คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 403 ขอทาน
หวาหวั่นซีและจินเฟยเหยาติดยันต์ซ่อนกายพิงหินก้อนใหญ่ไม่ขยับเขยื้อน มองกลุ่มเผ่ามนุษย์ที่มีไอสังหารพลุ่งพล่านบินผ่านเหนือศีรษะ
“เพราะเหตุใดพวกเราต้องหลบด้วย ตอนนี้เจ้าเก็บเขาก็เป็นเผ่ามนุษย์แล้วมิใช่หรือ ยังกลัวอะไรอีก” เห็นคนบินหายลับไปแล้ว หวาหวั่นซีจึงถ่ายทอดเสียงไปอย่างไม่เข้าใจ
จินเฟยเหยาเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าไม่คิดดูบ้างว่าที่นี่มีสภาพเช่นไร ถ้าโผล่หน้าออกไปต้องถูกจับตัวไปรบแน่ ข้าไม่มีเวลาว่างไปทำเรื่องพรรค์นี้ การแย่งชิงดินแดน ระหว่างเผ่าเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
หวาหวั่นซีที่เคยรับหน้าที่ในสำนักฟังคำพูดของนางอดเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าไม่มีความรู้สึกว่าสังกัดฝ่ายไหนเลยสักนิด วิ่งไปวิ่งมาระหว่างสามเผ่าแบบนี้ล่วงเกินคนทั้งสามฝ่ายหมดแล้ว ต่อไปใครจะปกป้องเจ้า”
“ข้าล่วงเกินหมดทั้งสามเผ่าแล้วหรือ? ดูเหมือนจะยังไม่ได้ล่วงเกินเผ่ามารนะ” จินเฟยเหยาครุ่นคิดพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “เจ้าพอเถอะ ใครกันที่ทำให้คฤหาสน์ก กุ่ยเม่ยไม่มีแม้แต่วิญญาณสักดวง ยังมาพูดถึงปัญหาการเข้าสังกัดกับข้าอีก พวกเราก็พอๆ กันนั่นแหละ ข้าทำร้ายคนอื่น เจ้าทำร้ายครอบครัวตนเอง ยังมีหน้ามาว่าข้าอีก”
“เจ้าโง่ราชันเหวิน คิดไม่ถึงว่าจะพบกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เข้า สวรรค์ช่วยเหลือข้าจริงๆ หึๆๆ” จินเฟยเหยานึกถึงเรื่องเมื่อครู่ได้จึงหัวเราะอย่างกระหยิ่มใจขึ้นอีก
ราชันเหวินตามพวกนางมาสองเดือนกว่า ในที่สุดก็มาสกัดได้ตอนใกล้จะถึงโลกวิญญาณจ้งถู่ ขณะกำลังจะลงมือกลับบังเอิญพบผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์กลุ่มหนึ่ง เผ่ามนุษย์พวกนั้นพอเห็น นว่าที่นี่มีเผ่าปิศาจก็ดวงตาแดงก่ำพุ่งเข้ามาทันที ส่วนจินเฟยเหยารีบเก็บเขาบนศีรษะและเก็บปราณปิศาจทั่วร่างกลายเป็นเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง
อยู่ห่างกันไกลมาก จินเฟยเหยาจึงร้องตะโกนเสียงดังว่า “สหายเซียนเบื้องหน้า ช่วยด้วย! ข้าเป็นคนของสำนักหลิงเถี่ยวในโลกวิญญาณเหอเซี่ย สหายเซียนรีบช่วยเหลือด้วย!”
