คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 408 เรื่องง่ายๆ
เหรินเซวียนจือไม่รู้ว่าตนเองสลบไปนานเพียงใด จำได้ว่าตอนนั้นตนเองถูกเผ่าปิศาจกลุ่มหนึ่งล้อมไว้ คิดไม่ถึงว่ายังมีศิษย์พี่สำนักเดียวกันอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาจึงไม่เหมาะจะเปลี่ยนร่างมาต้านทาน สุดท้ายถึงกับถูกเผ่าปิศาจโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังหมดสติไป คำนวณพลาดจริงๆ
ถึงแม้ดวงตาจะลืมไม่ขึ้น แต่บางครั้งเมื่อสติแจ่มใส เขาก็ได้ยินรอบด้านมีเสียงคนพูดคุยกัน ทว่ากลับได้ยินเนื้อหาไม่ชัดเจน บาดแผลบนร่างมีคนจัดการพันให้ ท่าทางตนเองคงถูกคนฝ่ายตนช่วยกลับไป
วันนี้ เหรินเซวียนจือรู้สึกว่าร่างของตนเองมีเรี่ยวแรงขึ้น อีกทั้งบนทรวงอกมีอะไรบางอย่างไถลไปมา ทำให้เขารู้สึกคันนิดๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามลืมตาขึ้น ใบหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและงดงามเป็นเอกปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
ใกล้มาก ใบหน้าของสตรีผู้นี้อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงครึ่งฝ่ามือ สิ่งที่ไถลไปมาบนทรวงอกพอดีเป็นเส้นผมสีดำที่ห้อยระลงมาของสตรีผู้นี้
เสี่ยวหวั่นอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เผ่าพิภพก็ถูกนางเล่นจนเบื่อแล้ว จ้องมองเป้าหมายบนร่างเผ่ามนุษย์ที่กำลังสลบอยู่คนนี้ วันนี้นางก็ลูบคลำอีกและกำลังก้มหน้ามองเขาพอดี บุรุษผู้นี้รูปโฉมน่ามองยิ่ง สิ่งที่คิดไม่ถึงคือบุรุษผู้นี้จะลืมตากะทันหัน
“เจ้าฟื้นแล้ว?” เสี่ยวหวั่นเอ่ยปากถาม
“เจ้าเป็นใคร…” เหรินเซวียนจือหรี่ตา ใบหน้าปรากฏสีหน้าลุ่มหลงทันที เสี่ยวหวั่นหัวเราะหึๆ “ข้าชื่อเสี่ยวหวั่น ที่นี่คือเมืองซั่นเหริน พวกเราช่วยเจ้าไว้”
“เสี่ยวหวั่น เป็นชื่อที่เพราะจริงๆ” บาดแผลของเหรินเซวียนจือยังไม่หายดี ปากเอ่ยวาจาหวานหยดย้อยอย่างลื่นไหล
สตรีตรงหน้ารูปโฉมงดงามจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่มีพลังบำเพ็ญเพียร แต่ใบหน้างดงามขนาดนี้นำมาดึงพลังก็น่าเสียดาย มิสู้พานางไปเติมเครื่องหอมรินน้ำให้ตนเองจะยิ่งเจริญหูเจริญตามากขึ้น เพียงแต่เหรินเซวียนจือสงสัยอยู่บ้างรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องสักอย่าง
เสี่ยวหวั่นมีนิสัยของเด็กน้อย ได้ยินคนเอ่ยชมว่าชื่อของตนเองว่าไพเราะจึงยิ้มหวานเอ่ยว่า “ข้าก็รู้จักชื่อของเจ้า เจ้าชื่อเหรินเซวียนจือถูกหรือไม่ ท่านลุงกบบอกว่าเจ้าเป็นคนชั่ว ให้ข้าอยู่ห่างๆ เจ้าหน่อย แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าหน้าตาดีขนาดนี้ มองอย่างไรก็เป็นคนดี”
จากนั้นนางก็เอานิ้วชี้ไว้ตรงปากแล้วส่งเสียงชู่อย่างน่ารัก “เจ้าอย่าบอกท่านลุงกบว่าข้ามาเล่นกับเจ้าที่นี่นะ ไม่เช่นนั้นเขาต้องด่าทอข้าแน่”
ท่านลุงกบ? เหรินเซวียนจืองุนงง สตรีผู้น่ารักถึงกับรู้จักชื่อของตนเอง นั่นคือคนรู้จักของตนเอง แต่ตนเองไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเซียนคนใดที่ในมือมีสตรีงดงามขนาดนี้ หรือว่าคนรู้จักคนใดให้กำเนิดขึ้นภายหลัง เรื่องนี้เป็นไปได้ แต่ท่านลุงกบคืออะไร!
