คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 399 เล่าเรื่องไม่เป็น
จินเฟยเหยาสงสัยอย่างยิ่ง เป็นคนเช่นไรจึงมีความสามารถขั้นเทพขนาดนี้ สามารถใช้พลังของคนผู้เดียวสร้างเมืองขนาดใหญ่แบบนี้ออกมาได้
ภายใต้การกระตุ้นของนาง มังกรปิศาจเริ่มค่อยๆ เล่า “ว่ากันว่าเขาบังเอิญผ่านมาที่นี่ รู้สึกว่าทิวทัศน์ในทะเลช่างงดงามอย่างยิ่ง คิดจะสร้างบ้านพักตากอากาศอยู่อาศัยที่นี่ จากนั้นก ก็ใช้วัตถุดิบสร้างวงเวทนี้ขึ้นเนื่องจากเกลียดชังคนต่อสู้กันจนรบกวนชีวิตที่เอ้อระเหยและอิสระของเขา จึงลงข้อห้ามบนการป้องกันอย่างแน่นหนาให้สังหารบุคคลขั้นว่างเปล่าลงไปในเส สี้ยววินาที”
“อ้อ ยอดเยี่ยมยิ่ง จากนั้นเล่า?” จินเฟยเหยากระพริบตา คนผู้นี้มีนิสัยชอบทำตามอำเภอใจอย่างยิ่ง
“จากนั้นก็ไม่มีแล้ว เขาอาศัยอยู่ที่นี่ร้อยสองร้อยปีก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายจึงจากไป ที่นี่ก็ว่างลง ดูเหมือนจะจับเผ่าปิศาจทะเลบางตัวให้พวกเขามองเห็นที่นี่ และสอนคาถาปากเปล่ าควบคุมวงเวทให้พวกเขา” มังกรปิศาจเอ่ย
จินเฟยเหยายังรอเรื่องราวต่อมา คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีแล้ว ดังนั้นจึงด่าทออย่างไม่พอใจ “จะเรียบง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทำไมท่านจึงมาแขวนอยู่ที่นี่ได้!”
มังกรปิศาจตอบอย่างอารมณ์เสีย “ไม่มีอะไรน่าเล่า ย่อมต้องเจอเขา จากนั้นเขาเห็นข้าเกะกะลูกตาจึงโยนเนื้อและกระดูกส่วนหนึ่งของข้ามาไว้ที่นี่”
“ท่านกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ เล่าเรื่องเป็นหรือไม่ การแสดงออกของท่านมีปัญหาหรือ? อธิบายแบบนี้ใครจะฟังรู้เรื่อง ท่านต้องเล่าสาเหตุและผลลัพธ์ที่ตามมาให้ชัดเจน ข้าสละเวลาอันมีค่า ามาฟังนะ ท่านนึกว่าข้าว่างมากหรือ” จินเฟยเหยาบริภาษ
“ยุ่งมาก? เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปทำงานสิ” มังกรปิศาจไม่ซาบซึ้งเลยสักนิดจึงพูดตามที่นางบอก
จินเฟยเหยาเปลี่ยนท่าทีทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านลุงมังกร ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนท่านฆ่าเวลาแล้ว คนผู้นั้นจัดการท่านจนเป็นสองส่วนอย่างประณีตแบบนี้ เขาชื่อว่าอะไรหรื อ?”
“ชื่อ…ไม่กล้าบอก” มังกรปิศาจถึงกับขลาดกลัวผิดกับท่าทางในยามปกติ น้ำเสียงยังเบาหวิว ราวกับกลัวว่าคนผู้นั้นจะได้ยิน
จินเฟยเหยาพูดไม่ออก “ท่านถึงกับหวาดกลัวจนกลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใด? เผ่าปิศาจขึ้นโลกระดับเทพไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้หรือ?”