ราชันเหวินเห็นฉากนี้จึงด่าทอ “เจ้ามนุษย์ปิศาจ คิดไม่ถึงว่าจะเก็บเขาแล้ว”
“มนุษย์ปิศาจ! มีคนของพวกเราอยู่ ดูสิว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานต่อไปได้อย่างไร!” จินเฟยเหยาถลึงตาเอ่ยยิ้มๆ
ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์กลุ่มนี้ผ่านมาพอดี เห็นเผ่าปิศาจกลุ่มใหญ่ล้อมผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่คนหนึ่งก็รีบมาและต่อสู้กันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที ส่วนจินเฟยเหยาม มองพวกเขาสู้กัน นางฉวยโอกาสที่มีคนชุลมุนเล็ดลอดออกไป ระหว่างทางยังนำหวาหวั่นซีออกมา เพิ่มมาอีกคนหนึ่งจะปลอดภัยกว่า
เห็นนางหัวเราะอย่างเบิกบานขนาดนี้ หวาหวั่นซีจึงด่าทออย่างอารมณ์เสีย “เจ้ายังหัวเราะอีก ที่ผ่านไปเมื่อครู่คือคนกลุ่มนั้นสินะ นอกจากคนขั้นแปลงจิตคนนั้นที่สภาพดีหน่อยแล้ว ว คนอื่นๆ ต่างสีหน้าซีดขาว ร่างกายมีบาดแผล ไม่รู้ว่าราชันเหวินเป็นหรือตาย”
“สีหน้าซีดขาวคงถูกราชันเหวินดูดเลือดเสียแปดส่วน ถึงอย่างไรพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็แสดงว่าถ้าไม่ได้สังหารเผ่าปิศาจหมดแล้วก็สู้เสมอกัน ทั้งสองฝ่ายต่างหลบหนี จะสนใจทำไมว่าเขาจ จะตายหรือไม่ พวกเรารีบนำครอบครัวเผ่าพิภพออกมาแล้วซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน” จินเฟยเหยามองดูรอบด้าน และเอ่ยอย่างไม่วางใจ
สภาพแวดล้อมของโลกวิญญาณจ้งถู่ย่ำแย่อย่างยิ่ง นอกจากดินสีเหลืองแดง ก็เป็นพวกหญ้าสใกล้ตาย แห้งเหลืองน่าเกลียดสูงหนึ่งตัวคนกว่า นอกจากสิ่งนี้ก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่แม่น้ำหรือทะ ะเลสาบก็ไม่มีสักแห่ง อย่างมากที่สุดก็มีเพียงหล่มโคลนที่ไม่รู้ว่าถูกน้ำฝนสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
“ที่นี่ไม่อุดมสมบูรณ์เลยจริงๆ ขนาดสัตว์ปิศาจยังไม่มีสักตัว” จินเฟยเหยาและหวาหวั่นซีเหาะไปริมทะเลอีกครั้ง เดิมทีวางแผนว่าถึงโลกวิญญาณจ้งถู่แล้วจะลงทะเล จากนั้นปล่อยราชันเผ่า าพิภพออกมาให้พวกเขาค้นหาทางเข้า ทว่าเมื่อครู่เพิ่งเห็นโลกวิญญาณจ้งถู่ ราชันเหวินก็ไล่ตามมา ตอนหลบหนีจึงหนีเข้าไปด้านใน ตอนนี้ต้องรีบกลับมาที่ริมทะเลอีกครั้ง
นางและหวาหวั่นซีมาถึงริมทะเล เห็นรอบด้านไม่มีใครก็รีบลงทะเลดำลงไปจนถึงสถานที่ลึกๆ จึงหยุดลง
ใช้การรับรู้กวาดดูแล้วว่ารอบด้านไม่มีใคร จินเฟยเหยาจึงนำเกาะลอยได้เล็กๆ ออกมา พอมองดูข้างใน ครอบครัวราชันเผ่าพิภพกำลังมองซ้ายดมขวาในแปลงสมุนไพร การปรากฏตัวของนางทำให้ พวกเขาผิดหวังอย่างยิ่ง นี่แสดงว่าพวกเขาต้องไปจากที่นี่ ไปจากกระท่อมอันงดงามและต้นไม้ซึ่งผลิดอกบานตลอดปี
