คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 397 ขว้างก้อนหิน
อย่างที่คาดไว้ รอจนเผ่าปิศาจขายสิ่งของในมือจนหมดเกลี้ยง นับยามังกรคำรามอย่างตึงเครียดได้ไม่นาน ก็พบว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง
ชีวิตกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกเขามาถึงพื้นที่พันหลี่กลับพบว่าที่นี่นอกจากปลาเล็กๆ แล้วก็ไม่มีสัตว์ทะเลสักตัว ไม่มีสัตว์ทะเลก็ต้องกลับมามือเปล่า หลังจากกลับบ้านนอกจากฝึกบำเพ็ญก็ไม่มีอะไรทำ
ในร้านไม่มีสินค้า ออกนอกบ้านไม่มีสัตว์ทะเล เผ่าปิศาจที่สงบจิตใจลงก็ได้สติตื่นขึ้นมา เข้าใจว่านี่คือเรื่องที่ร้ายแรงเพียงใด ลืมความบ้าคลั่งในอดีต ลืมว่าใครต้องการไปสังหารสัตว์ทะเล ทุกคนคิดจะหาอาชญากรตัวเอ้ผู้หนึ่ง จินเฟยเหยา
“เฟยเหยา ตอนนี้จะทำอย่างไร?” หวาหวั่นซีนั่งอยู่ในห้องโถงมองจินเฟยเหยาที่เพิ่งฝึกบำเพ็ญเสร็จและกำลังนอนหาวอยู่บนพื้นอย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยถาม
จินเฟยเหยามองนางอย่างงุนงง “อะไรจะทำอย่างไร?”
“ข้างนอก” หวาหวั่นซีชี้ไปตรงหน้าต่าง หน้าต่างที่เปิดกว้างมาตลอดตอนนี้ถูกการป้องกันของวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจปิดกั้นไว้ มีก้อนหินลอยเข้ามาทางหน้าต่างได้ทุกเมื่อ ขว้างลงบนการป้องกันแล้วถูกดีดกลับออกไป
นอกบ้านเปลือกหอยที่จินเฟยเหยาอาศัยอยู่ มีเผ่าปิศาจมารวมตัวกันหลายร้อยคน มีหมดทั้งบุรุษสตรีเด็กคนชรา พวกเขานำก้อนหินและของจิปาถะขว้างไปกระแทกชั้นที่จินเฟยเหยาอาศัยอยู่ไม่หยุด สภาพเช่นนี้ดำเนินมาสองปีกว่าแล้ว จินเฟยเหยาชื่นชมคนเผ่าปิศาจพวกนี้จริงๆ ตั้งแต่คนหลายหมื่นคนมาพังบ้านของตนเอง จนกระทั่งต่อมาเป็นหลายพันคน สุดท้ายเหลือเพียงหลายร้อยคนนี้
ยังนึกว่าหลายร้อยคนนี้จะอยู่ไม่นานก็จะค่อยๆ กลายเป็นหลายสิบคน และสุดท้ายก็ไม่เหลือใคร แต่คิดไม่ถึงว่าเผ่าปิศาจพวกนี้เหมือนหารือกันมาแล้ว ทุกวันต้องมีหลายร้อยคนยืนขว้างก้อนหินอยู่ข้างนอก แต่ละวันหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไม่ซ้ำกันเลย บ้านเปลือกหอยสูงสิบหกชั้น วันๆ ถูกก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนกระแทกใส่ ทั้งยังแม่นยำ เคราะห์ร้ายโดนเพื่อนบ้านชั้นบนชั้นล่างเป็นประจำ คนจำนวนมากจึงย้ายออกไป คนที่นอนอยู่ข้างถนนก็ทนไม่ไหวที่มีคนมาด่าทอและขว้างก้อนหินข้างนอกทุกวัน
คนที่ไม่ย้ายออกก็กางการป้องกันในบ้าน เพื่อป้องกันก้อนหินที่ไม่มีดวงตางอกเงย ส่วนที่อนาถที่สุดคือครอบครัวราชันพิภพข้างบ้าน แค่ก้อนหินที่ลอยเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ก็เพียงพอจะสร้างที่พักอาศัยอันมีมาดของพวกเขาขึ้นใหม่ได้ สุดท้ายพวกเขาร้องไห้คร่ำครวญ ราชันสุ่ยจวินจึงส่งคนมาเปลี่ยนให้พวกเขาไปอยู่ชั้นหนึ่ง ถึงแม่นยำเพียงใด ก็คงไม่ขว้างจากชั้นสิบสองลงมาชั้นหนึ่ง
แต่มีข้อเสียอย่างหนึ่ง ทุกวันก้อนหินที่ตกลงมาจากด้านบนจะบดบังตรงหน้าต่างไว้ เมื่อตกค่ำเผ่าปิศาจกลับไป ราชันเผ่าพิภพยังต้องออกมาเก็บกวาดก้อนหิน ทว่าตอนค่ำเก็บกวาดเสร็จรุ่งเช้าก็มีเผ่าปิศาจมาขว้างก้อนหินอีก ราวกับจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ตราบชั่วนิรันดร
จินเฟยเหยาลุกขึ้นยืน เดินอย่างเกียจคร้านมาข้างหน้าต่าง มองผ่านการป้องกันไปด้านนอก วันนี้จำนวนคนที่มาใกล้เคียงกับในยามปกติ ไม่มีอะไรใหม่ ด่าทอก็ไม่มีอะไรพิเศษ ยังเป็นเจ้าฆาตกรและราชันชำแหละสัตว์อะไรเทือกนี้เหมือนเดิม
