คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 370 เมืองไป่เหอ
จินเฟยเหยาพลันเดือดดาลจนสามารถทำได้ทุกอย่าง ที่นี่ไม่มีคนอื่น ผู้ใดจะรู้ว่ามุกลวดลายสดใสเสียหายอย่างไร จะฆ่าคนปิดปากหรือจะรีบจากไปทันที
ในเวลานี้เอง พลันมีคนปรากฎตัวออกมาเงียบๆ “เยี่ยจื่อ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้?”
พอสตรีเผ่าปิศาจผู้นี้เห็นผู้มาใหม่ก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี ว่ายไปฉุดดึงคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านลุงจาง ข้ากำลังดึงมุกลวดลายสดใส จู่ๆ คนผู้นี้ก็โผล่มาจากด้านข้างตะโกนเสี ยงดังทำให้ข้าตกใจจนมือพลาด ไม่ได้มุกลวดลายสดใสมา ตอนนี้กำลังเจรจาเรื่องชดใช้ค่าเสียหายอยู่”
คนที่ถูกนางเรียกว่าท่านลุงจางมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง “เจ้าจะชดใช้อย่างไร?”
จินเฟยเหยาตอบด้วยสีหน้าจริงใจ “ข้ายินดีชดใช้ตามเจตนาของคุณหนูเยี่ยจื่อ เพียงแต่ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ในตัวยังไม่มีหญ้าวิญญาณและยา ค่อยเป็นค่อยไปได้หรือไม่?”
“ยามังกรคำรามก็ไม่มีสักเม็ด?” คนผู้นี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนยากจนถึงขั้นนี้ แทบจะเรียกว่าขอทานได้
เยี่ยจื่อรู้สึกว่าเหตุใดตนเองจึงโชคร้ายขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนยากจน ตนเองมิเสียมุกลวดลายสดใสไปเปล่าๆ หรือ “ท่านลุงจาง ท่านว่าจะทำอย่างไรดี จะปล่อยนางไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
จินเฟยเหยาไม่ส่งเสียง มองพวกเขาสองคนครุ่นคิดว่าจะจัดการตนเองเช่นไรอย่างสงบนิ่ง นางไม่เจรจาได้หรือ? คนที่ถูกสตรีเผ่าปิศาจชื่อเยี่ยจื่อเรียกว่าท่านลุงจางเป็นเผ่ามนุษย์ขั้น นแปลงจิตช่วงต้น
ท่าทางคุ้นเคยกันดีของคนทั้งสองทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งสามเผ่าต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ภาพความปรองดองในตอนนี้มันเรื่องอะไรกัน เผ่ามนุษย์และเ เด็กหญิงเผ่าปิศาจมีความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ เดิมทีคิดจะหนี ตอนนี้ไม่มีทางเลือก ปะทะกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตไม่ได้ ตอนนี้พลังวิญญาณยังไม่ฟื้นฟูที่ก้นทะเลก็เคลื่อนไหวไม่สะดวก ก ดูก่อนว่าพวกเขาต้องการให้ตนเองชดใช้อย่างไรค่อยว่ากัน
“จริงสิ! ร้านเล็กๆ ของบ้านเจ้ากำลังขาดผู้รับใช้คนหนึ่งมิใช่หรือ ให้นางไปทำงานดีกว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นขั้นกำเนิดใหม่ ขอเพียงรวมกินอยู่พร้อม ทำหนึ่งปีครึ่งชำระหนี้แล้วค่ อยให้นางไป” ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จางครุ่นคิด พลันจำได้ว่าบ้านเยี่ยจื่อเปิดร้านขายของชำ กำลังขาดคนอยู่พอดี
“เรื่องนี้ข้ายินยอม เพียงแต่ข้ายังมีสัตว์ภูติตัวหนึ่ง รวมอาหารของมันด้วยได้หรือไม่ มันมีความสามารถมาก เรี่ยวแรงเยอะทั้งยังเชื่อฟัง สามารถเฝ้าร้านได้” จินเฟยเหยาดวงตาเป็น นประกาย รีบเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม นี่คือง่วงนอนก็มีคนส่งหมอนหนุนมาให้จริงๆ ตนเองไม่เข้าใจเรื่องทุกอย่างที่นี่อยู่พอดี ทั้งยังรวมกินอยู่พร้อม จะไปหาเรื่องได้เปรียบขนาดนี้จากที่ใ ใดได้
เยี่ยจื่อเห็นนางรับปากอย่างรวดเร็วปานนี้ก็มองนางอย่างหวาดหวั่นอยู่บ้าง “เจ้ายากจนถึงเพียงนี้ คงมิใช่ดื้อแพ่งอยู่ที่บ้านข้าไม่ยอมจากไปนะ!”
