คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 38 ระเบิดก้นม้าที่หาดโคลนเหลือง
รออีกครู่หนึ่ง ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลางและช่วงปลายมาเจ็ดคน จำนวนคนทั้งหมดมีถึงสิบสี่คน นั่งจนเต็มโต๊ะสามโต๊ะของแผงบะหมี่ คนที่เดินผ่านมาเห็นที่นี่มีคนมากมาย นึกว่าค้าขายดีเป็นพิเศษ ก็เข้ามาร่วมสนุกด้วย ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งรอแย่งที่นั่งกินบะหมี่ สามีภรรยาชราสองคนทำจนมือเป็นระวิง
เห็นคนมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นทุกที เฉียนเฟิงก็รู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง เขาเลือกแผงบะหมี่เล็กๆ แห่งนี้โดยเฉพาะ ก็เพื่อไม่อยากดึงดูดสายตาคน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เดินผ่านทางเหล่านี้จะเบียดเสียดมา ไม่มีที่นั่งก็นั่งยองๆ กินบะหมี่อยู่ข้างทาง
เขาไม่ว่างแจ้งทุกคนว่าต้องไปที่ใด จึงได้แต่พาทุกคนจากไปก่อน
จินเฟยเหยาก็ตื่นตระหนก เหตุใดแผงบะหมี่จึงมีคนมากมายขนาดนี้ นางล้วงเศษศิลาวิญญาณที่ค่อนข้างใหญ่ก้อนหนึ่งชำระบัญชี แล้วลุกขึ้นยืนติดตามทุกคนไป
ทว่านางเพิ่มความระแวงขึ้น ฉวยโอกาสตอนนี้ที่คนมากมายส่งเสียงเอะอะ รีบฉุดดึงหลิ่วฉี่ปอ พึมพำเสียงเบา พวกนางสามคนเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน หากพบเจออันตรายเคลื่อนไหวพร้อมกันสามคนจะดีกว่า และพึ่งพาได้มากกว่าคนที่ไม่รู้จักเหล่านั้น
ทว่านางเพียงแค่คาดเดาโดยไร้หลักการ ไม่มีหลักฐานสักนิด หลังจากหลิ่วฉี่ปอได้ยินก็แค่พยักหน้า บอกให้ระวังหน่อย ส่วนจินเฟยเหยาก็หวังว่าตนเองคงคิดมากไป หากทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่นเป็นดีที่สุด
เพราะกลัวว่าสถานที่ซึ่งมีหญ้าวิญญาณจะรั่วไหลออกไป ดังนั้นเฉียนเฟิงจึงไม่ได้บอกทุกคนล่วงหน้าว่าจะไปที่ใด เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องปกติในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนใหญ่ที่ต้องเรียกคนมาช่วยล้วนเป็นสิ่งที่มีผลประโยชน์มาก หากบอกล่วงหน้าจะถูกคนช่วงชิงไปก่อนได้
ทุกคนไม่กล้าเอ่ยถามมากความ ก็เดินตามพวกเฉียนเฟิงไปยังวงเวทส่งตัวแบบนี้ อย่างไรเสียผู้อื่นก็เป็นผู้อาวุโสขั้นสร้างฐาน มีพลังแข็งแกร่งกำราบไว้ตลอดเวลา ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานนัก กลับเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่อายุสี่สิบกว่าปีหนึ่งในเจ็ดคนที่มาทีหลัง ที่เข้ามารวมกลุ่มกับพวกนาง
เห็นเขาหัวเราะคิกคักเอ่ยถามว่า “สหายเซียนทั้งสองช่างมีความกล้าจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไม่กลัวสัตว์ปิศาจกินคน ตอนนี้ยังกล้ารับงานออกนอกเมืองอีก”