จินเฟยเหยาไม่สนใจมากความ นำกล่องเล็กๆ ใบนั้นออกมาอีกครั้ง หากมิใช่ในพวกเขายังมีเด็กน้อยดูดนมมารดาอยู่ นางคงให้พวกเขาออกมาว่ายน้ำเองนานแล้ว เห็นสตรีเผ่าพิภพเหล่านั้นเดิน นเข้ากล่องอย่างตัดใจไม่ได้ เดินก้าวหนึ่งหันกลับไปมองสามครั้ง จินเฟยเหยาได้แต่เอ่ยว่า “พอเถอะ ไม่ต้องมองแล้ว อย่างมากต่อไปข้าจะช่วยพวกเจ้าปลูก ก็แค่ต้นไม้ มีอะไรยากกัน ”
ได้ยินคำพูดของนาง เผ่าพิภพเหล่านี้จึงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นอกจากพวกขุนนางชราและเผ่าพิภพหนุ่มสาวแล้วยังรวมถึงราชันด้วย ต้นไม้ที่เคยเห็นเพียงต้นเดียวคือต้นที่อยู่ในเรือ อนของตนเอง อีกทั้งดอกไม้ที่บานก็ยังเล็กเกินไป ไม่เหมือนต้นไม้สีขาวแดงในเกาะลอยได้เล็กๆ แห่งนี้สักนิด ดอกไม้ผลิบานจนน่าตื่นตะลึง
อีกทั้งในเกาะลอยได้ยังมีผลไม้และหญ้าวิญญาณจำนวนมาก ถึงแม้ยังเติบโตไม่เต็มที่ ทว่ายังดึงดูดสายตาของพวกเขา ผลไม้เล็กๆ สีเขียวเหล่านั้นยังมีแรงดึงดูดมากกว่าสิ่งใดๆ
จินเฟยเหยาเก็บกล่องขึ้น สตรีและขุนนางชราที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นเข้าไปข้างในหมดแล้ว มีเพียงราชันเผ่าพิภพและขุนนางชราที่ยังถือว่าร่างกายแข็งแกร่งคนหนึ่ง บวกกับบุตรชายขั้น นหลอมรวมอีกสองคน ต้องอาศัยพวกเขาค้นหาเส้นทาง ย่อมเบียดเข้าไปในกล่องทั้งหมดไม่ได้
เก็บเกาะลอยได้เล็กๆ กลับคืน จินเฟยเหยากระตุ้นให้พวกเขารีบหาเส้นทาง เมื่อครู่เสียเวลาไปมากแล้ว ที่นี่มีคนทั้งสามเผ่าปรากฏตัวขึ้นอาจจะถูกคนลาดตระเวนพบเห็นได้ทุกเมื่อ
เนื่องจากสิ่งที่ต้องหาคือเส้นทางลับในอดีต สายตาของทุกคนจึงมองไปที่ร่างของขุนนางชราผู้นี้ เขาลากสังขารแก่เฒ่าค้นหาอยู่ใต้ชายฝั่งที่ถูกน้ำทะเลท่วม เห็นเขาแนบร่างลงบนก้ อนหิน ใช้นิ้วเคาะบนผนังศิลาเบาๆ ที่หนึ่งไม่มีก็เปลี่ยนอีกที่
“ตาเฒ่าคนนี้หูดี แค่ใช้นิ้วเคาะผ่านก้อนหินพวกนี้ก็หาอุโมงค์ใต้ดินพบหรือ?” จินเฟยเหยามองเขาเคาะทางซ้ายทางขวาก็พยักหน้านิดๆ เอ่ยวาจา
เผ่าปิศาจพวกนี้ต่างก็มีความพิเศษเฉพาะของเผ่าพันธุ์ เทียบกับเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่ได้เปรียบ เผ่าพิภพอย่างหนูหลังทองเหล่านี้ ขนาดเคล็ดวิชาที่เรียนยังต้องเรียนตามความเคย ยชินของตนเอง ส่วนมากล้วนเกี่ยวข้องกันดิน สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดคือจำพวกขุดถ้ำ ปรากฏว่ามีพรสวรรค์สุดๆ
เวลานี้เองขุนนางเฒ่าเคาะที่แห่งหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างยินดี “ที่นี่ ตรงนี้มีอุโมงค์!”