จินเฟยเหยาหางตากระตุกจากนั้นเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางแล้ว ออกไปฆ่าสัตว์ปิศาจเล็กน้อยคงได้ จะดื้อแพ่งอยู่ที่บ้านเจ้าไ ไม่ยอมจากไปได้อย่างไร ข้าทำเพื่อใช้หนี้ ถ้าเจ้าเชื่อข้า ข้าติดหนี้เจ้าไว้ก่อน รอจนข้าได้หญ้าวิญญาณมาจะคืนให้เจ้า”
“ช่างเถอะ ทำตามท่านลุงจางแล้วกัน บ้านข้าขาดผู้รับใช้คนหนึ่งพอดี ต่อไปข้าเฝ้าร้าน เจ้าออกไปหาสินค้า ทำงานให้ข้าเพียงพอแล้วก็จะให้เจ้าไป” เยี่ยจื่อครุ่นคิด ถ้าปล่อยนางไป ผู้ใด จะรู้ว่าจะใช้หนี้ได้เมื่อใด แค่ให้ที่พักและอาหาร จะไปหาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มาเป็นผู้รับใช้ได้จากไหน ถึงจะจ่ายเงินให้มากพอแต่ก็ไม่มีใครยอมทำ
“ข้าจะกลับพอดี ไปด้วยกันเถอะ” ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จางกลัวว่าจินเฟยเหยาจะหนีไปหรือไม่ หรือทางเดียวกันจริงๆ จึงเสนอว่าจะส่งพวกนางสองคนกลับโลกวิญญาณชิงหลิว
เยี่ยจื่อฉุดดึงมือของผู้บำเพ็ญเซียนจางอย่างยินดีและแย้มยิ้มเอ่ย “ข้าก็ได้นั่งปลาไป๋สุ่ยของท่านลุงจางน่ะสิ ขอบคุณท่านลุงจาง”
จินเฟยเหยาตั้งใจฟัง ถึงคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียน อยู่ในทะเลยังอู้อี้อยู่บ้างไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น นี่คือโลกวิญญาณแห่งใหม่ ต้องฟังอย่างละเอียด หากรู้แต่แรกว่าเผ่าปิศาจและเผ ผ่ามนุษย์มีความสัมพันธ์ดีขนาดนี้ ตนเองคงไม่ปลอมตัวเป็นเผ่าปิศาจหรอก อย่างน้อยที่สุดเผ่ามนุษย์ก็ไม่ต้องถูกเปิดเผย ตนเองไม่รู้เรื่องอะไรของเผ่าปิศาจเลย ผู้ใดจะรู้ว่าถูกดูออกเ เมื่อใด
ผู้บำเพ็ญเซียนแซ่จางตบถุงสัตว์ภูติ ปลาขนาดใหญ่สีขาวตัวหนึ่งกระโดดออกมา ยาวถึงสามจั้งเต็มๆ ดวงตาเล็ก ร่างกายแบนราบ พื้นที่กว้างขวางราวกับนกสยายปีก ด้านหลังมีหางปลาโปร่งใสเป็น นรูปพัด ดูแล้วเชื่องอย่างยิ่ง
“ขึ้นมาเถอะ” ผู้บำเพ็ญเซียนจางขึ้นปลาไป๋สุ่ย เยี่ยจื่อก็นั่งบนหลังปลาอย่างเบิกบานใจยิ่ง เห็นจินเฟยเหยายังยืนอยู่ข้างๆ จึงกวักมือเรียก จินเฟยเหยาจึงเก็บทงเทียนหรูอี้และ ะขึ้นนั่งบนปล่าไป๋สุ่ยเช่นกัน
สองคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับการที่นางเก็บทงเทียนหรูอี้ ไม่มีใครรู้สึกว่านางมีครีบปลาขนาดใหญ่คู่หนึ่งจริงๆ ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยปลาแบบนี้ สิ่งของที่แข็งทื่อขนาดนั้นจะ ะทำให้คนเข้าใจผิดได้อย่างไร
