คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 385 เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน
“พั่งจื่อ เจ้าอย่าแอบเกียจคร้าน รีบกำจัดสองตัวนั้น!” จินเฟยเหยากำจัดสัตว์ทะเลขั้นหกตัวหนึ่งอย่างว่องไว พอหันหน้ากลับมาดูก็เห็นบนร่างพั่งจื่อมีสัตว์ทะเลสองตัวทับอยู่ ไ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
ยกดาบทงเทียบนหรูอี้ที่เต็มไปด้วยคราบเลือด จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว สัตว์ปิศาจที่เข้ามามีมากเกินไป โลหิตสดอาบย้อมทั่วทั้งวงเวททำให้ทัศนวิสัยไม่ดี อีกทั้งสัตว์ทะเลที่ตายแล ละไม่ตายก็ปะปนกันอยู่ในน้ำทะเล ทำให้ไม่สะดวกอย่างยิ่ง นางดึงน้ำทะเลออกจากในวงเวท สัตว์ทะเลตัวหนึ่งก็ร่วงลงบนพื้นท้องทะเล พลิกตัวดิ้นรนไม่หยุด
ส่วนซากของสัตว์ทะเลก็กองเป็นภูเขา น้ำทะเลเป็นสีแดงจนถึงข้อเท้า มีเพียงสัตว์ทะเลไม่กี่ตัวที่ไม่ได้ถูกกำจัดทิ้ง
“เกือบได้ละ ครั้งเดียวได้สัตว์ทะเลมากมายขนาดนี้ ท่าทางคงไม่ต้องออกมาหนึ่งถึงสองปี” หวาหวั่นซีเก็บเล็บ นั่งอยู่บนกองสัตว์ มองสัตว์ทะเลที่เกลื่อนเต็มพื้น
จินเฟยเหยานับจำนวนคร่าวๆ ยิ้มออกมาทั้งคิ้วและตา “น่าจะเกือบสามสี่ร้อยตัวได้ ตัวที่มีตานศักดิ์สิทธิ์มีหนึ่งร้อยกว่าตัว ถ้าข้าเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตที่นี่ไม่ได้ก็ผิดต่อสว วรรค์เบื้องบนแล้ว”
“ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้ามีของดีแบบนี้ ทำไมไม่เอาออกมาเร็วหน่อย บนบกก็ล่าสัตว์ได้ ทำให้ข้าที่มีแต่หัวรอคอยอยู่ตั้งนาน” หวาหวั่นซีเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“สัตว์ปิศาจบนบกมีเยอะขนาดนี้ที่ไหน อีกทั้งสิ่งนี้ไม่เหมาะจะใช้บนบก พอถูกลมพัดก็ไม่รู้ว่าลอยไปที่ใด ส่วนที่นี่ไม่เหมือนกัน กระแสน้ำสามารถควบคุมทิศทางการไหลของผงเหล่านี้ให ห้ที่นี่รักษากลิ่นอายที่เข้มข้นที่สุดไว้ สัตว์ทะเลจึงพุ่งมาอย่างบ้าคลั่ง” การเก็บเกี่ยวในวันนี้มหาศาลจริงๆ ออกมารอบหนึ่งก็ได้สัตว์ทะเลสามสี่ร้อยตัว จินเฟยเหยายินดี นอกจากต ตานศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองกินแล้ว สิ่งอื่นๆ ล้วนสามารถขายได้ ชีวิตที่นี่ช่างมีความสุขจริงๆ
“เถียงข้างๆ คูๆ” หวาหวั่นซีส่งเสียงขึ้นจมูก ถ้าเชื่อคำพูดของนางก็แปลกแล้ว
เหลือสัตว์ทะเลไม่กี่ตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ จินเฟยเหยานำถุงเฉียนคุนที่เตรียมไว้ออกมา เก็บสัตว์ทะเลลงถุงทีละตัว ปริมาณมากขนาดนี้ ถ้าแบ่งหลายตัวให้ร้านเยี่ยจื่อ นางยังเกร รงว่ากว่าจะขายได้คงใช้เวลานาน
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาหยุดมือเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหนือ หวาหวั่นซีก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยมองไปยังน่านน้ำทางเหนือเช่นกัน ที่นั่นมีปราณปิศาจดุร้ายหลายขุมกำลังพุ่งมาที่นี่อย่าง รวดเร็ว หนึ่งในนั้นมีปราณปิศาจที่เปี่ยมล้น เป็นพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย
