คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 409 ข้าคือยอดฝีมือ
หวาหวั่นซีมองจินเฟยเหยาแล้วมองเหรินเซวียนจืออย่างจนใจ บุรุษแบบนี้ก็ถูกย่ำยี นางส่ายศีรษะ ถ่ายทอดเสียงไปว่า “ข้าคิดว่าเจ้าขอโทษจะดีกว่า พวกเจ้าจัดเป็นสี่สัตว์ร้ายเช่นเดียวกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติจะมีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”
“หา” จินเฟยเหยามองนางด้วยสีหน้าไม่ยินยอม “นี่นับเป็นเรื่องอะไรได้ ทำไมสุดท้ายกลายเป็นความผิดของข้าไป ขอโทษก็ขอโทษสิ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย”
ดังนั้นนางจึงนั่งอย่างเกียจคร้านและพูดกับเหรินเซวียนจืออย่างไม่ใส่ใจ “สหายเซียนเหริน ที่แท้เจ้ามีโทสะเพราะเรื่องของเจ้าเมืองลั่วรื่อ เจ้าบอกข้าตรงๆ ว่า ‘ไม่’ เร็วหน่อยก็ได้ ข้าเชื่อฟังคำพูดเจ้าจึงคิดจะส่งเสริมเจ้ามิใช่หรือ สุดท้ายกลับทำดีไม่ได้ดี ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เรารู้จักกัน เรื่องนี้ก็แล้วกันไปเถอะ”
สิ้นเสียง หวาหวั่นซีก็ยื่นมือมาฟาดหลังนางแรงๆ ทีหนึ่ง “ข้าบอกให้ขอโทษ มีท่าทางเหมาะสมหน่อย”
จินเฟยเหยาได้แต่นั่งตัวตรงอย่างจริงจังและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง “สหายเซียนเหริน เรื่องนี้ข้าเข้าใจผิดไป ต้องโทษที่ต่อมาเจ้าไม่ได้บอกกับข้าอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ถือว่าเจ้าได้กินอาหารไม่ถูกรสนิยมก็แล้วกัน”
ยายนี่ไม่ยอมรับว่าตนเองผิด สองตาจ้องมองเหรินเซวียนจืออย่างซื่อตรง ไม่ว่าจะมองอย่างไรเรื่องในตอนนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดและไม่ได้ตั้งใจทำ ทว่าด้วยความที่หวาหวั่นซีคุ้นเคยกับนาง นางรู้ว่าตอนนั้นจินเฟยเหยาต้องจงใจทำแน่ นางเพียงแสร้งทำไร้เดียงสาและแสดงท่าทางครุ่นคิดเพื่อผู้อื่นอย่างจริงใจเท่านั้น
ถ้าเจ้าเมืองลั่วรื่อไม่ได้หน้าตาแบบนั้น เกรงว่านางคงไม่คิดจะขว้างผงกระตุ้นกำหนัด นางต้องจงใจทำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้แสร้งทำเสียเหมือนเป็นคนละเรื่องจริงๆ ไม่รู้ว่าคนแซ่เหรินจะถูกนางหลอกหรือไม่ หวาหวั่นซีมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา คิดจะดูสิว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างไร
“น้อยๆ หน่อย เจ้าต้องจงใจแน่ อย่าแสร้งทำท่าทางซื่อใสไร้เดียงสาและสัตย์ซื่อจริงใจเลย ข้าไม่หลงกลหรอก เจ้านึกว่าสัตว์ร้ายจะหาร่างคนดีเข้าสิงหรือ? อย่าลืมว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ข้าเคร่งขรึมจริงจัง เจ้าจริงใจไร้เดียงสา นั่นเป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลก ยิ่งเจ้าพูดแบบนั้นก็ยิ่งแสดงว่าตอนนั้นเจ้าจงใจ เจ้าฟังเจตนาของข้าเข้าใจ แต่กลับจงใจบิดเบือนความจริงมาจัดการข้า!” เหรินเซวียนจือไม่หวั่นไหวเลยสักนิด ถึงจินเฟยเหยาแสร้งกระพริบดวงตาสดใสเป็นประกายแสร้งทำเป็นใสซื่อ เขามองแวบเดียวก็ดูออก
ได้ยินคำพูดของเขา จินเฟยเหยาจึงแย้มยิ้ม เอ่ยเสียงอ่อนหวาน “สหายเซียนเหรินยอดเยี่ยมจริงๆ เรื่องใดๆ ก็ปิดบังเจ้าไม่ได้เลย”
“อย่ามาทำหน้าทะเล้นใส่ข้า กระบวนท่านี้ใช้กับข้าไม่ได้ผล!” เหรินเซวียนจือส่งเสียงขึ้นจมูก