จากนั้นพอหางปลาไป๋สุ่ยโบกพัดก็ว่ายออกไปอย่างรวดเร็ว ประหยัดแรงได้มากกว่าว่ายเอง ความเร็วช้ากว่าใช้ของวิเศษเหาะเหินกลางอากาศนิดหน่อย จินเฟยเหยารู้สึกทันทีว่าตนเองใช้ทงเที ยนหรูอี้ว่ายน้ำคือนั่งหอยทากเดินทางโดยแท้ ทั้งน่าขำทั้งเชื่องช้าจนน่าหัวเราะ
ปลาไป๋สุ่ยบินออกไปครึ่งชั่วยาม ดำลึกไปใต้ทะเลเกือบหนึ่งหมื่นจั้ง สิ่งแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่น้ำทะเลอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดอีก ที่นี่สามารถมองเห็นก้นทะเลได้ ปะการั งสูงสามสี่จั้งกว่าตั้งอยู่บนพื้นท้องทะเล ฟองอากาศเล็กๆ ที่มีแสงแวววับจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากรูเล็กๆ บนกิ่งก้านปะการัง ฟองอากาศที่มีแสงแวววับเหล่านี้สาดส่องรอบด้านจนสว่างไสว ว
ปะการังสีสันสดใสสวยสดดงามอย่างยิ่ง ภายใต้ฟองอากาศที่มีแสงแวววับเห็นได้ชัดว่าเด่นสะดุดตา ส่วนในดงปะการังเหล่านี้มีปลาสวยงามนานาชนิดว่ายไปว่ายมาอย่าคึกคัก
ก้นทะเลไม่มีแสงอาทิตย์ ทว่านอกจากฟองอากาศของปะการังเหล่านี้แล้วบนพื้นท้องทะเลยังมีสิ่งที่ส่งแสงวิบวับจำนวนมากทำหน้าที่ส่องสว่าง จินเฟยเหยาหรี่ตามองดูอย่างละเอียด พบว่าในเปลื อกหอยที่อ้าปากกว้างพวกนั้นมีมุกขนาดใหญ่เท่ากำปั้นและศีรษะไปจนถึงขนาดเล็กเท่าดวงตาและเม็ดถั่ว ยังสว่างกว่าหินแสงราตรีหลายเท่า
นี่เป็นของดี โลกวิญญาณที่นางอาศัยอยู่ในอดีตล้วนไม่มีสิ่งเหล่านี้ ถ้าเก็บไปขาย ต้องแย่งชิงการค้าของหินแสงราตรีได้แน่ เดิมทีคิดจะเก็บสักหลายชิ้นมาใช้แทนหินแสงราตรี จะปลอมเ เป็นเผ่าปิศาจได้ดียิ่งขึ้น ทว่าความเคลื่อนไหวต้องสะดุดตาเกินไปแน่ จินเฟยเหยาจึงพักความคิดนี้ไว้ชั่วคราว ตอนนี้นั่งอยู่หลังบนปลาไป๋สุ่ยกับพวกเขา นางไม่ต้องถือหินแสงราตรีเลย ย อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นจะดีกว่า
บนพื้นท้องทะเลมีดงปะการังมากมาย นอกจากพวกมันแล้วยังมีป่าสาหร่าย หลักๆ คือสาหร่ายพิษที่ยาวสิบกว่าจั้งที่รวมกลุ่มกันเป็นป่า นอกจากก้นทะเลมีมุกพวกนี้ส่องสว่างแล้ว สถานที่อื นๆ ล้วนมืดมิด เห็นแล้วรู้สึกว่ามืดครึ้มน่ากลัว เพียงแต่อยู่ห่างมากการรับรู้ของจินเฟยเหยาจึงกวาดไปไม่ถึง ไม่เช่นนั้นนางคิดจะดูว่าด้านในซ่อนสัตว์ปิศาจไว้จำนวนมากหรือไม่