เขาไม่ทักทายเลยสักนิด ก็เข้ามาตีสนิทอย่างบ้าตัณหาเช่นนี้ ทำให้หลิ่วฉี่ปอไม่พอใจ นางตอบอย่างเย็นชา “ก็แค่สัตว์ปิศาจตัวหนึ่ง มีอะไรน่ากลัว สหายเซียนตื่นตระหนกเกินไปแล้ว”
ทว่าคนผู้นี้กลับไม่รู้ตัว ทำหน้าทะเล้นติดตามอยู่ด้านข้างเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าสองคนวางใจ อีกสักครู่หากพบกับสัตว์ปิศาจกินคน ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่งดงามเช่นพวกเจ้า ไม่สมควรไปยังสถานที่อันตรายเช่นนี้ ในเมืองมีสถานที่มากมายที่ให้พวกเจ้าหาเงินได้อย่างสบายๆ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนสนใจหรือไม่ ข้าสามารถช่วยแนะนำงานที่หาเงินก้อนใหญ่ได้อย่างสบายๆ นะ”
“ไสหัวไป!” หลิ่วฉี่ปอฟังคำพูดของเขาแล้วพลันเดือดดาลขึ้นมา จึงเอ่ยด่าทอเขา
คนผู้นี้ประจบไม่ดี คิดจะประจบผู้อื่นผู้อื่นกลับไม่สนใจ แถมยังโดนด่าทอ อดอับอายจนกลายเป็นโทสะไม่ได้ ด่าทออย่างรุนแรง “จะเสแสร้งทำไม พวกสตรีน่ะ ไม่แน่ว่าแอบทำการค้าอะไรลับๆ”
“เจ้าลองพูดอีกทีสิ” หลิ่วฉี่ปอชะงักฝีเท้า จับจ้องเขาอย่างเดือดดาล
จินเฟยเหยามองพวกเขา รู้สึกบอกไม่ถูก มีอะไรน่าทะเลาะกัน คนผู้นี้ถึงแม้จะไม่มีมารยาท พูดจาหยาบคาย ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดจึงล่วงเกินหลิ่วฉี่ปอ ส่วนคนอื่นๆ ทั้งหมดก็หยุดฝีเท้าลงเพราะการเปลี่ยนแปลงนี้
เฉียนเฟิงในฐานะที่เป็นผู้มอบภารกิจ เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง ยังไม่ได้เริ่มเข้าถ้ำเลยก็โต้เถียงกันเสียแล้ว จึงอดบริภาษไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนทำอะไร หากส่งผลถึงเรื่องในครั้งนี้ของข้า ข้าจะควักจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเจ้ามาจุดไฟเสีย”
พอหลิ่วฉี่ปอและบุรุษผู้นั้นถูกเฉียนเฟิงขู่ขวัญ ก็หุบปากลงอย่างไม่ยินยอม โดยเฉพาะหลิ่วฉี่ปอทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ มองแวบเดียวก็ดูออกว่านางไม่ยินยอม
“ผู้หญิงคือตัวปัญหา เจ้าตัวไร้ประโยชน์จะไม่ไปก็ได้นะ” เฉียนเฟิงทิ้งคำพูดมาประโยคหนึ่ง แล้วหันหน้านำพาทุกคนไป
จินเฟยเหยาถูกคำพูดประโยคนี้ของเขาด่าทอจนมีโทสะ ผู้หญิงแล้วอย่างไร แค่ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังขั้นสร้างฐานช่วงต้นก็หลงระเริงจนกลายเป็นเช่นนี้ ตอนนี้นางไม่อยากไปแล้ว เดิมทีก็ไม่วางใจ แล้วยังถูกคนดูแคลนอีก ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงมองหลิ่วฉี่ปอ เห็นหลิ่วฉี่ปอมีโทสะจนสีหน้าซีดขาว กัดริมฝีปาก มองพวกเขาอย่างโกรธแค้น