นางเปลี่ยนจากนั่งตัวตรงเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอย่างเกียจคร้านทันที เอ่ยถามอย่างไร้ความจริงใจ “อย่างนั้นเจ้าคิดจะคลี่คลายอย่างไร สู้กันที่นี่สักยกหรือ? ข้ามีผู้ช่วยขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายนะ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งหายดี ทั้งยังตัวคนเดียว อีกทั้งเจ้าก็เป็นคนฉลาด คาดว่าคงไม่ทำเรื่องแบบนี้ออกมา”
นางเข้าใจดี เหรินเซวียนจือซ่อนตัวอยู่ในสำนักใหญ่มีชื่อเสียงได้นานขนาดนี้ ทั้งยังไม่เคยถูกคนพบเห็นมาก่อน ไม่ได้อาศัยแค่ความโชคดี อีกทั้งเขายังโดดเด่น มีฐานะเป็นเจินเหรินปกติต้องติดต่อกับผู้คน ทั้งยังมีชื่อเสียงดีงาม คนละเรื่องกับการกระทำเยี่ยงปิศาจราคะตอนอยู่โลกภายนอกของเขาโดยสิ้นเชิง คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขา ความประทับใจเดียวที่มีต่อเขาคือเป็นคุณชายเจ้าสำอางแห่งสำนักอันเที่ยงธรรมผู้อ่อนโยนสง่างาม ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเป็นปิศาจราคะ
อีกทั้งคนผู้นี้ยังชั่วร้ายถึงขีดสุด คิดไม่ถึงว่าจะทำความดีโดยช่วยเหลือพวกผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายไปทั่ว เพียงเพื่อยืมมือผู้อื่นไปทำร้ายคนเพิ่มอีกหลายคน คนประเภทนี้ไม่ยอมเผชิญหน้ากับอันตรายโดยตรงหรอก ตอนนี้ค่ายของเผ่าปิศาจอยู่ไม่ไกลนัก เขาคงไม่ลงมือ
“คิดจะคลี่คลายง่ายดายยิ่ง เจ้ามาให้ข้าเสริมพลังครั้งหนึ่งเรื่องนี้ก็แล้วกันไป เจ้าบอกว่าเรื่องเล็กนี่ คาดว่าสำหรับเจ้าแล้วคงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โต” เหรินเซวียนจือหรี่ตามองจินเฟยเหยา ดูว่านางจะตอบอย่างไร
“เจ้าคิดว่านี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีจริงๆ หรือ?” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “สหายเซียนเหริน เจ้าพูดแบบนี้คือโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงตามใจชอบ ข้าไม่มีโทสะเพราะเรื่องแบบนี้หรอก”
นางคลำหาในอก คว้าตานศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผลึกใสออกมากำหนึ่ง ตานศักดิ์สิทธิขนาดเท่าเม็ดมุกร่วงจากซอกนิ้วนางกระจายลงบนพื้น ตานศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผลึกโปร่งใสกลิ้งไปรอบด้าน บางเม็ดกลิ้งไปข้างเท้าเหรินเซวียนจือ เห็นตานศักดิ์สิทธิ์บนพื้น ม่านตาของเหรินเซวียนจือหดเล็กลงในพริบตา
“ถ้าข้าดูไม่ผิด พลังบำเพ็ญเพียรของสหายเซียนเหรินสามารถบรรลุขั้นแปลงจิตได้นานแล้ว คงเนื่องจากตานศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงพอเสียแปดส่วน การผสานเข้ากับวิญญาณจริงจึงไม่ดีนัก มีผลกระทบกับการเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตของเจ้าสินะ หลายปีมานี้เจ้าทำอะไรอยู่ ดูท่าทางคงไม่ได้ตานศักดิ์สิทธิ์อะไรมา ข้าเคยพบคนที่เหมือนกับพวกเราคนหนึ่ง พลังบำเพ็ญเพียรของเขาถึงขั้นว่างเปล่าแล้ว ส่วนเจ้ากลับติดอยู่ที่ขั้นกำเนิดใหม่ ทำให้ข้าผิดหวังมาก” จินเฟยเหยาแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย คบกับพ่อค้าหน้าเลือดมามาก นางจึงเรียนรู้กระบวนท่าจัดการกับคนแต่ละคนด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