เหาะผ่านเหนือปะการังเหล่านั้นมาสองชั่วยามกว่า ก็มีเมืองแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นเบื้องหน้า นี่คือโลกวิญญาณชิงหลิวที่จินเฟยเหยาสงสัยมาตลอด ในกระจกสภาพโลกวิญญาณเคยเอ่ยถึงชื่อเม มืองแห่งนี้ มันชื่อว่าเมืองไป่เหอ
สิ่งแรกสุดที่เข้าสู่สายตาคือม่านแสงป้องกันขนาดยักษ์ กว้างถึงหนึ่งแสนจั้ง จุดสูงสุดของม่านแสงรูปวงกลมสูงเกือบสามพันกว่าจั้ง กลางม่านแสงโปร่งแสงเป็นเมืองที่มีสีสันสดใสแห่งหนึ ง บ้านเรือนทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นจากวัตถุในทะเล เปลือกหอยและปะการังอันวิจิตร โขดหินที่มีรูปร่างแปลกประหลาด ยังมีกระดูกสัตว์ทะเลที่ขาวราวกับหยก ทั้งหมดเป็นวัสดุที่ใช้สร้างบ บ้านเรือน
อีกทั้งไม่รู้ว่าคนเหล่านี้อยู่ว่างเกินไปหรือไม่จึงฝังมุกจำนวนมากลงบนบ้าน ไม่ต้องใช้แหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ แค่มุกพวกนี้ก็สาดส่องทั้งเมืองจนสว่างไสวราวกับหิมะแล้ว
นางอดคิดไม่ได้ ที่นี่สว่างแบบนี้ ก็แยกกลางวันกลางคืนไม่ได้สว่างอยู่ตลอดเวลาสิ ถ้ามีคนที่ชอบนอนหลับอาศัยอยู่ที่นี่ มิทรมานตายหรือ ต้องผนึกหน้าต่างจนเป็นเช่นไรจึงทำให้ภายใน นบ้านมืดได้
อีกทั้งวงเวทนี้มีขนาดใหญ่มากจริงๆ เป็นวงเวทอันใหญ่สุดที่นางเคยเห็นมา ถ้าต้องใช้ศิลาวิญญาณมิยากจนตายหรือ ขณะที่จินเฟยเหยาคิดเช่นนี้กลับลืมเรื่องที่เยี่ยจื่อเคยเอ่ยก่อ อนหน้านี้ว่า ศิลาวิญญาณเป็นสิ่งไร้ค่ามีเพียงคนที่ยากจนอย่างยิ่งจึงคำนวณว่าต้องใช้ศิลาวิญญาณมากเพียงใดในการรักษาวงเวทไว้
ถ้าเป็นเพียงวงเวทใหญ่อันหนึ่งก็ช่างเถอะ สิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาเดาะลิ้นคือเกาะลอยได้อันงดงามรอบวงเวทขนาดใหญ่เหล่านั้น ดูออกว่าเกาะลอยได้ทั้งหมดคือโขดหินก้นทะเล บนโขด ดหินล้วนมีวงเวทสร้างขึ้นเป็นม่านแสงขนาดเล็ก ภายในม่านแสงเป็นบ้านอันงดงามเช่นเดียวกัน และเกาะลอยได้เหล่านั้นยังมีเส้นทางโปร่งใสราวกับแถบผ้าลอยไปลอยมาที่เชื่อมเข้ากับวงเวท ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
เวลานี้รอบด้านปรากฎผู้บำเพ็ญเซียนนั่งโดยสารสัตว์ภูติจำพวกปลานานาชนิดว่ายผ่านมาบ่อยครั้ง จินเฟยเหยาเอามือก่ายหน้าผาก แอบด่าทอคนที่บอกเล่าเรื่องราวมั่วซั่วพวกนั้นในใจหลาย ยประโยค