“โอ้ หาพบเร็วขนาดนี้เชียว?” จินเฟยเหยาว่ายน้ำมามองดูที่นั่น ที่นี่ก็เหมือนกับก้อนหินโดยรอบ ไม่แตกต่างใดๆ ไม่มีร่องรอยเคยถูกคนขุด
ขุนนางเฒ่าพยักหน้าตอบรับ “ใช่ แต่น่าจะไม่ใช่อุโมงค์ลับเก่า น่าจะขุดขึ้นใหม่ อย่างมากที่สุดมีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น”
“ท่าทางจะมีเผ่าพิภพจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน พวกเจ้าขุดที่นี่ออกมา พวกเราจะเข้าไปดูหน่อย” จินเฟยเหยาครุ่นคิด รู้สึกว่าตนเองจะสู้เผ่าพิภพพวกนี้ไม่ได้ได้อย่างไร จึงให้พวกเขา ขุดอุโมงค์ใต้ดินออกมา
ราชันเผ่าพิภพนำบุตรชายเริ่มลงมือขุดก้อนหินภายใต้การชี้แนะของขุนนางเฒ่า จินเฟยเหยาและหวาหวั่นซีระแวดระวังรอบด้าน ป้องกันมีคนพบเห็น
“ผู้อาวุโส ขุดทะลุแล้ว” ยามนี้มีเสียงตื่นเต้นของราชันพิภพดังมา อุโมงค์ถูกขุดเปิด เผยให้เห็นอุโมงค์ใต้ดินอันมืดมิด
นำมุกกวงหมิงออกมา จินเฟยเหยานำหน้า เผ่าพิภพอยู่ตรงกลาง หวาหวั่นซีปิดท้าย คนทั้งกลุ่มก็เข้ามาในอุโมงค์ใต้ดินแบบนี้ ทุกคนว่ายเข้าไปในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล หวาหวั่นซ ซีที่รั้งท้ายทำลายทางออกอุโมงค์ใต้ดิน
ทางอุโมงค์ใต้ดินแคบมาก สถานที่บางแห่งต้องออกแรงจึงสามารถทะลวงผ่านได้ ในใจจินเฟยเหยาอดสาปแช่งคนที่ขุดอุโมงค์ใต้ดินไม่ได้ ถึงพวกเขาจะรูปร่างเล็กก็น่าจะรู้หลักเหตุผลข้อหนึ่ง กินอิ่มแล้วต้องนั่งพักสักครู่ สถานที่ซึ่งอาศัยอยู่อย่างเบียดเสียดจะรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
ว่ายมาเกือบห้าร้อยกว่าจั้ง ในอุโมงค์ใต้ดินพลันกว้างขึ้น น้ำทะเลท่วมศีรษะล่าถอยไป พวกเขามาถึงในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งมีความกว้างเพียงห้าหกจั้ง ตรงกลางเป็นน้ำทะเล รอบด้านเป็นค คันดินสูงครึ่งตัวคน บนคันดินมีสถานที่ให้คนยืนกว้างเพียงสองสามก้าว ทว่าบนกำแพงคันดินด้านหลัง มีปากอุโมงค์ใต้ดินสี่ช่อง
พวกนางขึ้นฝั่ง พบว่าในอุโมงค์ใต้ดินสี่แห่งล้วนเคยใช้เวทหลอมดินปูไว้ จินเฟยเหยาใช้การรับรู้กวาดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินเหล่านี้ รู้สึกว่าด้านในคดเคี้ยว ทั้งยาวและมีทางแยกมากมา าย ยังไม่เจอคนเผ่าพิภพเลย
“ต้องไปปากอุโมงค์ช่องใด?” แบบนี้เลือกไม่ถูกเลย จินเฟยเหยามองพวกราชันเผ่าพิภพ