สำหรับเผ่าพิภพ ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าอาหาร ดังนั้นจึงสามารถใช้การกินให้อิ่มท้องสยบพวกเขาได้ ทว่าสำหรับเหรินเซวียนจือที่อยู่เบื้องหน้า พลังบำเพ็ญเพียรติดแหงกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าจะบรรลุขั้นแปลงจิต ตานศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเขา
“ว่ามา เจ้าต้องการอะไร” เหรินเซวียนจือหยิบตานศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเม็ดหนึ่ง เป็นเม็ดที่มีขนาดแค่มุกธรรมดา เขาคิดจะฉวยโอกาสในการรบครั้งนี้มาเสาะหาสิ่งของพอดี คิดไม่ถึงว่าในมือจินเฟยเหยาจะมีมากมาย ยายนี่โชคดีจริงๆ
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “ยกเลิกมิตรภาพระหว่างพวกเราสองคน เจ้าช่วยข้าสร้างเตาเพลิงพิภพห้าเตา ข้ายังต้องการเมล็ดพืชต้นไม้ให้ผลธรรมดาเล็กน้อย”
“ข้อเรียกร้องต่ำขนาดนี้ ท่าทางเจ้าจะมีเจ้าสิ่งนี้มากมาย” เหรินเซวียนจือเล่นตานศักดิ์สิทธิ์ในมือ อารมณ์สงบลงแล้ว
“เป็นคนต้องใจกว้าง ทุกคนคุ้นเคยกันดี จะคิดร้ายกับเจ้าได้อย่างไร ข้าคงให้เจ้าช่วยแนะนำสำนักดีๆ สักแห่งให้ข้าอยู่ไม่ได้สินะ ถ้าเป็นไปได้ ข้าหวังว่าจะเริ่มงานเร็วหน่อย แร่ที่ขุดออกมาจะไม่มีที่วางแล้ว” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ
เหรินเซวียนจือมองนางแวบหนึ่ง คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนด้วย “แค่เตาเพลิงพิภพห้าเตา เจ้านำเขาสองข้างออกมาหลอกพวกเผ่าพิภพมาทำงานให้เจ้า รู้แต่แรกข้าน่าจะกางปีกออกมาก็สามารถปะปนอยู่ในหมู่เผ่าปิศาจและทำลายค่ายใหญ่ของพวกเขาโดยตรงได้”
“ใครจะรู้ว่าเผ่าปิศาจมีเผ่าพันธุ์ที่มีปีกยาวหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเผยหูพยัคฆ์ของเจ้าออกมาอาจจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนเป็นน่ารัก” จินเฟยเหยาหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ หยอกล้อเขาตรงๆ
“เพลิงพิภพอยู่ที่ใด พาข้าไปเดี๋ยวนี้เลย” เหรินเซวียนจือไม่คิดจะพูดจามากความกับนาง ตอนนั้นตนเองบ้าไปจริงๆ ถึงคิดจะร่วมมือกับสัตว์ร้าย
“ที่แท้เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีน้ำใจเร่าร้อน ไป ข้าจะพาเจ้าไป” จินเฟยเหยาลุกขึ้น พาเหรินเซวียนจือไปยังสถานที่ซึ่งขุดเพลิงพิภพ
เหรินเซวียนจือกลอกตาใส่นาง หลังจากลุกขึ้นก็มองหวาหวั่นซี ระหว่างนั้นหวาหวั่นซีไม่ได้พูดอะไรเลยสักประโยค นั่งมองพวกเขาอยู่เงียบๆ อยู่แบบนั้น เขารู้แค่พวกนางต้องถ่ายทอดเสียงหากันแน่ แต่พูดคุยกันเรื่องอะไรไม่กระจ่างชัด ตั้งใจคิดจะพูดกับหวาหวั่นซีสักประโยค แต่กลับถูกสายตากีดกันคนไว้ห่างพันหลี่ของนางไล่กลับไป
วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล
เหรินเซวียนจือจึงหมุนตัวจากไป ไปดูเพลิงพิภพกับจินเฟยเหยา เขายืนอยู่ข้างหลุมเพลิงพิภพกว้างห้าจั้ง อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ยายโง่ เส้นทางเพลิงพิภพกว้างแค่จั้งเดียวก็พอ เจ้าทำเสียใหญ่ขนาดนี้ คิดจะติดตั้งเตาเพลิงพิภพขนาดใหญ่เพียงใด!”
