คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 387 มีปีก ดูดเลือด หน้าขาว
“จริงๆ เลย งานก็ห้ามทำ เกลียดที่ต้องอาศัยอยู่ข้างบ้านคนพวกนี้จริงๆ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” จินเฟยเหยาควักตานสัตว์ปิศาจเม็ดหนึ่งออกมาอย่างว่องไวแล้วโยนใส่ในถุงเฉียนคุนด้าน ข้างอย่างเดือดดาล
“เสี่ยวเหยา เจ้ากำลังด่าใครอยู่?” ในเวลานี้เอง ด้านหลังนางมีเสียงพูดดังมา
จินเฟยเหยามุมปากกระตุกแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้ด่าใคร ข้าพึมพำกับตนเอง”
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ เด็กผู้หญิงจะเที่ยวด่าคนตามใจชอบไม่ได้ ต้องรู้จักมารยาทมีคุณธรรม” ฮูหยินหวากวาดห้องเสร็จแล้ว เดินออกมาเห็นจินเฟยเหยายังนั่งตัวเปื้อนเลือดอยู่ในเรือ อน บนต้นขาวางหัวของสัตว์ทะเลตัวหนึ่งกำลังควักตานสัตว์ปิศาจออกมาจากในนั้นก็ได้ยินนางกำลังด่าคน รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ค่อยดีจึงคิดจะมาอบรมสั่งสอนนางสักหน่อย
จินเฟยเหยาไม่ส่งเสียง นางครุ่นคิดไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดฮูหยินหวาจึงขี้บ่นขนาดนี้ หรือพอสตรีแก่ตัวลงก็จะพูดมากขึ้น? ฮูหยินชราพูดมาก หวาซียังคิดจะคืนชีพให้นางอย่างสุดชีวิต ไม่รู้ว่าเป็นมาโซคิสม์[1]หรือไม่
เห็นนางตั้งใจทำงานโดยไม่ส่งเสียง ฮูหยินหวาก็คิดจะเรียกพั่งจื่อมารับช่วงงาน สตรีต้องสะอาดสะอ้านชมดอกไม้มองจันทราจึงถูกต้อง ส่วนพั่งจื่อพอเห็นฮูหยินหวาปรากฏตัวก็หลบทันที มัน ทนความขี้บ่นของฮูหยินหวาไม่ไหว หลังจากรู้เรื่องต้านิวโดยบังเอิญ นางก็แทบจะอบรมสั่งสอนทุกครั้งที่เห็นมัน กบที่ทรยศรักเป็นกบไร้คุณธรรม
หาพั่งจื่อไม่พบ ฮูหยินหวาก็ยินดีจัดการเรื่องจิปาถะในเรือน จะให้นางไปทำเรื่องเลือดสาดพวกนี้นางก็ทำไม่ได้ ดังนั้นนางจึงยกเก้าอี้เล็กๆ มานั่งอยู่ข้างๆ แบบห่างสองจั้ง และเร ริ่มพูดจ๋อยๆ ขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องเลือกหรอก ขายทั้งตัวไปเลย”
“เสี่ยวเหยา เจ้าดูพวกปลาด้านนอกสิ มีมากมายจริงๆ แย่งไส้กันอย่างน่าสะอิดสะเอียน ข้าเห็นว่าข้างบ้านที่ชื่อราชันอะไรน่ะ ดูเหมือนจะโกรธจนหน้าเขียวแล้ว เมื่อวานยังส่งคนมาบอกว่า า อีกไม่กี่วันจะจัดงานเลี้ยง อยากจะให้เจ้าหยุดมือหน่อยได้หรือไม่”
“จริงสิ เจ้าว่าต้องปล่อยพั่งจื่อไปหรือไม่ ให้มันไปรับภรรยากลับมา ไม่เช่นนั้นทอดทิ้งภรรยาและลูกจะไม่ดีนะ”
จินเฟยเหยาล้วงหูเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เอะอะแทบตายแล้ว ภาพร้อยวิหคชิ้นนั้นท่านปักเสร็จแล้วหรือ?”