“เมืองซั่นเหริน หรือว่าทุกคนที่นี่เป็นคนดี?” เหรินเซวียนจือเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม แค่หยอกล้อเสี่ยวหวั่นเล่นเท่านั้น
เสี่ยวหวั่นกำลังจะตอบ ตรงประตูมีเสียงร้องอย่างแตกตื่นลนลานของกบดังขึ้น พั่งจื่อรีบพุ่งเข้ามาดึงเสี่ยวหวั่นวิ่งออกไป
“ท่านลุงกบ ท่านทำอะไรน่ะ ทำไมต้องรีบร้อนลากข้าออกมาขนาดนี้ คนผู้นั้นเป็นคนดี ท่านดูสิเขายิ้มแฉ่งเลย” เสี่ยวหวั่นถูกพั่งจื่อดึงมานอกบ้านก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
พั่งจื่อคิดไม่ถึงว่าเหรินเซวียนจือจะได้สติแล้ว ปิศาจราคะแบบนั้นเห็นรูปโฉมของเสี่ยวหวั่น ไม่แน่ว่านิสัยสัตว์ป่าจะกำเริบ เจ้าเมืองลั่วรื่อหน้าตาแบบนั้นเขายังสามารถดึงพลังได้ หน้าตาแบบเสี่ยวหวั่นคงเป็นเนื้อเข้าปากเสือ
เหรินเซวียนจือจ้องมองกบสีขาวที่ลากเสี่ยวหวั่นออกจากประตูไปตัวนั้นอย่างตะลึงงัน รู้สึกคุ้นตาอย่างยิ่งเหมือนเคยเจอที่ใดมาก่อน เขาครุ่นคิด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ลุกขึ้นนั่งทันทีโดยไม่สนใจบาดแผลบนร่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของเขาดังขึ้นในเมืองซั่นเหริน “จินเฟยเหยา!”
“หืม?” จินเฟยเหยากำลังบงการให้เผ่าพิภพขุดเพลิงพิภพ เวลานี้ขุดเกือบได้แล้ว ด้านล่างร้อนระอุอย่างยิ่งขาดอีกนิดเดียวเพลิงพิภพก็จะออกมา รอเพียงจัดทำสิ่งที่ควบคุมเพลิงพิภพด้านบน ก็สามารถใช้พลังของนางทะลวงพื้นดินและชักนำเพลิงพิภพออกมาได้
ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเดือดดาลของเหรินเซวียนจือ จินเฟยเหยาก็หัวเราะฮ่าๆ ฟื้นมาได้เวลาพอดี หรือเขารู้จักการชักนำไฟพิภพออกมาจึงรีบฟื้นขึ้นมาช่วยเหลือตนเอง
นางรีบมาถึงหน้าบ้านเหรินเซวียนจือ ยังไม่ทันได้เข้าประตูก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “สหายเซียนเหริน เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ทันเวลาจริงๆ เจ้านอนมาครั้งปีกว่าแล้ว ทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่ กลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหวตายไป”
เหรินเซวียนจือนั่งอยู่บนเตียง กุมทรวงอกเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นห่วงข้า!” หากมิใช่เขาบาดเจ็บหนักมากจริงๆ พอขยับตัวก็เจ็บปวดไปทั่วร่าง เขาคงลุกขึ้นชกหน้าจินเฟยเหยานานแล้ว
เพื่อประหยัดยา จินเฟยเหยาจึงไม่ได้ให้เขากินยาใดๆ แค่ใช้ยารักษาบาดแผลภายนอกขั้นหนึ่ง นางเกรงว่าเหรินเซวียนจือตาย ยาที่ใช้ไปจะเสียเปล่า ถึงจะเอาถุงเฉียนคุนของเขามาได้ แต่ประหยัดได้ก็ประหยัด