เข้าใจผิดหรือ? จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย “เตาพิภพเตาหนึ่งที่เจ้าว่ามีขนาดใหญ่เพียงใด? ไหนบอกว่าในสำนักมากมายต่างมีเตาเพลิงพิภพหลายสิบเตา ให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณใช้สอยโดยเฉพาะ แค่หนึ่งจั้งจะเพียงพอกับเตามากมายขนาดนั้นหรือ?”
“แน่นอน นี่คือเพลิงพิภพ มีได้ทุกเมื่อและมีให้ใช้ไม่หมดสิ้น กว้างเพียงหนึ่งจั้งก็สามารถรองรับห้องหลอมอาวุธได้ยี่สิบห้อง เจ้าขุดใหญ่ขนาดนี้ คิดจะสร้างห้องหลอมอาวุธมากเพียงใด!” เหรินเซวียนจือมองนาง คนผู้นี้ไม่เคยใช้ห้องหลอมอาวุธเลยสินะ
ห้องหลอมอาวุธที่จินเฟยเหยาเคยใช้เพียงครั้งเดียวอยู่ในเมืองลั่วเซียน เห็นเตาที่อยู่กลางห้องหลอมอาวุธก็นับว่าใหญ่เอาการจึงคิดจะทำอันใหญ่หน่อย ดังนั้นจึงให้พวกเขาขุดหลุมเพลิงพิภพกว้างห้าจั้ง นางครุ่นคิด กะประมาณแล้วเอ่ยถามว่า “ทำให้เรียบง่ายหน่อย สร้างเตาขนาดใหญ่บนปากหลุมนี้โดยตรงซึ่งสามารถรองรับคนร้อยคนหลอมอาวุธได้ในเวลาเดียวกัน แบบนี้จะได้ไม่สิ้นเปลือง”
พอเหรินเซวียนจือได้ยินก็ร้องตะโกน “เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น นี่จะสร้างอย่างไร เจ้าลองพูดมาให้ฟังหน่อย”
จินเฟยเหยาลูบใบหน้าแล้วทำท่าทำทาง “สร้างให้มีขนาดใหญ่แล้วกดเพลิงไว้ภายใน จากนั้นด้านข้างก็สร้างเตาหลอมเล็กๆ หลายวง ไม่ต้องสร้างห้อง อยู่ในที่โล่งก็พอ ทุกคนล้อมเตาหลอมสร้างอาวุธก็ได้ พลังไฟแรงแบบนี้ จำนวนคนที่ใช้ได้ก็ยิ่งมาก เจ้าว่าแบบนี้ใช้ได้หรือไม่”
“พวกเรามาเจรจาค่าตานศักดิ์สิทธิ์ก่อน” ก่อนหน้านี้บอกว่าเตาพิภพห้าเตา เหรินเซวียนจือยังนึกว่าเรื่องนี้ไม่นับเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้พอเห็น คงไม่ได้แล้ว ไม่เคยเห็นการสร้างเตาเพลิงพิภพแบบนี้มาก่อน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังต้องคิดว่าจะสร้างอย่างไรและเมื่อใดจะสร้างเสร็จ
จินเฟยเหยายิ้มแย้ม “เจ้าต้องการมากเพียงใด สิบเม็ด?”