เนื่องจากฮูหยินหวาขี้บ่นมากจริงๆ จินเฟยเหยาจึงหาตำราภาพนกจำนวนมากมาให้นางปักภาพกว้างสามจั้งยาวเก้าจั้ง หลอกนางว่าจะใช้หลอมสร้างของวิเศษ
ของสิ่งชิ้นนี้แผ่ออกมาทั้งหมดไม่ได้ จินเฟยเหยาจึงหลอมของวิเศษชั้นบนเป็นผ้าสีขาวบริสุทธิ์ให้โดยเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกให้นาง นอกจากเปลี่ยนขนาดเล็กใหญ่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไ ไร ทว่าทำให้นางทำงานเย็บปักได้สะดวกและอุดปากนางได้ด้วย
“ภาพร้อยวิหคอะไรกัน ตำราภาพที่เจ้าให้ข้ามีนกตั้งเก้าพันกว่าตัว จะต้องปักไปจนถึงเมื่อใด” ฮูหยินหวาทำปากยื่น เริ่มเล่นบทฮูหยินชราเจ้าอารมณ์
“ท่านค่อยๆ ปักไป ถึงอย่างไรก็ไม่ตาย ต้องมีอะไรทำฆ่าเวลา อีกทั้งทำสิ่งนี้ออกมาแล้วก็ให้หวาหวั่นซีใช้ พูดอีกอย่างหนึ่งคือให้ท่านใช้ รีบไปเถอะ ข้าอยู่ที่นี่เลือดสาดสกปรกอย่า างยิ่ง” จินเฟยเหยาสะบัดมือใส่นาง โลหิตสัตว์หลายหยดเกือบจะโดนร่างนาง
ฮูหยินหวาได้แต่ยืนขึ้น กลับห้องไปปักภาพร้อยวิหคที่เกือบจะเป็นภาพหมื่นวิหคอย่างไม่ยินยอม คำนวณเวลา นี่ใกล้จะวันที่สิบห้าแล้ว จึงนึกเรื่องที่นัดกับมังกรปิศาจได้ จินเฟยเห หยารีบเร่งความเคลื่อนไหวในมือ ทำของพวกนี้ให้เสร็จเร็วหน่อย จะให้เรื่องนี้ล่าช้าไม่ได้
พอถึงวันที่สิบห้า จินเฟยหยาก็จัดการสัตว์ทะเลทั้งหมดเสร็จพอดี ชำระล้างคราบโลหิตบนร่างแล้วไปเมืองไป่เหอคนเดียว
จินเฟยเหยามาถึงร้านเล็กๆ ของเยี่ยจื่อก่อน โยนตานสัตว์ปิศาจห้าสิบเม็ดให้นาง จากนั้นหนังสัตว์และกระดูกสัตว์สองมัดก็กระแทกพื้นอีก เยี่ยจื่อคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะนำสิ่งขอ องมามากมายทำให้รับมือไม่ทันอยู่บ้าง สิ่งของมากขนาดนี้คงต้องขายหลายเดือน
คร้านจะสนใจว่าเยี่ยจื่อต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงขายได้หมด จินเฟยเหยาสั่งนางว่าถ้าขายหมดก็ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาให้ตนเอง จากนั้นก็คิดจะจากไป ทว่าเยี่ยจื่อกลับดึงนางไว้ เอ อ่ยกระซิบว่า “ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
“เรื่องอะไร?” จินเฟยเหยาถาม
เยี่ยจื่อเอ่ยอย่างกังวล “ผู้อาวุโส พวกคนที่ฆ่าวาฬภูเขาโดดเดี่ยวครั้งก่อนหาข้าพบแล้ว มีทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร แต่ไม่ได้ทำให้ข้าลำบากใจ เพียงแต่ปรากฏตัวอยู่นอกร้านบ่อยๆ ข้าสงสัยว่าพวกเขาคิดจะหาตัวผู้อาวุโส”
“อ้อ ช่างพวกเขาเถอะ ถึงอย่างไรพวกเขาคงทำอะไรในเมืองไม่ได้” คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนพวกนี้เหมือนวิญญาณแค้นที่ไม่สลายหายไป ก็แค่วาฬภูเขาโดดเดี่ยวตัวหนึ่งจำเป็นต้องพัวพันไม่ปล่อ อยด้วยหรือ?