“จริงนะ เจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาทำให้ข้าเป็นห่วงแทบตาย ถ้าเจ้าตาย ข้าคงต้องไปหาคนผู้หนึ่งมาสร้างเตาเพลิงพิภพให้ใหม่ เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ก็ดียิ่ง บุญคุณช่วยชีวิตน่ะช่างเถอะ” จินเฟยเหยาท่าทางจะอารมณ์ดี จึงเพิกเฉยสีหน้าปั้นยากขั้นสุดของเหรินเซวียนจือพลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“จินเฟยเหยาในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ!” ในดวงตาของเหรินเซวียนจือเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร เรื่องในตอนนั้นทำให้เขาไม่ได้สติคืนมาอยู่หลายสิบปีเต็มๆ หลังตามหาจินเฟยเหยาด้วยความเดือดดาลอยู่หลายปีก็ไม่ได้ข่าวคราวของนาง
สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหวจึงกลับสำนักปิดด่านกักตนมาตลอดจนถึงเมื่อหลายปีก่อน หากมิใช่เส้นทางมาโลกฝั่งนี้เปิดออก สำนักต้องออกมาแย่งชิงพื้นที่ เขายังปิดด่านกักตนอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตนเอง บทจะได้มาก็ไม่ต้องเปลืองแรงจริงๆ!
แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าอาศัยบาดแผลทั่วร่างของเหรินเซวียนจือ ตอนนี้เขาสู้จินเฟยเหยาที่อยู่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเหมือนกันไม่ได้ เพราะเหตุนี้จึงยิ่งแค้นมากขึ้นหลายส่วน สายตาที่จ้องมองนางราวกับจะกินคน
จินเฟยเหยาถูกเขาจ้องจนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างจึงเอ่ยถามอย่างงุนงง “เจ้าจ้องมองข้าแบบนี้ทำไม? เจ้าไม่ใช่คนประเภทไม่ตอบแทนบุญคุณแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เสียหน่อย จะแสร้งทำเป็นตอบแทนไม่ได้ทำไม”
“ใครตอบแทนไม่ได้! ถ้าข้าไม่บาดเจ็บ ตอนนี้คงบีบคอเจ้าตายไปนานแล้ว!” ในที่สุดเหรินเซวียนจือก็คำรามใส่นางอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “เพราะเหตุใด? ข้าทำอะไรให้เจ้าจึงทำกับข้าแบบนี้ ข้ายังช่วยเจ้าไว้ด้วยนะ เจ้าถูกทุบตีจนสมองพิการใช่หรือไม่” จินเฟยเหยาเลิกคิ้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เจ้า…แค่ก!” เหรินเซวียนจือชี้หน้านางมีโทสะจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา แม้แต่บาดแผลที่ใกล้จะหายดีแล้วก็สะเทือนจนปริแตก อีกทั้งยังเกือบจะหายใจไม่ออกและสลบไปอีก
“อ๋า!” จะให้เขาตายไม่ได้ จินเฟยเหยาโผล่ศีรษะออกไปตะโกน “ใครก็ได้รินน้ำมาหน่อย เหรินเซวียนจือจะตายแล้ว!”