“สหายเซียนหลิ่วหากไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ส่งพวกเขากลุ่มบุรุษไปสร้างรังให้แมงมุมตาผีเถอะ” นางกลัวว่าหลิ่วฉี่ปอจะไม่บอกว่าไม่ไปเพื่อตนเอง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
หลิ่วฉี่ปอกลับเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ไปสิ เหตุใดจะไม่ไป หากไม่ไปก็ว่าพวกเราไม่มีประโยชน์พอดี ต้องไปทำให้พวกเขาเห็น ว่าพวกเราไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่ อีกทั้งศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อน ข้ายังต้องใช้ประโยชน์ ถ้าไม่เอาก็เสียเปล่า”
“เช่นนั้นก็ตามใจ ถ้าเจ้าว่าไปก็ไป เพียงแต่เมื่อครู่เหตุใดเจ้าจึงมีโทสะขนาดนั้น?” จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่านางจะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีจริงๆ ถูกผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานด่าทอแบบนั้น ยังไม่ถูกขู่ขวัญให้กลับไปอย่างขลาดกลัว
“ฮึ งานสบายๆ ที่เจ้าหมอนั่นเอ่ยถึง ก็คือให้พวกเราไปบำเพ็ญคู่กับคนอื่น คนเช่นนี้ พึ่งพาค่านายหน้าจากการแนะนำคนโดยเฉพาะ แค่ด่าทอเขายังเบาไป” หลิ่วฉี่ปอเอ่ยด่าทออย่างดุร้าย ที่แท้เป็นเช่นนี้ ขนาดจินเฟยเหยาได้ฟังก็มีโทสะ ส่งเสียงถุยใส่ด้านหลังคนผู้นั้น
ส่วนติงเทียนเฉิง ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ส่งเสียงสักนิด เพียงแค่ตามพวกนางสองคนอย่างเงียบๆ ไม่แสดงความเห็นและไม่ช่วยออกหน้า เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน จินเฟยเหยาอดมองเขาหลายครั้งไม่ได้ ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิ่วฉี่ปอ
ในเมื่อหลิ่วฉี่ปอบอกว่าต้องไป ทั้งสามคนจึงรีบไล่ตามพวกเฉียนเฟิงไป เฉียนเฟิงเองก็ไม่ได้ขับไล่พวกเขา แค่ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
ตลอดทางเงียบกริบ ทุกคนไม่เอ่ยอะไรตั้งแต่ส่งตัวจากเมืองลั่วเซียนมาถึงหาดโคลนเหลือง หาดโคลนเหลืองเป็นหาดโคลนสีเหลืองผืนใหญ่ มองไกลๆ ดูเหมือนไร้ขอบเขต ในโคลนเต็มไปด้วยแอ่งน้ำน้อยใหญ่ บางแห่งยังมีฟองอากาศแปลกๆ ผุดออกมาจากในแอ่งน้ำ
บนหาดโคลนเหลืองที่อยู่ใกล้เมืองมีคนธรรมดาจำนวนมากในเมืองลั่วเซียนกำลังหาหอยโคลนเหลืองที่มีขนาดเท่าฝ่ามือในโคลน หอยโคลนเหลืองชนิดนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ขายดีที่สุดในร้านอาหารทุกร้าน พวกเขาแค่กล้าขุดหอยโคลนเหลืองตรงพื้นที่ชายฝั่งเท่านั้น สถานที่ซึ่งอยู่ใกล้หาดโคลนเหลืองจะมีหอยกาบโคลนขนาดยักษ์ปรากฏตัว ในเปลือกของหอยกาบโคลนเหล่านี้ล้วนเป็นฟันอันคมกริบ ปกติจะซ่อนตัวอยู่ในดินโคลนแล้วกลืนคนลงไปทั้งตัว จากนั้นจึงบดขยี้จนกลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนแล้วกินจนหมด