“เจ้าไล่ขอทานหรือ สิ่งที่ยุ่งยากขนาดนี้ เจ้านึกว่าสุ่มจับตัวเผ่ามนุษย์มาคนหนึ่งแล้วพวกเขาจะช่วยเจ้าสร้าง?” เหรินเซวียนจือส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา มองนางแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน
“เจ้าร้ายกาจขนาดนั้นเชียว?” จินเฟยเหยากระพริบตา เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ฮึ” เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างช้าๆ “เจ้าไม่ไปสอบถามเสียบ้าง สำนักหมิงเยวี่ยเราหลอมอาวุธได้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกวิญญาณซั่งเยี่ย ข้าซั่นอวี่เจินเหรินยิ่งเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง เจ้าหาได้ถูกคนแล้วจริงๆ ผู้อื่นมาคงสร้างสิ่งที่เจ้าต้องการให้ไม่ได้”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ?” จินเฟยเหยาไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าหมอนี่พูดจาเหลวไหลไร้สาระเพื่อขึ้นค่าตัวหรือไม่ นางไม่เคยไปที่โลกวิญญาณซั่งเยี่ย ไม่ทราบกระจ่างว่าสำนักหมิงเยวี่ยหลอมอาวุธได้ยอดเยี่ยมเพียงใด
เหรินเซวียนจือคร้านจะอธิบายกับนางให้มากความ ถ้าในมือจินเฟยเหยามีตานศักดิ์สิทธิ์มากมาย แสดงว่าในโลกวิญญาณเหล่านี้ ต้องมีสถานที่ใดมีทายาทสัตว์เทพจำนวนมากแน่ แลกเปลี่ยนกับนางก็แค่ประหยัดเวลาไปหาเองเท่านั้น ถ้าไม่รับปาก ตนเองไปหาเอาเองก็ได้
“เจ้าต้องการมากเพียงใด?” จินเฟยเหยาเห็นเหรินเซวียนจือไม่ยอมพูดมาก ท่าทางถ้าเจรจาไม่สำเร็จเจ้าหมอนี่คงคิดจะไปหาเอง ทายาทสัตว์เทพไม่ได้มีแต่ในทะเล เป็นไปได้ว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว ถึงอย่างไรก็ได้มาไม่น้อย แลกเปลี่ยนกับเขาหน่อยก็ไม่เป็นไร
“ห้าร้อยเม็ด” เหรินเซวียนจือเอ่ยปากโดยไม่สนใจว่านางมีเท่าใด ที่จริงก่อนเขาเจอจินเฟยเหยาเคยหาสัตว์เทพพบหลายตัว แต่สุดท้ายกลับถูกปริมาณน้อยนิดทำให้พลังบำเพ็ญเพียรติดแหงก ไม่ต้องห้าร้อยเม็ด อาจจะไม่ถึงห้าสิบเม็ด เขาก็สามารถผสานร่างเข้ากับวิญญาณจริงได้สำเร็จ แค่ไปปิดด่านกักตนก็สามารถบรรลุขั้นแปลงจิตได้
พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็ไม่เอาแล้ว ถึงตนเองมีตานศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ต่อไปไม่แน่ว่ายังมีประโยชน์อย่างอื่น หากมิใช่เพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร แค่คิดจะผสานร่างกับวิญญาณจริงก็ไม่ต้องใช้มากขนาดนี้
ทั้งสองคนเริ่มต่อรองราคากัน เหรินเซวียนจือรังเกียจว่าตานศักดิ์สิทธิ์มีขนาดเล็กเกินและคุณภาพไม่สูง ส่วนจินเฟยเหยารังเกียจว่าเขาเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ไม่ดูบ้างว่าอีกฝ่ายมีหรือไม่มีสินค้า ก็เอ่ยปากต้องการสิ่งของมั่วซั่ว