ยายสารเลวนี่! เหรินเซวียนจือมีโทสะแทบแย่ กระอักโลหิตออกมาอีก
“เจ้าเพิ่งฟื้น อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี รีบนอนลง” เนี่ยนซียกน้ำถ้วยหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยอย่างอ่อนโยน
พอเห็นสาวงาม อาการบาดเจ็บของเหรินเซวียนจือก็ดีขึ้นมากทันที ไม่ไอแค่กๆ ทรวงอกก็ไม่เจ็บแล้ว ปราศจากสีหน้าเดือดดาลเมื่อครู่ เอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนสง่างาม “ขอบคุณเสี่ยวหวั่น เจ้าช่างมีน้ำใจ”
เนี่ยนซีชะงักแล้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่เสี่ยวหวั่น ข้าชื่อเนี่ยนซี”
“เนี่ยนซี?” เหรินเซวียนจือนิ่งอึ้ง เป็นสตรีคนเมื่อครู่ที่ชื่อเสี่ยวหวั่นชัดๆ ไม่ถูกต้อง ถึงลักษณะเหมือนราวกับพิมพ์เดียวกัน แต่นิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หรือว่าเป็นหญิงสาวฝาแฝด เป็นสาวงามพิมพ์เดียวกันสองนาง คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีขนาดนี้!
จินเฟยเหยาเห็นเขามีกำลังใจดีขึ้นมาทันที ท่าทางราวกับจะกินคนเมื่อครู่ก็หายไป เหลือเพียงคุณชายเจ้าสำอางที่จอมปลอมถึงขีดสุด ชอบผู้หญิงขนาดนี้เชียว เช่นนั้นก็ให้พวกนางจัดการเขา
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเอ่ยว่า “สหายเซียนเหริน ที่นี่คือเมืองของข้า ถึงจะอยู่ใกล้กับเผ่าปิศาจ แต่รับประกันว่าปลอดภัย เจ้าพักรักษาตัวอย่างวางใจเถอะ หลายวันนี้จะให้พวกเนี่ยนซีมาดูแลเจ้า เจ้าต้องการสิ่งใดก็ไปหาพวกนาง”
“เจ้ายังไม่ไปอีก!” เห็นจินเฟยเหยายังยืนอยู่ที่นี่ ก็เอ่ยอย่างรังเกียจ “คิดไม่ถึงว่าเมืองนี้จะเป็นของเจ้า เมืองซั่นเหรินชื่อนี้ช่างตั้งออกมาได้ เจ้าไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”
“เห็นสตรีก็ลืมสหาย ทำไมจึงมีคนอย่างเจ้าได้นะ พวกเราสองคนเป็นคู่หูปล้นชิงมาด้วยกัน นับว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย การแสดงออกของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้” จินเฟยเหยาเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
ได้ยินคำพูดของนาง เหรินเซวียนจือรู้สึกว่าทรวงอกเจ็บปวดแทบตาย หายใจไม่ออก ดังนั้นจึงตะโกนอย่างอารมณ์เสีย “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าตายก็รีบไปเสีย ที่นี่ไม่ต้องการเจ้า!”
“ชิ!” คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนแบบนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นสหาย ตอนนี้ยังช่วยชีวิตเขาด้วย ถึงกับมีท่าทีเช่นนี้ จินเฟยเหยาจากไปอย่างเดือดดาล ไม่อยากไปสนใจเจ้าคนเห็นสตรีแล้วลืมสหาย!
เดินออกมาก็เห็นพั่งจื่อกำลังมองนางอย่างตั้งใจ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงเดินเข้าไปตบบ่ามัน “เจ้าพูดได้ถูกต้อง รู้แต่แรกไม่น่าช่วยเขาเลย เจ้าหมอนี่พึ่งพาไม่ได้ พอมีสตรีก็ลืมหมดทุกอย่าง เพศผู้ย่อมเข้าใจเพศผู้จริงๆ”
พั่งจื่อมองนางอย่างหมดวาจา ตนเองบอกไม่ช่วยไม่ได้หมายความแบบนี้เลยสักนิด!
