายก็จะไม่พอใจ อีกทั้งยังไม่อาจใส่ของห่วยๆได้
ตอนนี้มีกล่องมากมายขนาดนี้ ใครเลือกได้ของห่วย ก็จะนึกว่าของดีอยู่ในกล่องอื่นๆ อีกทั้งของวิเศษชั้นยอดในสามสิบกล่องนี้เป็นสิ่งของไม่ค่อ อยมีราคา ทั้งหมดเป็นสิ่งของที่มีแต่ชื่อทว่าไม่ค่อยมีอำนาจมากนัก ไม่ว่าจะเลือกชิ้นใดสำนักหลิงเถี่ยวก็ไม่ขาดทุน
มองกล่องที่ส่องแสงวิบวับบนพื้นสามสิบกล่อง จินเฟยเหยาเอ่ยถามผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ “พวกเจ้าจะมาเลือกด้วยกันหรือไม่?”
“สหายเซียนเลือกก่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็ได้เพียงคนละหนึ่งชิ้น” ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ไม่รีบร้อน ถึงกินยาเสริมพลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายยังรู้สึก กไม่สบาย สำนักหลิงเถี่ยวคงไม่พูดแล้วไม่รักษาคำพูดหรอก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น ทั้งยังต้องตั้งใจเลือกสักหน่อย เลือกกล่องไหนดีนะ จะเลือ อกส่งๆ ไม่ได้
“เช่นนั้นข้าเลือกก่อนนะ” เห็นตนเองได้เลือกคนแรก จินเฟยเหยามองกล่องวิญญาณบนพื้นอย่างละเอียดด้วยความยินดี นอกจากสีสันแตกต่างกัน กล่องเหล่ านี้ล้วนเหมือนราวกับพิมพ์เดียว สำนักหลิงเถี่ยวช่างมีแก่ใจจริงๆ ในใจนางอดบริภาษไม่ได้ ด้านในคงไม่ใช่ว่าไม่มีของดีสักชิ้นหรอกนะ?
ช่างเถอะ สุ่มเลือกมากล่องหนึ่ง คิดถึงว่าดูแบบนี้ก็ดูไม่ออก จินเฟยเหยาจึงใช้มือดูดกล่องสีแดงสดไป นางถือกล่องสีแดงไปบอกปู้จื้อโหยวว่า “สี แดงรื่นเริงและเป็นมงคล ด้านในต้องเป็นของดีแน่ เจ้ารีบไปเลือกมากล่องหนึ่งเถอะ”
“รีบร้อนทำไม” ถึงปู้จื้อโหยวจะพูดเช่นนี้ ทว่ายังใช้มือดูดอย่างไม่ลังเล หยิบกล่องสีขาวใบหนึ่งไป ยิ่งเป็นกล่องที่ดึงดูดความสนใจ สิ่งของที่ วางไว้ด้านในต้องย่ำแย่ที่สุดแน่ ของดีย่อมอยู่ในกล่องที่ไม่มีใครสังเกตจึงลดโอกาสที่คนจะเลือกไปได้