จินเฟยเหยานึกว่าพวกเขาจะมาคิดบัญชีเรื่องวาฬภูเขาโดดเดี่ยวกับตนเอง กลับไม่รู้ว่าที่จริงพวกเขามาเพราะนางเป็นสัตว์ปิศาจขั้นเทพ
เห็นนางไม่ใส่ใจเลยสักนิด เยี่ยจื่อก็เอ่ยอีกว่า “แต่ผู้อาวุโส หลายวันนี้แม้แต่คนของเผ่าคุนก็กำลังค้นหาผู้บำเพ็ญเซียนสองคน ข้าว่าคนที่พวกเขาตามหาเหมือนผู้อาวุโสอย่างยิ่ง ง”
“เผ่าคุน? คงไม่หรอก ข้าไม่รู้จักคนเผ่าคุนอะไรเสียหน่อย” จินเฟยเหยามองเยี่ยจื่อและเอ่ยด้วยสีหน้าเปิดเผย
ทว่าเยี่ยจื่อขมวดคิ้วเอ่ย “ราชันเหวินแห่งเผ่าคุนกำลังตามหาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองคน บอกว่าคนหนึ่งเป็นเผ่ามนุษย์อีกคนหนึ่งเป็นเผ่าปิศาจ เผ่ามนุษย์ข้าไม่รู้จัก ทว่าเผ่าป ปิศาจดูเหมือนผู้อาวุโส บอกว่ามีเขาคู่หนึ่ง เป็นคนเผ่าภูเขาชื่อจินเจี่ยว มีพลังบำเพ็ญเพียรช่วงกลาง ข้าคิดว่าเหมือนผู้อาวุโสอย่างยิ่ง”
“ข้าไม่ใช่เผ่าภูเขาแล้วก็ไม่ได้ชื่อจินเจี่ยว เจ้าคิดว่าเป็นข้าได้อย่างไร” จินเฟยเหยาไม่ยอมรับหรอก จึงเลิกคิ้วเอ่ย
“หา? ผู้อาวุโสไม่ใช่เผ่าภูเขาหรือ?” เยี่ยจื่อเอ่ยอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง
จินเฟยเหยาพยักหน้า “ข้าไม่ใช่เผ่าภูเขา”
เยี่ยจื่อเอ่ยอย่างสงสัย “แต่ผู้อาวุโสหน้าตาเหมือนเผ่าภูเขามาก พวกเขามีเขาสองข้าง ข้านึกมาตลอดว่าผู้อาวุโสเป็นคนเผ่าภูเขา เช่นนั้นผู้อาวุโสเป็นคนเผ่าใด?”