แต่ที่ทำให้มันคิดไม่ถึงคือ เหรินเซวียนจือไม่ลงมือทันที ทว่าถูกเสี่ยวหวั่นและเนี่ยนซีจัดการเสียอยู่หมัด คิดๆ ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็บาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางหายดีในสองสามปี เป็นศัตรูตอนนี้ก็หาเรื่องใส่ตัว ไม่รู้ว่าเหรินเซวียนจือจะทนคนที่ทำเรื่องเช่นนั้นกับตนเองได้นานเพียงใด ต่อสู้กันเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
เหรินเซวียนจือฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้การดูแลของเนี่ยนซี แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เนื่องจากหลังจากเขาฟื้นก็สามารถใช้ถุงเฉียนคุนของตนเองได้ จึงหยิบยาออกมารักษาบาดแผลอย่างใจกว้าง ไม่เหมือนจินเฟยเหยาที่ตัดใจให้เขากินยาไม่ได้และปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมแบบนี้
เนี่ยนซีและเสี่ยวหวั่นผลัดเปลี่ยนกันไปหาเขา คนหนึ่งเล่นสนุก อีกคนหนึ่งดูแล ทำให้เหรินเซวียนจือรู้สึกว่าหาสิ่งล้ำค่าพบ ทว่าหลังเขาลงจากเตียงเดินไปทั่วได้ เขายังเจอฮูหยินหวา มองสตรีที่สวมชุดอาคมชั้นยอดอันงดงามแต่กลับปักภาพร้อยวิหคผู้นั้น เขารู้สึกสงสัยจริงๆ หรือว่าเป็นแฝดสาม?
ทว่าเนื่องจากฮูหยินหวาเป็นร่างเดิม ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงเนี่ยนซีและเสี่ยวหวั่นล้วนใช้คำว่าเด็กน้อยสองคนมาบรรยาย เรื่องนี้ทำให้เหรินเซวียนจือเกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่ง สตรีที่มีนิสัยเหมือนหญิงแต่งงานแล้วผู้นี้คือท่านแม่ของเนี่ยนซีและเสี่ยวหวั่น ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นญาติ ไม่เช่นนั้นจะหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ได้อย่าง
เรื่องในร่างเดียวมีหลายบุคลิกแบบนี้ คนทั่วไปคงไม่เคยเจอ ดังนั้นถึงแม้เหรินเซวียนจือจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดไปในด้านนั้นทันที ทว่าวันนั้นเห็นร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เหรินเซวียนจือจึงคิดจะไปหาเนี่ยนซีที่ชอบนั่งในศาลาริมน้ำบ่อยๆ หลังจากเดินไปที่นั่น เขาก็เห็นหวาหวั่นซีที่ไม่เคยพบเจอ
หวาหวั่นซีหลีกเลี่ยงการเจอหน้าเขามาตลอด เวลานี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำกับจินเฟยเหยา หารือกันเรื่องเลี้ยงดูเผ่าพิภพ เนื่องจากเกี่ยวพันกับเหรินเซวียนจือ จำนวนครั้งและเวลาที่เสี่ยวหวั่นและเนี่ยนซีปรากฏตัวจึงมากกว่าปกติหลายเท่า นางไม่มีเวลาไปล่าสัตว์ทะเลเลย ตอนนี้จึงอาศัยพั่งจื่อออกไปล่าสัตว์ทะเล อาหารที่เก็บไว้ในคลังเหลือไม่มากนัก
กำลังหารือกันอยู่ เหรินเซวียนจือก็ปรากฏตัวขึ้นข้างศาลาริมน้ำ เขามองหวาหวั่นซีที่นั่งตัวตรงและมีสายตาเย็นชาอย่างประหลาดใจ ท่าทางเย็นชาและสายตาดูแคลนนั่น ยังมีกลิ่นอายสูงส่งระหว่างที่ยกมือวางเท้าล้วนแตกต่างจากสามคนที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้
อีกทั้ง พลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย นี่คือความแตกต่างพื้นฐานที่สุด