สุดท้าย จินเฟยเหยาพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ นางได้ตานศักดิ์สิทธิ์เม็ดหนึ่งที่โลกวิญญาณเหอเซี่ย เนื่องจากเจ้านั่นถือกำเนิดในโลกวิญญาณเหอเซี่ย ดังนั้นนางจึงไม่กล้ากินสิ่งนั้นมาตลอด เกรงว่าด้านในจะมีสิ่งมีพิษอะไร ผู้ใดจะรู้ว่าอาหารที่ทายาทสัตว์เทพกินในยามปกติจะปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นนางจึงนำตานศักดิ์สิทธิ์เม็ดนั้นออกมา ขนาดไม่เล็ก เทียบเท่าตานศักดิ์สิทธิ์ขนาดเล็กหนึ่งร้อยเม็ด จึงนับว่าจัดการเหรินเซวียนจือได้
“กินให้ตายไปเลย เอาละ ต้องการวัตถุดิบอะไรก็ไปหาเอาในคลังทางนั้น เวลานี้ไม่มีคนขั้นสร้างฐานช่วยหลอมวัตถุดิบให้เจ้า เชิญตามสบาย” จินเฟยเหยาชี้นิ้วไปยังบรรดาถ้ำที่วางแร่เหล่านั้นแล้วคิดจะสะบัดก้นจากไป กลับถูกเหรินเซวียนจือดึงไว้
“ข้าทำคนเดียวไม่ได้ เจ้าไปหาคนมาช่วย เรียกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นมา”
จินเฟยเหยาตะลึงงัน คนที่เจ้าหมอนี่เอ่ยถึงคงมิใช่หวาหวั่นซีหรอกนะ หรือคิดจะดึงพลังหวาหวั่นซีจริงๆ?
เห็นนางไม่ส่งเสียง เหรินเซวียนจือนึกว่านางไม่ตกลง จึงอธิบายว่า “เจ้ายังมีอะไรไม่วางใจอีก นางมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย ข้าจะดึงพลังนางได้หรือ เรื่องที่ข้าคิดจะถามเจ้าเมื่อครู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนาง นางเป็นคนของโลกวิญญาณใด?”
“ข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าหมายตานาง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเสียใจ” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ ถ้าเหรินเซวียนจือคิดจะดึงพลังนาง สุดท้ายกลับพบว่าหวาหวั่นซีไม่มีความสามารถนั้น จะเอาแค้นเก่ามารวมแค้นใหม่หรือไม่
เหรินเซวียนจือมองนางอย่างสงบนิ่ง “เจ้าคิดมากเกินไป ข้าแค่ต้องการคนมาช่วยหลอมวัตถุดิบ”
เห็นเขายืนกราน จินเฟยเหยาได้แต่รับปาก “ก็ได้ ข้าจะให้นางมาช่วย ต่อไปไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าห้ามมาโทษข้านะ”
“ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ข้าจะขอรับไว้เพียงผู้เดียว ไม่โทษเจ้าหรอก” เหรินเซวียนจือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม กลับคืนสู่ความอ่อนโยนสง่างามในยามปกติ ดูท่าจะเตรียมพร้อมทุกเมื่อแล้ว
หลังจินเฟยเหยาจากไปก็หาหวาหวั่นซีพบและให้นางไปช่วยเหรินเซวียนจือหลอมวัตถุดิบ จะได้สร้างเตาเพลิงพิภพให้เสร็จเร็วหน่อย หวาหวั่นซีไม่มีบุญคุณความแค้นกับเหรินเซวียนจือ ดังนั้นจึงตอบรับด้วยความยินดี เพียงแต่พั่งจื่อออกไปล่าสัตว์ทะเลคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงต้องรับงานของนางแทนและเริ่มอาชีพใช้แรงงานอีกครั้ง
หวังว่าเตาเพลิงพิภพจะสร้างเสร็จในเร็ววัน หวาหวั่นซีจะได้กลับมาทำงานของตนเองโดยเร็ว
……………………………………..