บนหลังสัตว์ภูติจำพวกปลามีผู้บำเพ็ญเซียนของทั้งสามเผ่านั่งปะปนกันอยู่บ่อยๆ บางคนดูแล้วเป็นบุรุษสตรีที่ผูกสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน เห็นได้ชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา ภาย ยในเมืองไป่เหอก็เป็นทิวทัศน์เช่นนี้ ไม่ได้จำกัดการบิน บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเหาะเหินได้ตามใจปรารถนา สามารถไปได้ทุกที่ภายในวงเวทใหญ่ เห็นพวกเขาพุ่งออกจากวงเวทเสียงดังฟุ่บ จากนั้นก็โยนสัตว์ภูติจำพวกปลาออกมาอย่างรวดเร็ว ขึ้นนั่งแล้วแหวกว่ายไป
ภายในวงเวทมีอากาศ ไม่มีน้ำทะเล แต่ไม่มีใครสักคนใช้ของวิเศษกันน้ำให้ตนเองหลังออกจากวงเวท ทว่าแช่อยู่ในน้ำโดยตรง เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกไม่เข้าใจ ของวิเศษกันน้ำสาม มารถทำให้เสื้อผ้าแห้งได้มิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ยอมใช้
ทว่านางไม่ได้เอ่ยปากไต่ถาม นั่งอยู่บนหลังปลาโดยไม่ส่งเสียง ฟังเยี่ยจื่อและผู้บำเพ็ญเซียนจางสนทนากัน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องไร้สาระภายในบ้าน
ในที่สุดก็บินเข้าใกล้เมืองไป่เหอ ปลาไป๋สุ่ยมุดเข้าไปในวงเวทได้ยินเสียงดังชี่ จินเฟยเหยารู้สึกว่าบนร่างร้อนผ่าว มีควันสีขาวขึ้นมา เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแห้งในพริบตา ที่แท้ วงเวทนี้มีความสามารถทำให้เสื้อผ้าแห้ง มีวิวัฒนาการมากไปแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีประโยชน์อื่นๆ อีกหรือไม่
เข้าเมืองไป๋เหอปลาไป๋สุ่ยก็ไม่ได้ถูกเก็บกลับไป คิดไม่ถึงว่าจะกระพือครีบหางได้เหมือนนก ใต้ท้องก็มีครีบโปร่งใสคู่หนึ่งยื่นออกมาโบกพัดราวกับปีก เหาะเหินอยู่กลางอากาศต่อ
ตรงกลางเมืองไป่เหอมีเส้นสีแดงคล้ำตั้งอยู่ ก่อนหน้านี้จินเฟยเหยาเห็นแล้วนึกว่าเป็นสิ่งของจำพวกผ้า ตอนปลาไป๋สุ่ยบินผ่านข้างมัน นางมองดูอย่างละเอียดจึงรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง นี่มิใช่สิ่งของจำพวกผ้าสีแดง ทว่าเป็นเนื้อแห้งขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง
“นั่นใครหรือ คิดไม่ถึงว่าจะตากเนื้อแห้งชิ้นใหญ่ขนาดนี้ในใจกลางเมืองไป่เหอ?” ในที่สุดจินเฟยเหยาก็อดเอ่ยถามอย่างตกตะลึงไม่ได้