“เขาเหาะขึ้นสวรรค์ไปนานแล้ว เจ้านึกว่าข้ามาจากที่ใด ข้าถูกสังหารในโลกระดับสวรรค์แล้วจึงถูกนำมาที่นี่ เผ่าปิศาจขึ้นโลกระดับเทพไม่ได้ย่อมต้องมีเผ่าปิศาจล่วงกินเขา เขาจึง งติดตั้งการป้องกันในโลกระดับเทพ สัตว์ปิศาจในโลกระดับเทพต่อให้บรรลุขั้นเก้าก็ได้แต่หยุดอยู่ตรงนั้นไม่อาจผ่านเคราะห์สายฟ้าเลื่อนเป็นเผ่าปิศาจได้ ส่วนเผ่าปิศาจด้านล่างก็ไม่อา าจขึ้นไปเก็บวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติสายฟ้าในโลกระดับเทพได้เนื่องจากการป้องกันนี้” มังกรปิศาจเอ่ย
จินเฟยเหยามองเนื้อแห้งเงียบๆ ในที่สุดก็ยิ้มและเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “ท่านโม้สินะ เผ่ามนุษย์คนหนึ่งถึงมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นมหายานจะสามารถปิดกั้นโลกระดับเทพทั้งหมดได้หรือ โลกระดับเทพมีหนึ่งร้อยแปดชิ้น ต้องใช้การป้องกันใหญ่เพียงใด ใช้เวลามากเพียงใดจึงสร้างขึ้นได้ ผู้ใดจะมีความสามารถไปทำเรื่องเช่นนี้ ถึงมีความสามารถก็ว่างงานเกินไป ท่านจริงจังหน่อ อย หลอกคนเล่นสินะ”
มังกรปิศาจส่งเสียงขึ้นจมูก “เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้เผ่าปิศาจล่วงเกินอะไรเขาข้าก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขนาดข้าก็แค่ เดิมพันกับคนอื่นว่าจะจมเรือนของเขาก็ถูกโยนมาไว้ที่นี่แล้ว”
“ท่านโง่หรือเปล่า รู้ชัดๆ ว่าเป็นบุคคลอันร้ายกาจขนาดนี้ ท่านยังไปจมเรือนของเขาอีก” ไม่ว่าคนที่มังกรปิศาจเอ่ยถึงจะมีอยู่จริงหรือไม่ ทว่ารู้ชัดๆ ว่าผู้อื่นร้ายกาจขนาดนี้ ย ยังไปจมเรือนของผู้อื่นอีก ทำให้คนรู้สึกว่าโง่เขลามาก
“ตอนนั้นข้ายังหนุ่มเลือดร้อนอย่างยิ่ง เรื่องที่เจ้าถามข้าก็บอกแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ ถ้าเตรียมตัวจะไปเมื่อใดค่อยมาบอกข้า” มังกรปิศาจด่าทออย่างอารมณ์เสียแล้วไม่สนใจนางอี ก
“ท่าทีอะไรกัน” จินเฟยเหยาก็ส่งเสียงขึ้นจมูก ฟังเรื่องราวอยู่นานก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงร้ายกาจขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“พอแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือด้านวงเวท วงเวทที่เขากางเป็นหนึ่งไม่มีสอง แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ข้าไม่ได้ถูกเขาสังหารเอ องกับมือ ทว่าถูกการป้องกันในเรือนเขาหั่นจนกลายเป็นแบบนี้ วงเวทในมือของผู้อื่นมีประโยชน์ไม่มาก ทว่าอยู่ในมือเขากลับเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพที่แปรเปลี่ยนได้นับพัน นับหมื่น” มังกรปิศาจหัวเราะอย่างเย็นชา