“หรือว่ามีเผ่าปิศาจคิดจะมาแย่งชิงเหยื่อ ไม่กลัวว่าจะทำลายกฎเกณฑ์หรือ?” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
หวาหวั่นซีพลันเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เกรงว่าคงเป็นเจ้าโง่ที่ติดกับของเจ้า ตอนนี้คิดจะมาหาเจ้าเพื่อระบาย เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าเขินอายข้ากับพั่งจื่อจะออกไปนอกวงเวท ให้พื นที่กับเจ้า”
“ทำไมเจ้าสัปดนขนาดนี้ ถ้าใครกล้า ข้าจะอัดมันให้ตาย!” จินเฟยเหยากลอกตาใส่นาง พูดจาเหลวไหล
“รอดูก็แล้วกัน” หวาหวั่นซีเอ่ยยิ้มๆ อย่างยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น ถ้าได้เห็นเรื่องน่าขำของจินเฟยเหยาก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว
ในเวลานี้ปราณปิศาจหลายสายเข้ามาใกล้ มองเห็นได้ว่าคนที่ว่ายอยู่หน้าสุดเป็นบุรุษเป็นบุรุษขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ลักษณะพิเศษไม่ชัดเจน หากมิใช่ตรงหูมีเปลือกแข็งอันแปลกประหลาด ด ก็ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นเผ่าปิศาจ เขามีเส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะ ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ปราณปิศาจทั่วร่างระเบิดออกมาภายนอก พุ่งตัวมาราวกับมีความแค้นสังหารบิดา
ด้านหลังของเขายังมีเผ่าปิศาจหลายคน ในจำนวนนั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สองคน สี่คนที่เหลือเป็นขั้นหลอมรวม พวกเขาไล่ตามมาอยู่ด้านหลัง สีหน้าร้อนใจอย่างยิ่ง
“รีบร้อนขนาดนี้ คิดจะทำอะไรน่ะ!” จินเฟยเหยาตกใจท่าทางของพวกเขา นี่คือกลิ่นอายตอนเสี่ยงชีวิตนี่นา หรือกำลังหนีเอาชีวิตรอด?
ระหว่างที่พูดก็เห็นเผ่าปิศาจคนนั้นพุ่งเข้ามา จากนั้นก็พุ่งหัวปักเข้ามาในวงเวทโดยไม่สนใจทุกสิ่ง
ฉากที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้คนทั้งสองในวงเวทตกตะลึง แม้แต่พั่งจื่อก็มองดูแบบอ้าปากค้าง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
เผ่าปิศาจที่เข้ามาในวงเวทคนนั้นผลักหวาหวั่นซีที่ยืนอยู่บนกองสัตว์ทะเลล้ม จากนั้นกดร่างทับลงไป หวาหวั่นซีกลับนอนนิ่งอึ้งอยู่บนกองสัตว์ทะเลด้วยสีหน้างุนงง
นางไม่เข้าใจ เผ่าปิศาจคนนี้เห็นได้ชัดว่าโดนผงปลุกกำหนัด ทว่าทำไมจึงพุ่งเข้ามาหาตนเอง ถ้าจะกระโจนเข้าใส่ก็ต้องกระโจนเข้าใส่จินเฟยเหยาสิ ทันใดนั้น นางก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้น นได้ มีเพียงนางและจินเฟยเหยาที่รู้ว่าตนเองเป็นหุ่นเชิด ผู้อื่นไม่รู้