มีเผ่าภูเขาจริงๆ ด้วย ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? จินเฟยเหยากลอกตา นึกถึงมังกรปิศาจที่แขวนอยู่ด้านนอกได้ แต่เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจึงทำท่าเหมือนกลัวคนอื่นได้ยิน จากนั้นกระซิบบอกว่ า “ข้าไม่ใช่เผ่าภูเขา ข้าเป็นทายาทสายตรงของเทาเที่ยเผ่าเทพแห่งบรรพกาล ดังนั้นจึงอยู่ในภูเขาลึกที่ไร้ผู้คนมาตลอด คนของเผ่าเรามีน้อยอย่างยิ่ง มีไม่ถึงร้อยคน นี่เป็นความลั บ ถ้าเจ้าพูดออกไปคงรู้ผลที่ตามมา”
“เผ่าเทพเทาเที่ย! ผู้อาวุโสถึงกับเป็นคนของเผ่าเทพ ทำให้ข้าตกตะลึงจริงๆ” เยี่ยจื่อมีสีหน้าเคารพยำเกรง มองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จินเฟยเหยาหมดวาจาจริงๆ เผ่าปิศาจบ้าบออะไร พูดสิ่งใดก็มีสิ่งนั้น ที่แท้มันเรื่องอะไรกัน แต่นางไม่แสดงออกทางสีหน้า พยักหน้าอย่างหนักแน่น “คิดไม่ถึงว่าเผ่าปิศาจที่อยู่ภายนอกอ อย่างพวกเจ้าจะรู้เรื่องเผ่าเราด้วย ท่าทางจะมีคนพูดเรื่องในเผ่าออกไป”
“ผู้อาวุโส ถึงเผ่าเทพบรรพกาลจะดับสูญไปมาก ทว่ายังมีคำเล่าลือต่อๆ กันมาว่าพวกท่านยังคงอยู่ ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเป็นเพียงตำนาน แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริงๆ” เยี่ยจื่อแทบจะกรา าบไหว้นาง เผ่าเทพแห่งบรรพกาลล้วนเล่าลือสืบต่อกันในเผ่าปิศาจ เพียงแต่เนื่องจากสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยเห็นตัวจริง ทว่าจินเฟยเหยาคนเดียวสามารถแย่งชิงวาฬภูเขาโ โดดเดี่ยวมาจากในมือของทุกคนได้ เวลานี้เยี่ยจื่อจึงเชื่อฐานะที่นางบอก
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีเผ่าปิศาจใดๆ กล้าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าว่าตนเองเป็นคนของเผ่าเทพแห่งบรรพกาล ถ้าพูดจามั่วซั่วแบบนี้จะโดนเคราะห์สวรรค์ นี่เป็นสาเหตุที่เยี่ยจื่อเชื่อถื อหลังจากจินเฟยเหยาพูดออกมา
“ราชันเหวินคือใคร?” จินเฟยเหยาเห็นนางเชื่อถือจึงเอ่ยปากถาม
“ราชันเหวินเป็นคนเผ่าคุน ผ่านเคราะห์สายฟ้ากลายร่างเป็นมนุษย์และบรรลุขั้นเทพ เนื่องจากมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าราชัน เหวิน[2]คือชื่อที่เขาตั้งให้ตนเอง สา าเหตุเกรงว่าเนื่องจากร่างเดิมของเขาเป็นยุง[3]ดาบโลหิต” เยี่ยจื่อเอ่ย
จินเฟยเหยาตะลึงงัน “ยุงดาบโลหิต? ที่เจ้าพูดถึงคงไม่ใช่ยุงหรอกนะ”
เยี่ยจื่อพยักหน้า “ใช่ ยุงดาบโลหิตตัวหนึ่งตัวใหญ่ถึงหนึ่งคนกว่า ทั้งยังดูดเลือดและสามารถเปลี่ยนโลหิตให้กลายเป็นคมมีดได้ น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ราชันเหวินออกมาเป็นบางครั้ง ข้าเคยเห็นไกลๆ ครั้งหนึ่ง หน้าตาดี ผิวพรรณขาว อีกทั้งยังบินได้ ได้รับความนิยมจากปิศาจสตรีอย่างยิ่ง”
“หน้าขาว ดูดเลือดได้ มีปีก” จินเฟยเหยาพึมพำไม่หยุด พูดไปพูดมาก็คือยุงตัวใหญ่ หยวนอิงหรือตานสัตว์ปิศาจของคนที่ถูกหวาหวั่นซีสังหารเป็นตั๊กแตน ท่าทางเผ่าคุนทั้งหมดจะเป็ นแมลง