อีกทั้งยิ่งเข้าไปด้านในจะมีไส้เดือนดินลำตัวหยาบใหญ่เท่าถังน้ำและยาวเจ็ดแปดจั้ง ถึงแม้ไม่ตั้งใจทำร้ายคน ทว่าขุดในโคลนไปมาทั้งวัน ทว่าก็เกิดเหตุการณ์กลืนคนปะปนกับดินโคลนลงท้องไปบ่อยๆ ตอนคนออกมาก็เป็นส่วนหนึ่งของหาดโคลนเหลืองแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังมีปูโคลนยักษ์สูงเท่าหอเล็กสองชั้น ก้ามสองอันหนีบคนได้อย่างง่ายดายเหมือนตัดรากหญ้า อีกทั้งมันยังชอบกินเนื้อคนเป็นพิเศษ
จินเฟยเหยาคาดเดาเช่นนี้มาตลอด เพราะว่าคนไร้กระดองแถมยังไร้ขน ปกติอาบน้ำจนตัวขาวๆ เป็นๆ กินแล้วเนื้อต้องนุ่มลื่น รสชาติดีแน่ ดังนั้นสัตว์ปิศาจมากมายล้วนชอบกิน เฉียนเฟิงและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคน พอถึงหาดโคลนเหลืองก็นำอาวุธเวทออกมาขี่ขึ้นไป เพื่อดูแลจินเฟยเหยาและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเหล่านี้ จึงเหินบินอยู่ห่างจากพื้นดินห้าหกจั้ง
จินเฟยเหยายืนอยู่ในโคลนที่สูงเกินเข่า เห็นผู้อาวุโสสามคนบินอยู่กลางอากาศอย่างสะอาดหมดจด ทั้งยังมองเบื้องหน้า แล้วค่อยใช้เวทเหยียบอากาศเหาะเหินผ่านบนดินโคลน บางครั้งบางคราวจึงแตะบนโคลนเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ จากนั้นจึงบินออกไปกลางอากาศไกลหลายจั้งอย่างอิสระและผ่อนคลาย หลิ่วฉี่ปอและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนอื่นๆ มีความรู้สึกเสียใจผุดขึ้นมาในใจ
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลางรวมทั้งนางมีเพียงห้าคน มีคนหนึ่งโง่งมอย่างยิ่ง เห็นคนจมลงในโคลน คิดไม่ถึงว่าจะเรียกม้าท่าชิงหลิงสุดที่รักของตนเองออกมา ขายาวๆ ของม้าท่าชิงหลิงติดอยู่ในหล่มโคลนลึกจนขยับไม่ได้ท่ามกลางทุกคน
คนที่ยืนอยู่ในโคลนสี่คนมองชายหนุ่มชุดสีฟ้าที่นั่งอยู่บนม้า กระตุ้นม้าให้เดินเร็วๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ในที่สุด ม้าท่าชิงหลิงก็ยกขากระโดด เสียงดังตุ๋ม แล้วก็ติดหล่มโคลนครึ่งจั้งด้านหน้าอีกครั้ง เพราะว่ากระโดดขึ้นจึงร่วงลงมา คนทั้งสี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างถูกมันสะบัดโคลนบนตัวใส่
จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา สั่นตัวสลัดโคลนที่อยู่บนร่าง นางก้มเอวคลำหาหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งในโคลนบนพื้น จากนั้นเล็งตรงด้านล่างหางม้าแล้วดีดไป นางมีพละกำลังไม่เบา ก้อนหินเล็กๆ พุ่งเข้าไปในก้นม้าดุจลูกธนู
“ฮี้!”