ส่วนสตรีสองคนในที่นั้น เห็นได้ชัดว่าตนเองงดงามมากกว่าจินเฟยเหยา ขอเพียงไม่ได้ตาบอด มองแวบแรกต้องเห็นตนเองแน่ หวาหวั่นซีอับอายจนกลายเป็นโทสะทันที รอดูเรื่องน่าขำของจิ นเฟยเหยา สุดท้ายมองเห็นเรื่องน่าขำของตนเองแทน
จินเฟยเหยาและพั่งจื่อยืนอยู่ด้านข้าง มองฝ่ายบุรุษเผ่าปิศาจขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายที่กำลังลูบคลำสะเปะสะปะอยู่บนร่างของหวาหวั่นซี ทั้งยังล้วงมือเข้าไปในชุดจูเชวี่ยอย่างป ปากอ้าตาค้าง
“เดรัจฉานจริงๆ แม้แต่หวาหวั่นซีก็จะขืนใจ” จินเฟยเหยายืนปิดปากแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง
“อ๊บ” พั่งจื่อก็พยักหน้าเห็นด้วย
ส่วนในเวลานี้เผ่าปิศาจหลายคนนั้นเร่งรุดตามมาทัน เห็นสหายของตนเองทำเรื่องเช่นนี้ ส่วนคนที่ถูกกดยังเป็นเผ่ามนุษย์ ของวิเศษชั้นยอดบนร่างเตือนสติพวกเขา ครั้งนี้เกรงว่าคงก ก่อเรื่องใหญ่โตแล้ว
เดิมทีพวกเขาคิดจะพุ่งเข้ามาลากคนในวงเวท แต่พบว่าบนพื้นมีสัตว์ทะเลกองอยู่หลายร้อยตัว จึงหยุดความเคลื่อนไหวทันที ท่าทางคนในนี้จะร้ายกาจยิ่ง ถ้าเข้าไปจะถูกคนฆ่าตายด้วยหรือ อไม่
หวาหวั่นซีมองบุรุษเผ่าปิศาจที่ลูบคลำสะเปะสะปะบนร่างตนเองด้วยสายตาเย็นชา รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างดุนดันอยู่บนร่างของตนเอง นางมองคนผู้นี้อยู่เช่นนี้ คิดจะดู สิว่าจะทำอะไรได้
เผ่าปิศาจคนนี้ลูบคลำอยู่บนร่างสาวงามชั้นยอดอยู่นาน เวลานี้รู้สึกราวกับทั่วร่างกำลังจะระเบิดออกคิดจะหาสตรีมาดับความร้อนรุ่ม ไม่สนใจว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปิศาจ เขายืน นมือเข้าไปลูบคลำในชุดจูเชวี่ยอยู่นาน รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง สิ่งที่สมควรมีกลับไม่มี
เขาอดเอ่ยอย่างร้อนใจไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่มี!”
หวาหวั่นซีมองเขาแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไร?”
บุรุษเผ่าปิศาจเงยหน้าขึ้นตอบ “แน่นอนว่าเป็น…” คำพูดเพิ่งออกจากปาก ก็เห็นศีรษะของเขาร่วงลงพื้น โลหิตสดบนคอพุ่งกระฉูดเป็นจั้ง ส่วนเล็บในมือของหวาหวั่นซีงอกออกมาแล้ว บน นนั้นเต็มไปด้วยคราบโลหิตเป็นด่างดวง
ศีรษะของเขากลิ้งลงจากกองสัตว์ทะเล ดวงตาสองข้างกลับยังเบิกกว้างตวาดเสียงดังว่า “เจ้ากล้าสังหารข้า!” ส่วนร่างของเขากลับไม่ล้ม สองมือดึงในความว่างเปล่า หนามบินขนาดไม่ถึง งครั้งจั้งอันหนึ่งลอยออกมากลางอากาศพุ่งเข้าใส่หวาหวั่นซี
“ตาย!” หวาหวั่นซีพลันถลึงตา บนร่างมีหนามแหลมที่คล้ายคลึงกับเล็บมือพุ่งออกมานับร้อยอัน ปักลงบนร่างบุรุษเผ่าปิศาจที่ไร้ศีรษะผู้นั้น จากนั้นเล็บในมือก็รัดพันและดึงอย่า างแรง ร่างของเผ่าปิศาจผู้นี้ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ทันที
หวาหวั่นซีลุกขึ้นสลัดชิ้นส่วนซากบนชุดจูเชวี่ยออก จากนั้นเหินร่างลงมาใช้เท้าเหยียบศีรษะของคนผู้นั้นให้แหลกเละ จากนั้นด่าทออย่างเย็นชา “รนหาที่ตาย!”