ก่อนหน้านี้เหรินเซวียนจือแค่คิดว่าคนธรรมดาที่งดงามแบบนี้หาได้ยากยิ่ง คิดเล่นๆ ว่า หลังจากบาดแผลหายดีจะพาพวกนางกลับไป หวาหวั่นซีที่เบื้องหน้า ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
“จินเฟยเหยา ข้ามีเรื่องคิดจะพูดคุยกับเจ้า” เขามองจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยเรียบๆ เห็นในที่สุดเขาก็ไม่ได้เผยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจอมปลอมล่อลวงสตรี
จินเฟยเหยาจึงเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องอะไร”
เหรินเซวียนจือไม่เอ่ยวาจา เพียงมองหวาหวั่นซีทางด้านข้าง ความหมายคือคิดจะพูดคุยกับนางตามลำพัง แต่จินเฟยเหยากลับเอ่ยตรงๆ ว่า “ไม่ต้องหลบเลี่ยงนาง นางสามารถรู้เรื่องของข้าได้ทุกอย่าง เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เหรินเซวียนจื่อจึงนั่งลงในศาลาริมน้ำ ครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี เขายังเอ่ยไม่เอ่ยปากก็ได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเบิกบาน “ท่าทางเจ้าจะฟื้นตัวได้ดี ทั้งยังเป็นฝ่ายมาหาข้าที่นี่อีก พวกเรามาคุยธุระกันเถอะ”
“ใครเป็นฝ่ายมาหาเจ้า ข้าแค่มาที่นี่โดยบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็อยู่ด้วย” เหรินเซวียนจือมีโทสะในใจ ทั้งยังไม่ใช่โทสะเล็กน้อย หากมิใช่มีหวาหวั่นซีอยู่ตรงนี้ มีเพียงพวกเขาสองคนก็อาจจะสู้กันไปนานแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงโกรธเคืองข้า แต่พักเรื่องเล็กแบบนี้ไว้ก่อน ข้ามีธุระจะคุยด้วย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างจริงจัง ถึงนางจะจริงจัง ทั้งยังมีท่าทางจริงใจ เหรินเซวียนจือกลับอยากจะด่าคนขึ้นมากะทันหัน อะไรเรียกว่าเรื่องเล็ก ตนเองถูกหยามเกียรติหนักขนาดนั้นถึงกับเป็นเรื่องเล็ก! ถ้าแบบนี้เรียกว่าเรื่องเล็ก เช่นนั้นการดึงพลังของนางก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับนางใช่หรือไม่
จินเฟยเหยาพบว่าตนเองเพิ่งพูดไปประโยคเดียว เหรินเซวียนจือก็มีสีหน้าน่าเกลียดอีก นางมองหวาหวั่นซีอย่างไม่เข้าใจและถ่ายทอดเสียงไปถาม “เจ้าว่าหมอนี่ถูกคนชิงร่างหรือไม่ ทำไมพอเห็นข้าก็อยากฆ่าคน ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง เจ้าเมืองลั่วรื่อที่เจ้าบรรยายมีหน้าตาแบบนั้น เจ้ายังสาดผงกระตุ้นกำหนัดไปกำมือหนึ่ง อีกทั้งหลังจากฟังเจ้าเล่าแล้ว เมืองลั่วรือทั้งหมดถูกทำลาย ผู้บำเพ็ญเซียนถูกสังหารทิ้ง เขาคงดึงพลังเจ้าเมืองนั่นจริงๆ เสียแปดส่วน อับอายจนกลายเป็นโทสะจึงสังหารคนทั้งหมด เจ้าว่าเขาไม่แค้นเจ้าได้หรือ?” หวาหวั่นซีถอนหายใจ ถ่ายทอดเสียงกลับไป
“หา!” จินเฟยเหยามองนางอย่างประหลาดใจ เอ่ยถึงพึมพำ “เป็นเงื่อนไขที่เขาเสนอกับข้าเองชัดๆ ต้องหารให้ข้าช่วยทำให้เขาดึงพลังเจ้าเมืองลั่วรื่อนั่น เจ้าเมืองนั่นหน้าตาอัปลักษณ์ข้าก็ไม่ได้เป็นคนให้กำเนิดเสียหน่อย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย! อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาพูดตลอดว่า เจ้าเมืองคนนั้นเป็นคนงามเลื่องชื่อ ข้ายังนึกว่ารสนิยมของเขาค่อนข้างฮาร์ดคอร์ผิดกับคนธรรมดาเท่านั้น”
……………………………….