“รู้แล้ว” จินเฟยเหยาทำปากยื่นตอบรับคำหนึ่ง มังกรปิศาจขี้ขลาดเกินไป คนผู้นั้นต่อให้ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็อยู่ที่โลกระดับสวรรค์ พูดถึงเขาสักหลายประโยคที่นี่จะกลัวอะไร ไ ไม่ดูเสียบ้างว่าตนเองเล่าบ้าบออะไร หลังจากฟังแล้วก็ยิ่งสับสน มิสู้บอกแต่แรกว่าไม่รู้เสียดีกว่า
ในที่สุดก็รู้ว่าเพราะเหตุใดเผ่าปิศาจจึงขึ้นไปโลกระดับเทพไม่ได้ ทว่ายังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง คิดอีกที พอการป้องกันนี้ถูกเปิดออก สัตว์ปิศาจที่โลกระดับเทพพวกนั้นคงสามารถเ เลื่อนขั้นเป็นเผ่าปิศาจได้แล้วก็ต้องผ่านเคราะห์สายฟ้าพร้อมกัน ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง ต้องอลังการงานสร้างอย่างยิ่ง มีอัสนีสวรรค์เต็มท้องนภาแน่
เพียงแต่คนผู้นี้วิสัยทัศน์คับแคบไปหน่อย ไม่รู้ว่าเผ่าปิศาจล่วงเกินเขาเรื่องอะไรกันแน่ ถึงกับทำให้เขาปิดกั้นทั้งโลกระดับเทพได้ มังกรปิศาจแค่จมเรือนเขาจึงถูกแขวนอยู่ที่นี่ม มาหลายพันปี ทว่าพอคิดๆ ดู มังกรปิศาจอาจจะพูดให้เป็นเรื่องเล็ก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องสารเลวประเภทเก็บเชือกได้ที่จริงด้านหลังเชือกผูกวัวไว้ตัวหนึ่ง[1]
คำนวณดูฟังเรื่องน่าเบื่อก็ใช้เวลาไปไม่น้อย จินเฟยเหยาแปะยันต์ซ่อนกายอีกครั้งและรุดกลับบ้านเปลือกหอย พวกราชันเหวินยังเฝ้าอยู่ข้างนอก นางวนรอบหนึ่งจึงแอบเข้าบ้านได้
จากนั้นนางก็เล่าการตัดสินใจของมังกรปิศาจให้พั่งจื่อและหวาหวั่นซีฟัง กำลังเตรียมหารือว่าจะออกไปเมื่อใด มือของนางพลันปักเข้าไปในกำแพง ใช้มือลากหนูหลังทองขนาดเท่าฝ่ามือตัว วหนึ่งออกมา
มือนางใช้พลังเตรียมจะบีบคอหนูหลังทองตัวนี้ให้ตาย ทว่าหนูหลังทองรีบร้องตะโกนว่า “ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต ข้าเป็นเพื่อนบ้านเก่าของท่าน!”
“หืม?” จินเฟยเหยาจ้องมองหนูหลังทองในมือและเอ่ยถามอย่างสงสัย “คนในบ้านของราชันเผ่าพิภพ? ใครให้เจ้ามาแอบฟัง”
“ใช่ ข้าคือราชันเผ่าพิภพ ผู้อาวุโสใส่ความ ข้าไม่ได้มาแอบฟัง ข้ามีธุระมาหาผู้อาวุโส คิดไม่ถึงจะได้ยินว่าพวกท่านคิดจะไปจากที่นี่ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ” หนูหลังทองพยายามดิ้นรนอย่ างสุดชีวิต รีบผงกศีรษะเล็กๆ ขอความเมตตา
จินเฟยเหยากลับเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อเจ้าได้ยินแล้ว เจ้าก็อย่าหมายจะมีชีวิตรอดออกไปเลย”
“ช้าก่อน!” หนูหลังทองหวาดกลัวจนตะโกนลั่น “ข้ามาหาท่านก็เพื่อไปจากที่นี่ ท่านฟังข้าพูดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ!”