ยามนี้พลันมีแสงรัศมีออกมาจากชิ้นส่วนซาก พอดีเป็นหยวนอิงของเผ่าปิศาจผู้นี้ กลับมิใช่ร่างมนุษย์ทว่าเป็นตั๊กแตนขนาดหนึ่งฉื่อ พั่งจื่อดวงตาเป็นประกาย ตวัดลิ้นออกไปอย่างเหนือค ความคาดหมาย รัดหยวนอิงตั๊กแตนไว้แล้วกินลงไป
ต่อให้เผ่าปิศาจผู้นี้ถูกราคะครอบงำจิตใจ สนใจแต่จะระบายเรื่องนั้นจึงโยนเรื่องทุกอย่างทิ้งไว้นอกสมอง แต่ถูกสังหารเป็นชิ้นๆ แบบนี้ยังทำให้คนตกตะลึงไม่เบา โดยเฉพาะเผ่าปิศาจท ที่ยืนอยู่นอกวงเวทหลายคนนั้น สหายของตนเองถูกสังหารเช่นนี้ สีหน้าจึงเคร่งเครียดทันที
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” จินเฟยเหยานั่งอยู่บนกองสัตว์ทะเล เห็นพวกเขาคิดจะลงมือ จึงเอียงศีรษะมองพวกเขาแล้วเอ่ยถาม “คนของพวกเจ้าพุ่งมาอย่างงุนงงและคิดจะไร้มารยาทต่อพวกเรา ห หรือไม่มีคนสอนพวกเจ้าว่าอะไรคือความละอาย? ไม่ใช่สัตว์ทะเลเหล่านี้เสียหน่อย ขอเพียงนิสัยสัตว์ป่ากำเริบก็สามารถจับคู่ผสมพันธุ์ข้างนอกได้ตามใจชอบ พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่าป ปิศาจ คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมา”
“สังหารเขายังสบายไป ข้ายังคิดจะถามเรื่องนี้กับราชันเผ่าของพวกเจ้าด้วย หรือคิดว่าพวกเจ้าไร้ผู้ต่อต้าน สามารถขืนใจผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไปทั่วอย่างกำเริบเสิบสานได้?” จินเฟยเห หยาเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จัดการภายในชั่วประกายไฟ เป็นเพียงเรื่องในพริบตา ดังนั้นสายตาของคนเผ่าปิศาจจึงมองร่างของสหายตนและหวาหวั่นซี ตอนนี้พวกเขาจึงเพิ่งสังเกตเห็น ว่าที่ นี่มีสตรีเผ่าปิศาจด้วย ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเผ่ามนุษย์สองคน
คิดไม่ถึงว่าจะมีเผ่าปิศาจอยู่ที่นี่ด้วย เรื่องนี้คงจัดการยากแล้ว เผ่าปิศาจแต่ละคนล้วนมีกลุ่มเผ่าของตนเอง โดยเฉพาะขั้นกำเนิดใหม่แบบนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในเผ่า เห็นนางมีเขา าขนาดใหญ่ น่าจะเป็นเผ่าปิศาจบนบก ถ้าแค่เผ่ามนุษย์สองคน ยังบันดาลโทสะสังหารทิ้งเพื่อแก้แค้นได้
ตอนนี้…
หลายคนนั้นมองหน้ากัน หากมิใช่เจ้าหมอนี่นิสัยสัตว์ป่ากำเริบอย่างกะทันหัน คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่เพราะเหตุใดทุกคนยังดีๆ มีเพียงเขาคนเดียวที่กลายเป็นแบบนี้ ทุกคนล้วนเป็ นเผ่าปิศาจที่มีสติปัญญา เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ข้างนอกได้ เห็นท่าทางของเขาดูเหมือนจะถูกยาปลุกกำหนัด