ถ้าเป็นแมลง พั่งจื่อชอบกินแมลงที่สุด จินเฟยเหยาลอบยิ้ม เห็นตั๊กแตนในวันนั้นแล้วรู้สึกแปลกประหลาด ดังนั้นจึงให้พั่งจื่อ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็กินได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
พูดคุยที่บ้านเยี่ยจื่ออยู่นาน รอจนฟ้ามืดลง มองออกไปจากบ้านเยี่ยจื่อ หลังจากไม่พบเห็นคนที่ปรากฏขึ้นนอกร้านเป็นประจำ จินเฟยเหยาจึงอำลาจากไป
นางติดยันต์ซ่อนกายใบหนึ่ง แอบคลำทางไปด้านล่างของเนื้อแห้งมังกรปิศาจเงียบๆ
ตอนนี้กลางดึกแล้ว มีเพียงหอไห่เฉวียนที่ยังมีแสงสาดส่องที่นี่จนสว่างไสว เนื้อมังกรเทพท่อนล่างถูกส่องจนเจิดจ้า แต่โชคดีที่มีคนไปมาไม่มากนัก ทุกคนเห็นเนื้อมังกรเทพจนเคยชิน น จึงไม่มีใครหยุดลงมากนัก
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาพบว่ามีเผ่ามนุษย์ขั้นหลอมรวมสองคนปรากฏตัวขึ้นรอบเนื้อมังกรเทพ หลังจากเดินวนเนื้อแห้งหลายรอบจึงจากไปอย่างช้าๆ ถ้าเป็นยามปกติ การกระทำแบบนี้จะทำให้คน นึกว่ามองเนื้อมังกรเทพ ทว่าตอนนี้จินเฟยเหยาทำข้อตกลงกับมังกรปิศาจจึงระแวดระวังขึ้นมาทันที
เพียงแต่เผ่ามนุษย์สองคนนี้จากไปโดยไม่ได้ทำอะไร นางจึงนึกว่าตนเองสงสัยไปทั่ว ทว่าไม่รอให้นางโล่งอกก็เห็นเผ่ามารขั้นหลอมรวมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอีกและเดินวนรอบเนื้อมังก กรเทพหลายรอบ จ้องมองเนื้อมังกรเทพอย่างไม่ประสงค์ดี อีกทั้งยังอยู่เนิ่นนานไม่จากไป
มองดูเวลา อยู่ห่างจากเวลาที่มังกรปิศาจจะบีบให้วงเวทออกมาไม่มากแล้ว จินเฟยเหยาร้อนใจจนด่าทอและสาปแช่งเจ้าหมอนี่ มายืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน
รออีกครู่หนึ่ง ในที่สุดเผ่ามารคนนั้นก็จากไป เขาเพิ่งหมุนตัวเหินร่างออกไปสิบกว่าจั้ง จินเฟยเหยาก็เห็นบนเนื้อมังกรปิศาจสว่างวาบและมีวงเวทปรากฏขึ้น
วงเวทนี้มีลวดลายสีทองตั้งแต่ท่อนบนจนถึงส่วนหางของเนื้อแห้ง ตัดแค่ขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งเกรงว่าคงต้องทำไปร้อยปีจริงๆ จินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่เผ่ามารคนนั้นหันหลังให้เน นื้อมังกรปิศาจพุ่งเข้าไป ดึงทงเทียนหรูอี้ออกมาเปลี่ยนให้กลายเป็นมีดบางเฉียบตัดแผ่นเนื้อขนาดเท่าฝ่ามือลงมาอย่างว่องไว ลวดลายวงเวทขาดหายไปมุมเล็กๆ แสงสว่างดับลง กลับสู่สภาพ พเดิมอีกครั้ง ลวดลายหายไปหมดอย่างรวดเร็ว
ส่วนรอบด้านไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด ท่าทางจะไม่มีปัญหา จินเฟยเหยาที่ติดยันต์ซ่อนกายโล่งอก เผ่ามารคนนั้นรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงรีบหันกลับมา ทว่าลวดลายวงเวทหายไปหมดแล้ว เขา สงสัยอยู่บ้าง ทว่าส่ายศีรษะและเหินร่างจากไป
……………………………..
[1] มาโซคิสม์ หมายถึง คนที่ได้รับความพึงพอใจทางเพศเมื่อตนเองได้รับความเจ็บปวด
[2] เหวิน ในคำว่าราชันรเหวิน มีความหมายคร่าวๆ เกี่ยวกับอักษรตัวหนังสือ ฝ่ายบุ๋น และความสุภาพอ่อนโยน
[3] คำว่า ยุง ในภาษาจีน อ่านว่า เหวิน เช่นเดียวกัน เป็นคำพ้องเสียง