มีคนตาแหลมพบว่านางเดินมาตรงหน้าต่าง ด้านนอกเดือดดาลขึ้นมาทันที ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนกระแทกมาราวกับฝนตก จินเฟยเหยาไม่ถอยเลยสักนิด มองดูก้อนหินเหล่านั้นถูกการป้องกันดีดออกไป บางครั้งก้อนหินที่ถูกดีดออกไปยังไปโดนเผ่าปิศาจด้านล่างโดยบังเอิญ ยิ่งทำให้มีโทสะและด่าทอเสียงดังขึ้น
น่ารำคาญจริงๆ จินเฟยเหยายืนถ่ายทอดเสียงออกไปดังลั่นอยู่ข้างหน้าต่าง “มีความกล้าพวกเจ้าก็คายผลประโยชน์ที่ได้รับมาให้ข้าสิ ไม่เช่นนั้นก็รีบไสหัวไป!”
ไม่พูดยังพอว่า พอพูดก็ยิ่งทำให้ทุกคนโกรธแค้น เห็นพวกเขามีโทสะจนขยี้เท้า จินเฟยเหยาหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน จากนั้นก็นอนลงอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง
“มีพวกเขาอยู่ก็ดี เดือนที่แล้วข้าย่างปลาหลิวกิน ราชันสุ่ยจวินก็ไม่มาหาเรื่องข้า ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีโทสะ ย่างปลาหลิวกินก็เป็นเรื่องปกติ ฮ่าๆๆ” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจสักนิด พั่งจื่อก็กุมท้องร้องอ๊บๆ หัวเราะอย่างชั่วร้าย ตามนางไปด้วย
มีเพียงหวาหวั่นซีขมวดคิ้ว มองห้องของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยช้าๆ “ภาพร้อยวิหคปักได้สามร้อยเก้าสิบสองตัวแล้ว ตอนปักเสร็จทั้งหมดก็น่าจะกินเนื้อมังกรปิศาจหมดพอดี”
“อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย กินเนื้อมังกรปิศาจมาหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด” จินเฟยเหยาพลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไวและเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แต่ตานศักดิ์สิทธิ์ยังมีประสิทธิผลบ้าง ข้าเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางอย่างสมบูรณ์แล้ว สามารถหาเวลาทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายได้”
“ไม่มีปัญหา ถึงตอนนั้นพวกเราจะคุ้มครองเจ้า” หวาหวั่นซีตอบอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด หวาหวั่นซีและพั่งจื่อไม่สนใจการเลื่อนขั้นของนาง คนผู้นี้ไม่ได้เดินตามแนวทางอันเที่ยงธรรม คิดจะทะลวงก็ทะลวง บอกจะเลื่อนขั้นก็เลื่อนขั้นราวกับไม่มีคอขวด ไม่มีความท้าทายเลยสักนิด
หวาหวั่นซีเลื่อนขั้นไม่ได้ ส่วนพั่งจื่อก็เลื่อนขั้นอย่างยากลำบาก ตั้งแต่จินเฟยเหยาได้ตานศักดิ์สิทธิ์มากมายมา กินแล้วมีฤทธิ์เหมือนกับเน่ยตานธรรมดา เพียงแต่ปราณปิศาจในร่างยิ่งมากขึ้นทุกที ดูเหมือนทั้งหมดถูกอะไรอุดกั้นไว้จึงเลื่อนไปอีกขั้นไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สนใจคนที่กินๆ แล้วก็เลื่อนขั้นอย่างจินเฟยเหยาเลยสักนิด
เลื่อนขั้นครั้งหนึ่งใช้เวลาน้อยมาก จินเฟยเหยามอบภารกิจตัดเนื้อมังกรปิศาจให้พั่งจื่อ ถึงเวลาให้มันไปตัดเนื้อมังกรปิศาจมากินชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้ไม่อร่อยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีลวดลายประหลาด พั่งจื่อจึงตอบรับอย่างฝืนใจ
จินเฟยเหยาหาวันที่นางคิดเองว่าเป็นวันมงคล ไล่ฮูหยินฮวาไปที่ห้องติดกัน ยกภาพร้อยวิหคที่ปักจนเต็มไปหมดไปในห้องโถงและให้นางปักอยู่ที่นี่ จากนั้นปิดประตูห้องเปิดการป้องกันไปทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย
พั่งจื่อที่อยู่ข้างนอกพลันตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง นางวิ่งเข้าไปปิดด่านกักตนแล้ว พวกหวาหวั่นซีสี่คนสามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันปรากฏตัว พูดไปพูดมา มีเพียงตนเองที่ต้องทนเผ่าปิศาจข้างนอกทุกวัน อนาถเกินไปแล้ว!