ม้าท่าชิงหลิงส่งเสียงร้องฮี้ยาวนาน สะบัดกีบสี่ข้าง ดึงดันออกจากโคลนเป็นเส้นทางสายหนึ่ง พาเจ้านายควบตะบึงไปอย่างบ้าคลั่ง
จินเฟยเหยาปัดๆ มือ แสยะยิ้มให้กับคนทั้งสามที่มองนางอย่างตกตะลึง นางรวมพลังวิญญาณไว้ที่เท้ากั้นโคลนเอาไว้และปูพลังวิญญาณใต้เท้า เหมือนคนธรรมดาที่กำลังขุดหอยโคลนเหลืองเหล่านั้นที่บนเท้าของแต่ละคนเหยียบแผ่นกระดาน ป้องกันไม่ให้ถูกขังอยู่ในโคลน ยามต้องเคลื่อนไหว ในมือแต่ละคนถือท่อนไม้ท่อนหนึ่งก็สามารถไถลตัวบนโคลนได้
นางใส่พลังวิญญาณไว้ใต้เท้า หยิบยืมพลังวิญญาณลอยตัวอยู่บนโคลน จากนั้นนางก็เหยียบย่างด้วยพลังทั้งหมด คนก็หยิบยืมพลังลื่นไถลออกไป คนทั้งสามเห็นภาพเช่นนี้ก็เลียนแบบนาง ไล่ตามพวกเฉียนเฟิงไปแบบหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง
“ถอยไป อย่าขวางทาง” จินเฟยเหยาซัดฝ่ามือใส่ปูโคลนยักษ์ที่พุ่งออกมาจากโคลนอย่างกะทันหัน ปูโดนหัตถ์ไฟนรกไปหนึ่งฝ่ามือก็ล้มลงบนพื้น ถูกไฟนรกเผาไหม้จนเกลี้ยงในพริบตา ส่วนนางไถลบนโคลนไปถึงด้านหลังหาดโคลนเหลืองนานแล้ว สามารถมองเห็นเทือกเขาที่ทอดยาวไกลลิบได้ลางๆ
ตลอดทางจินเฟยเหยากำจัดสัตว์ปิศาจที่คิดจะกินนางซึ่งพุ่งออกมาจากในโคลนไปจำนวนไม่น้อย มองดูสัตว์ปิศาจเหล่านั้นถูกไฟเผาจนไม่เหลือซาก นางก็กังวลอยูบ้าง ไฟนรกสามารถต่อกรกับสัตว์ปิศาจขั้นเดียวกันหรือขั้นต่ำกว่าได้อย่างแหลมคมที่สุด ทั้งยังเผาได้อย่างเกลี้ยงเกลา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะไม่มีทางได้วัตถุดิบใดๆ จากตัวสัตว์ปิศาจเลย เช่นนั้นรายได้ก็ต้องลดลง ตอนนี้ต่อให้นางไปฆ่าตะขาบเหล็กก็เปล่าประโยชน์ หลังจากเข้าสู่ขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ตะขาบเหล็กก็กลายเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่ไม่อาจทนการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว
คิดไม่ถึงว่าอานุภาพของเวทมนตร์ยิ่งใหญ่เกินไปก็กลายเป็นเรื่องน่ากังวล หรือว่าต้องไปฆ่าผู้บำเพ็ญเซียนนอกเมืองโดยเฉพาะ ทำการค้าพวกแย่งชิงกระเป๋าเก็บของ?
จินเฟยเหยาเลียริมฝีปากใจเต้นนิดหน่อย เรื่องนี้ยังได้เงินมากกว่าฆ่าสัตว์ปิศาจเสียอีก ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ศักดิ์ฐานะเช่นนี้ ทำให้คนไม่เกิดความระแวงระวังอะไร
ขณะอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด นางก็มาถึงชายหาดโคลนเหลืองอีกฝั่ง พวกหลิ่วฉี่ปอรออยู่ที่นี่นานแล้ว
ด้านหน้าพลันมีหอยกาบโคลนตัวหนึ่งพุ่งออกมา นางยกเท้าขึ้นเตะหอยกาบโคลนออกมาจากในโคลนทั้งตัว จนลอยหมุนติ้วไปยังชายฝั่งและกระแทกดินที่แข็งแกร่งบนชายฝั่งดังตูม
จินเฟยเหยากระโดดขึ้นฝั่งอย่างมั่นคง เห็นผู้บำเพ็ญเซียนชุดฟ้าที่ขี่ม้าเมื่อครู่ ตอนนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลน เห็นเพียงดวงตาสองข้าง ส่วนม้าท่าชิงหลิงตัวนั้นก็ยืนตัวเปื้อนโคลนอยู่ด้านข้าง บางครั้งยังสั่นร่างสลัดโคลนเหลืองลงพื้น