จินเฟยเหยาจ้องมองเขาอย่างสงสัย เจ้าหมอนี่ไม่มีอะไรจะคิดไปจากเมืองไป่เหอทำไม ใครไม่รู้บ้างว่าเผ่าปิศาจในโลกวิญญาณอื่นๆ ล้วนส่งคนมาที่นี่ เขายังคิดจะไปจากที่นี่ แปลกประหลา าดเกินไป อีกทั้งถึงจะไปก็ไม่จำเป็นต้องมาหาตนเอง ถ้าไปกับตนเองมิใช่ยิ่งมีอันตรายหรอกหรือ
นางครุ่นคิด สะบัดมือโยนเขาลงบนพื้น จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “เปลี่ยนร่างกลับมา ไม่เช่นนั้นข้าจะกระทืบเจ้าให้ตาย”
หนูหลังทองไม่กล้าลังเล ไอปิศาจฟุ้งตลบบนร่าง ภายในห้องก็ปรากฏราชันเผ่าพิภพขนาดครึ่งตัวคนผู้นั้น เห็นเขาไม่มีแม้แต่ชุดอาคมที่สามารถเปลี่ยนขนาดตามร่างกายได้สักชุด จินเฟย ยเหยาก็โบกไม้โบกมือให้หวาหวั่นซีนำผ้ามาชิ้นหนึ่งให้เขาปิดไว้ ไม่ใช่ชายงามอะไรเสียหน่อย มีพุงอ้วนๆ ยังมีหน้าไม่สวมเสื้อผ้าอีก ดูแล้วจะเป็นตากุ้งยิงหรือไม่
ราชันเผ่าพิภพคลุมผ้าขี้ริ้วที่หวาหวั่นซีโยนมาให้อย่างน่าสงสาร นั่งอยู่บนพื้นตรงข้ามจินเฟยเหยา
“ว่ามา ถ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย” จินเฟยเหยาหรี่ตามองเขา ไม่มีอะไรยังจงใจปล่อยอานุภาพกดดันข่มขู่เขาเล็กน้อย
ราชันเผ่าพิภพดึงผ้าขี้ริ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าสัตย์ซื่อ “ผู้อาวุโส ข้าแอบขุดปะการังมาที่นี่ เดิมทีคิดจะโน้มน้าวให้ผู้อาวุโสจากไปพร้อมพวกเรา แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่าผู้อาวุโสคิด ดจะจากไปพอดี คิดเหมือนกันเลย”
“พวกเจ้าคิดจะจากไปก็ไปเองได้ ทำไมต้องมาโน้มน้าวให้ข้าไปพร้อมกับพวกเจ้าด้วย อย่านึกว่าข้าไม่รู้ พวกเจ้าใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้อาศัยใบบุญของใคร อยากให้ข้าตายใจแทบขาด ตอนนี้ ยังแล่นมาหาข้าโดยเฉพาะ ใครจะเชื่อว่าเจ้าไม่มีเจตนาร้าย อีกทั้งตอนนี้ข้างนอกเป็นช่วงที่เผ่ามนุษย์เข่นฆ่าเผ่าปิศาจ พวกเจ้าจะหนีออกไปทำไม!” จินเฟยเหยาเลิกคิ้วมองเขาพลางเอ่ยว วาจา
“ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้พวกเราเคยโทษว่าพวกท่านจริงๆ แต่พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมานานขนาดนี้ คิดๆ ดูแล้วเรื่องก่อนหน้านี้ราชันเหวินเป็นฝ่ายกระทำก่อน ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อาวุโส มากนัก” ราชันเผ่าพิภพรีบเอ่ยอธิบาย
จินเฟยเหยาโบกไม้โบกมือตัดบทเขา “พูดเรื่องสำคัญ อย่าแต่งเรื่องขึ้น”