จินเฟยเหยาปิดด่านกักตนครั้งนี้สิบเอ็ดเดือน เหลืออีกหนึ่งเดือนก็จะหนึ่งปีแล้ว ภายในเมืองไป่เหอเกิดความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย พวกนางก็เจอความยุ่งยาก
“เปิดประตู คนด้านในรีบเปิดประตู!” มีเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรงดังมาอีก หวาหวั่นซีลุกขึ้นอย่างอดทน นี่มารบกวนยี่สิบเอ็ดครั้งแล้ว
นางทนจนสุดจะทน ตัดสินใจว่าจะด่าทอพวกเขาสักหน่อย ทว่ากลับถูกพั่งจื่อขัดขวางไว้ ผลักนางเข้าไปในห้องฝึกบำเพ็ญที่วางมุกเปลือยแล้วปิดประตู จากนั้นมันมองระดับความสูงของหลังคาบ้าน แล้วเปลี่ยนร่างตนเองให้ใหญ่พอดีหลังคา จึงเดินมาตรงประตูแล้วเปิดประตูออกอย่างดุร้าย
นอกประตูมีเผ่าปิศาจขั้นหลอมรวมกลุ่มหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาเย็นชาเป็นน้ำแข็ง เห็นในที่สุดประตูก็เปิดออก จึงบริภาษอย่างดุร้าย “ตั้งนานเพิ่งเปิดประตู ไปเรียกเผ่ามนุษย์คนนั้นออกมา!”
ตะโกนเสร็จจึงเห็นสิ่งที่อุดอยู่ตรงประตูเป็นหนังท้องสีขาวขนาดยักษ์ เงยหน้าขึ้นมองดูด้านในจึงพบว่านี่เป็นกบขั้นเจ็ดขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองคางของมัน หัวหน้าเผ่าปิศาจคนนั้นใช้มือผลักพั่งจื่อ “เรียกเจ้านายของเจ้าออกมา เผ่ามนุษย์คนนั้นต้องตามพวกเราไป”
พั่งจื่อกลอกตาลงด้านล่างมองดูเขา ไม่มีปฏิกิริยาสักนิด
“รีบเรียกคนออกมา ตอนนี้เมืองไป่เหอไม่ใช่สถานที่ซึ่งเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าจะอยู่ได้ ไสหัวออกมา ไม่เช่นนั้นจะให้พวกเจ้าได้เห็นดี!” ต่อสู้กันในเมืองไป่เหอไม่ได้นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้ดี ขอเพียงไม่อยากตายก็จะไม่ลงมือ ถึงหวาหวั่นซีจะเป็นเพียงหุ่นเชิด ร่างกายถูกทำลายยังสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่ถ้าจิตวิญญาณดั้งเดิมดับสูญก็จะไม่เหลืออะไรเลย
ตอนนี้ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาปิดด่านกักตนเป็นอย่างไรบ้าง อาจจะบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายได้ทุกเมื่อ ถ้ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญแล้วถูกรบกวนจะมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นพวกเขามายี่สิบกว่าครั้ง หวาหวั่นซีจึงไม่เคยเปิดประตูสักครั้ง วันนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
พั่งจื่อที่ยืนอยู่ตรงประตูพลันยกเท้าขึ้นเตะเผ่าปิศาจคนนั้นออกไป แค่ใช้เวทมนตร์ต่อสู้กันไม่ได้แต่อาศัยเรี่ยวแรงอัดคนวงเวทใหญ่ย่อมไม่ยุ่งเกี่ยว เผ่าปิศาจคนนั้นลอยออกไปกระแทกกับบ้านโขดหินด้านข้าง จากนั้นไม่รอให้เผ่าปิศาจอื่นๆ พุ่งเข้ามา พั่งจื่อก็ปิดประตูดังปัง
“ยุ่งยากจริงๆ ถ้าไม่ไหวให้ข้าใช้กำปั้นอัดพวกมันเถอะ รู้แต่แรกไม่ให้เฟยเหยาปิดด่านกักตนหรอก เพิ่งเข้าไปก็เกิดเรื่องพวกนี้ตามมา” หวาหวั่นซีเดินออกมาจากในห้อง ขมวดคิ้วอย่างเดือดดาล
นึกว่าครั้งนี้เหมือนเมื่อหลายครั้งก่อน มาเอะอะตรงประตูแล้วก็ไป แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีคนมาทุบประตูอีก
ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ พั่งจื่อพุ่งไปเปิดประตูออกอย่างเดือดดาล เห็นตรงประตูยามนี้เปลี่ยนเป็นเผ่าปิศาจขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่ง ดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง
“ราชันเหวินคิดจะเชิญเจ้านายของพวกเจ้าไปพูดคุยกันหน่อย รวมทั้งเผ่ามนุษย์คนนั้นด้วย ทางที่ดีเจ้ารู้จักดูทิศทางลมหน่อยหลีกไป” เขาหัวเราะหึๆ เอ่ยวาจาแปลกประหลาด
พั่งจื่อมองเขาพลางใช้ความคิดอย่างหนัก จึงจำได้ว่าคนผู้นี้คือลูกน้องคนหนึ่งของราชันเหวิน หมายความว่าราชันเหวินกลับมาอีกแล้ว?