ทว่าพอครุ่นคิดอย่างละเอียด ทุกคนไม่ได้กินอาหารและเคลื่อนไหวพร้อมกัน ถ้าโดนยาปลุกกำหนัดก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโดนคนแค่คนเดียว แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือเมื่อครู่คนผู้นี้อย ยู่ว่างจนเบื่อหน่าย แลบลิ้นเลียน้ำทะเลนิดหน่อย คิดจะชิมดูว่านอกจากรสเกลือยังมีรสอะไรอีก
“พวกเจ้ารีบไปเสีย ข้าไม่คิดจะทำให้เรื่องใหญ่โต เพราะเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของสหายข้าด้วย ถ้าพวกเจ้าคิดจะเอาเรื่องให้ได้ ข้าก็จะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตโดยไม่ใส่ใจ ให้ทุกคนรู้ ว่าพวกเจ้าทำเรื่องที่เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน!” เห็นพวกเขามองหน้ากันแล้วไม่เอ่ยวาจา จินเฟยเหยาก็เชิดหน้าขึ้นเอ่ยข่มขู่
อีกทั้งนางกวาดตาดูแวบหนึ่ง พบว่าถุงเฉียนคุนของคนผู้นี้ไม่ได้ถูกกรีดขาดยังนอนอยู่บนพื้นจึงใช้มือดูดมา จากนั้นโยนไปนอกวงเวทแล้วด่าทออย่างดุร้าย “เอาไปแล้วไสหัวไปเสีย ! ของแบบนี้พวกเราไม่ต้องการ พวกเราไม่ใช่คนชั่วที่สังหารคนชิงสิ่งของ พวกเจ้าควบคุมคนในเผ่าตนเองให้ดีจะได้ไม่ทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้อีก!”
เผ่าปิศาจเหล่านี้ใช้มือรับถุงเฉียนคุน คนหนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเป็นคนเผ่าใด พวกเราออกมาพร้อมกัน จะกลับไปโดยไม่รู้อะไรไม่ได้ ต้องมีคำอธิบายให ห้ราชันเผ่า”
“ข้าเป็นเผ่าภูเขา ชื่อจินเจี่ยว ที่อยู่อาศัยคาดว่าพวกเจ้าคงรู้ ที่นี่นอกจากเมืองไป่เหอก็ไม่มีสถานที่อื่น ถ้าราชันของพวกเจ้าคิดจะชดเชยให้กับสหายข้าก็ช่างเถอะ พวกเราไม่เห็ นค่า!” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก ตอบไปเรื่อยเปื่อย
เผ่าภูเขาเป็นเพียงเรื่องที่นางแต่งขึ้นมั่วๆ เผ่าปิศาจตั้งชื่อสะเปะสะปะ ตนเองมีเขา บอกว่าอาศัยอยู่เผ่าภูเขาบนภูเขาคงได้ ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่รู้จัก ก็บอกว่าพวกเขาดูแคลนเผ่า ของตนเอง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเชื่อมั่นว่าถูกต้อง ถึงอย่างไรความจริงที่วางอยู่ตรงหน้าคือคนของพวกเขาคิดจะทำเรื่องน่าไม่อายก่อน