“ขอรับ” ราชันเผ่าพิภพมองนาง แล้วมองพั่งจื่อและหวาหวั่นซีที่ยืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นเอ่ยปากเล่า “พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้กินทุนเก่ายังพอฝืนใช้ชีวิ ตอย่างเผ่าราชันอยู่ที่นี่ได้ ทว่าหลังจากเรื่องนั้น ราชันสุ่ยจวินก็มอบหนี้ท่วมตัวให้พวกเรา ใช้แรงงานพวกเราทำงานอยู่นาน จนกระทั่งตอนล่าสัตว์ทะเลครั้งที่แล้วจึงจ่ายหนี้หมด ด ทว่าหลังจากนั้นใกล้ๆ นี้ก็ไม่มีสัตว์ทะเลแล้ว ทุกคนได้แต่กินทุนเก่าอีก”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองจินเฟยเหยา พบว่านางมิได้ไม่พอใจจึงเอ่ยอีกว่า “คนเผ่าปิศาจต่างโทษว่าผู้อาวุโส แต่ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ก่อนหน้านี้ในอดีตเดือนหนึ่งท่าน นออกไปฆ่าแค่หลายร้อยตัว สัตว์ทะเลมากมายแบบนี้ สุ่มคว้าคนผู้หนึ่งออกมาก็สังหารได้มากกว่าท่าน”
“ไม่ต้องมาประจบ พูดเรื่องของเจ้าต่อ” ได้ยินเขาเปลี่ยนมาพูดประจบ จินเฟยเหยาก็ได้แต่เอ่ยเตือนเขาอีกครั้ง อย่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามใจชอบ เจ้าหมอนี่หลังจากชีวิตเปลี่ยนเป็นย่ำแย ย่ก็กลมกลิ้งขึ้นทุกวัน ก่อนหน้านี้ผู้อื่นประจบประแจงเขา ตอนนี้เขาต้องไปประจบประแจงคนอื่นแทน
“ขอรับ เดิมทีชีวิตของพวกเราก็ยากลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้ราชันสุ่ยจวินยังขอให้สนับสนุนการศึก ให้พวกเราบริจาคสิ่งของอีก ไม่ปิดบังผู้อาวุโส โลกวิญญาณจ้งถู่ของพวกเราผลิตศิลาวิญญาณ สิ่งของอื่นๆ ไม่มีแล้ว ยังมีศิลาวิญญาณติดตัวอยู่ไม่น้อย ในอดีตไร้ค่า ข้าจึงเหลือไว้ให้บรรดาบุตรหลานฝึกบำเพ็ญ ทว่าตอนนี้ยังต้องการศิลาวิญญาณด้วย ทั้งยังแย่งชิงถุงเฉียนคุน ใช้กำลังกวาดไปหมด ไม่เหลืออะไรไว้ให้พวกเราเลย” ราชันเผ่าพิภพถือถุงเฉียนคุนอันว่างเปล่าไร้สิ่งใด มีสีหน้าโกรธเคือง
จินเฟยเหยาพลันเข้าใจ มิน่าเล่าเผ่าปิศาจพวกนั้นจึงมาหาตนเองทั้งวัน เทียบกับพวกเขาแล้ว ตนเองต้องมีเงินมากกว่าแน่ๆ ฝันเฟื่องจริงๆ คิดจะกวาดถุงเฉียนคุนของข้าไม่ใช่สิ่งที่ทุกคน นต่างทำได้
“ตอนนี้ไม่มียามังกรคำราม ศิลาวิญญาณก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงคิดจะกลับไปโลกวิญญาณจ้งถู่ แต่ตอนนี้การศึกไม่แน่ชัด บนถนนวุ่นวาย พวกเราคิดจะเชิญผู้อาวุโสไปกับพวกเราด้วย” ราชัน เผ่าพิภพก้มศีรษะเอ่ยขอร้องจินเฟยเหยา
ส่วนจินเฟยเหยากลับแย้มยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าที่พาเผ่ามนุษย์มาด้วยและถูกคนเผ่าปิศาจเคียดแค้นเข้ากระดูกต้องหวังว่าจะไปจากที่นี่แน่ อีกทั้งเจ้ายังมีสถานที่ปลอดภัยให้ ถึงข้าไป ปจากเมืองไป่เหอก็สามารถหลีกเลี่ยงสงครามได้สินะ”
…………………………………..
[1] เก็บเชือกได้ที่จริงด้านหลังเชือกผูกวัวไว้ตัวหนึ่ง หมายถึง ขโมยวัวมา แต่บอกว่าเก็บเชือกได้และอีกปลายของเชือกผูกวัวเอาไว้