“รู้จักดูทิศทางลมหน่อย?” ด้านหลังพั่งจื่อพลันมีเสียงคนเอ่ยถาม จากนั้นร่างอันใหญ่โตของพั่งจื่อก็ถูกบังคับผลักออก จินเฟยเหยาเดินออกมาจากด้านหลัง มองบรรดาคนที่อยู่นอกบ้านด้วยสีหน้าชั่วร้าย
“ข้าปิดด่านกักตน พวกเจ้ากลับเอะอะอยู่ข้างนอกไม่หยุด รีบไสหัวไปเสีย” จินเฟยเหยาด่าทออย่างอารมณ์เสีย เพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเดินออกมาก็เจอเรื่องแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมารังแกกันถึงบ้าน ดูถูกกันเกินไปแล้ว นึกว่าที่นี่มีวงเวทใหญ่แล้วจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรือ?
ลูกน้องคนนั้นของราชันเหวินส่งเสียงขึ้นจมูก “ที่นี่ไม่ใช่เกาะอันห่างไกล วันนี้พวกเจ้าอยากไปก็ต้องไป ไม่ไปก็ต้องไป”
“เจ้าก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่เกาะอันห่างไกล?” จินเฟยเหยากำลังคิดจะหมุนตัวกลับเข้าบ้าน พอได้ยินคำพูดของเขาก็หยุดลง มองเขาพลางเอ่ยวาจาด้วยสายตาเย็นชา
ที่นางอาศัยอยู่คือชั้นสิบสอง เนื่องจากคนที่อาศัยอยู่ที่นี่แทบทั้งหมดเป็นคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียร ดังนั้นจึงไม่มีบันได เปิดประตูออกมานอกจากแท่นราบเล็กๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเลย ทุกคนจะมาต่างก็ใช้การเหาะเหิน คนเหล่านี้จึงเหยียบปลาไป๋สุ่ยหยุดอยู่ตรงประตูบ้านนาง
พอเอ่ยประโยคนี้จบ จินเฟยเหยาพลันพุ่งเข้ามา เหวี่ยงหมัดออกมาต่อยอย่างเหนือความคาดหมาย ได้ยินเสียงกร๊อบ ดั้งจมูกของเผ่าปิศาจขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นถูกต่อยแตกทันที จากนั้นจินเฟยเหยาก็เหินร่างขึ้นใช้เท้าเตะเขาลอยไป คนก็พุ่งเข้าหาปลาไป๋สุ่ย
“นึกว่าที่นี่ไม่ใช่เกาะอันห่างไกล ไม่มีใครกล้าต่อสู้กันก็คิดจะใช้อำนาจกดดันผู้อื่น! ข้าทนก้อนหินของพวกเจ้ามานานแล้ว เห็นข้าโง่งมเป็นคนอ่อนแอไม่กล้าลงมือจริงๆ หรือ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าลิ้มลองรสชาติของการล่วงเกินข้าโดยที่ข้าไม่ต้องใช้เวทมนตร์อะไร!” นางต่อยไปหมัดแล้วหมัดเล่า ปากก็ด่าทอสาปแช่งไม่หยุด
เมื่อราชันเหวินได้ข่าวรีบรุดมา ก็เห็นลูกน้องของตนเองกระดูกแตกทั่วร่าง บนร่างถูกมีดแทงนับร้อยรู ขาดใจตายไปนานแล้ว ส่วนบรรดาเผ่าปิศาจขั้นหลอมรวมที่มากับเขาไม่รอดเลยสักคน แทบทั้งหมดกระดูกแตกละเอียด กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในถูกต่อยจนเป็นเนื้อเละๆ
………………………………………..