ราชันเผ่าพิภพก็มาเป็นครั้งแรก จึงได้แต่มองขุนนางเฒ่า ยามนี้ขุนนางเฒ่ากลับถิ่นฐานเดิมอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าพลุ่งพล่านอยู่บ้าง กำลังลูบคลำดินสีเหลืองแดงเหล่านั้นด้วยสองมือที สั่นเทา คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้กลับมาที่นี่ขณะยังมีชีวิตอยู่ เขาน้ำตาไหลอาบแก้ม รีบใช้มือปาดเช็ด “เลือกเส้นทางใดก็ได้ อุโมงค์ใต้ดินของคนเผ่าพิภพเชื่อมถึงกันหมด”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” มองอุโมงค์ใต้ดินที่สูงเพียงครึ่งตัวคนพวกนี้ จินเฟยเหยาไม่อยากคลานด้านในอย่างช้าๆ จึงหิ้วเผ่าพิภพคนละสองคนกับหวาหวั่นซีเหาะเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินสายหนึ่ง ง
ทั้งสองคนเหาะวุ่นวายอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน เนิ่นนานก็ยังไม่พบสถานที่อันกว้างขวางซึ่งเผ่าพิภพอาศัยอยู่ ขณะที่นางกำลังหงุดหงิดนั้น การรับรู้พลันกวาดพบอะไรบางอย่างจึงรีบเหาะไปยั งทางแยกด้านขวา
ในที่สุดเบื้องหน้าก็เห็นแสงสว่างเล็กน้อย ด้านหน้ามีคน!
จินเฟยเหยาพุ่งพรวดไป รอบกายพลันสว่างจ้า นางปรากฏตัวขึ้นในถ้ำสูงประมาณสามจั้งกว้างห้าจั้ง ส่วนในถ้ำมีกลุ่มเผ่าพิภพในเสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่งและซูบผอมกำลังมองนางอย่างโง่งม พวกเขาแ แต่ละคนหน้าเหลืองตัวผอมแห้ง ส่วนมากเป็นเผ่าพิภพที่ไม่มีพลังบำเพ็ญเพียร ในจำนวนนั้นมีเผ่าพิภพขั้นฝึกปราณอยู่สิบกว่าคนก็มีสภาพไม่แตกต่างอะไรจากพวกขอทานเช่นกัน พวกเขานั่งล ล้อมหินแสงราตรีเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เวลานี้ทุกคนถูกมุกกวงหมิงซึ่งมีแสงสว่างกว่าหลายเท่าทำให้โง่งมไป
หวาหวั่นซีก็ตามมาติดๆ พอพบเห็นฉากนี้ก็อดมองดูจินเฟยเหยาไม่ได้
ทว่าในเวลานี้เอง เผ่าพิภพกลุ่มนี้สังเกตเห็นว่าในมือของพวกนางสองคนหิ้วเผ่าพิภพตัวอวบอ้วนหูใหญ่สี่คนซึ่งสวมชุดดีกว่าพวกเขาหลายสิบเท่า อีกทั้งเผ่าพิภพสี่คนนั้นยังมีพลั งบำเพ็ญเพียรและดูเหมือนจะมีพลังบำเพ็ญเพียรไม่ต่ำต้อยด้วย ส่วนมนุษย์ร่างสูงใหญ่สองคนนี้ คนหนึ่งเป็นเผ่าปิศาจ อีกคนกลับเป็นเผ่ามนุษย์ การรวมตัวแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกปร ระหลาด
อยู่อย่างเงียบกริบเช่นนี้หลายอึดใจ ในกลุ่มคนเผ่าพิภพพลันมีเสียงเศร้าสลดร่ำร้องขึ้น “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย พวกเราเป็นเพียงเผ่าพิภพธรรมดา ไม่มีพลังบำเพ็ญเพียร!”
หลังเสียงนี้ดังขึ้น เผ่าพิภพทั้งหมดก็คุกเข่าร่ำไห้ขอความเมตตา ร้องไห้อย่างเรียกได้ว่าโศกาอาดูร พวกเขาทั้งหมดมีเพียงความคิดเดียว ไม่ว่าผู้มาเป็นใคร อย่างไรก็ร้องไห้ขอความ มเมตตาไว้ก่อน