คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 410 บำเพ็ญคู่
เหรินเซวียนจือทำงานอย่างแข็งขันจริงๆ ใช้เวลาหนึ่งปีกว่า เตาเพลิงพิภพขนาดยักษ์ห้าเตาแขวนอยู่บนหลุมเพลิงพิภพแล้ว ตรงกลางถูกกดควบคุมไว้ให้เตามีเพลิงพิภพออกมาปริมาณน้อย ร รอบด้านหลอมสร้างแท่นเล็กๆ มากมาย ไม่รู้ว่าเหรินเซวียนจือจงใจหรือไม่ แท่นที่หลอมสร้างแต่ละอันจึงติดกันจนเห็นได้ชัดว่าเบียดเสียด
เขาจงใจทำแบบนี้ บอกว่าต้องการจำนวนมากนี่นา เช่นนั้นข้าก็จะทำเพิ่มสักหลายอัน ดูสิว่าจะเบียดเสียดจนมีสภาพเช่นไร
ขณะจินเฟยเหยามาตรวจสอบกลับไม่คัดค้านเลยสักนิด ตรงกันข้ามเห็นได้ชัดว่าพอใจอย่างยิ่ง “พี่เหริน ท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ ถึงกับทำตามขนาดตัวของเผ่าพิภพพวกนี้ แท่นหลอมสร้า างแคบขนาดนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่าอื่นๆ มาใช้ก็รู้สึกไม่สะดวก ถือว่าเป็นวิธีป้องกันอย่างหนึ่ง”
เหรินเซวียนจือกัดฟัน เลินเล่อเกินไป เนื่องจากคิดจะจัดการนาง จึงลืมไปว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จินเฟยเหยาต้องใช้งาน ทว่าเป็นสิ่งที่เผ่าพิภพซึ่งมีขนาดตัวพอเหมาะพอดีพวกนั้นใช้งาน
“พี่เหริน ท่านคิดจะกลับไปเมื่อใด เมล็ดพืชที่ท่านบอกยังไม่มีเลยนะ” จินเฟยเหยาลองดึงหูจับขนาดเท่าศีรษะหนูบนแท่นหลอมสร้างก็จะมีเพลิงพิภพขุมหนึ่งพ่นออกมา ใช้สำหรับถลุง แร่ได้พอดี
“สร้างเตาเพลิงพิภพเสร็จแล้ว ข้าไปได้ทุกเมื่อ เจ้าจ่ายตานศักดิ์สิทธิ์มาครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าจะกลับไปที่ตั้งค่ายของเผ่ามารเผ่ามนุษย์ ข้าคิดจะพาหวาหวั่นซีกลับไปด้วย” เหรินเซวียน นจือเอ่ย
“จะพานางกลับไปทำไม!” จินเฟยเหยาเบิกตา ตั้งใจมองเขา คงไม่ได้คิดจะลักพาตัวหวาหวั่นซีหนีไปหรอกนะ
เหรินเซวียนจือเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พานางกลับไปย่อมต้องคิดจะแลกเมล็ดพืชพวกนั้นมามากๆ ในนาโคลนทะเลของเจ้ามีสิ่งของไม่มากนัก ข้ากลับไปยังต้องไปอธิบายเรื่องที่หายสาบสูญ ญกับในสำนัก เรื่องแลกเปลี่ยนเมล็ดพืชย่อมต้องหาคนไปทำ ไม่เช่นนั้นบุคคลมีชื่อเสียงอย่างข้าไปนั่งบนแผงเล็กๆ จะสะดุดตาถึงเพียงใด”
“น้อยๆ หน่อย นางหน้าตาแบบนั้น ยังมีเสื้อผ้าชุดนั้น จะให้ไปนั่งเก็บเมล็ดพืชธรรมดาบนแผงเล็กๆ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่ขายเมล็ดพืชพวกนั้นหรือ? แค่เห็นนางก็เกรงว่าจะ ะหวาดกลัวแล้ว อีกทั้งไม่เกินครึ่งชั่วยาม ต้องมีสำนักมากมายมาเชิญนางเข้าสำนักแน่ ล่อผึ้งล่อผีเสื้อ[1]และสะดุดตายิ่งกว่าเจ้าอีก” จินเฟยเหยาชี้หวาหวั่นซีที่ยืนอยู่ด้านข้างแล ละเอ่ยอย่างเดือดดาล
เวลาหนึ่งปีกว่ามานี้ เหรินเซวียนจือรู้แล้ว ที่แท้เสี่ยวหวั่น เนี่ยนซี ยังมีฮูหยินหวา ที่จริงเป็นคนเดียวกับหวาหวั่นซี แค่นิสัยแตกต่างกันทว่ามีร่างกายเดียว เขาที่รู้ความจร ริง มีเพียงความคิดเดียว ต้องการหวาหวั่นซีเป็นคู่บำเพ็ญของตนเอง
เขาคิดจะดูว่า สตรีงามเลิศล้ำคนหนึ่ง บางครั้งงดงามเย็นชา บางครั้งมีเสน่ห์น่ารัก บางครั้งก็อ่อนโยนน่าสนิทสนม ทั้งยังมีนิสัยของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ ของล้ำค่าแบบนี้จะไปหาที่ใดได ด้ ถึงจุดตะเกียงส่องก็ยังหาไม่พบ[2]
เวลานี้เหรินเซวียนจือไม่รู้สึกว่าตนเองหลงรักหวาหวั่นซี แค่รู้สึกสนใจนาง คิดจะให้นางอยู่กับตนเอง หลังจากรู้ว่าทั้งสี่คนเป็นคนเดียวกัน เรื่องที่เขารู้สึกแปลกใจมาตลอดที่พ พวกหวาหวั่นซีไม่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของสตรีก็สามารถอธิบายได้ เนื่องจากไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีวิญญาณสี่ดวง ดังนั้นแม้แต่กลิ่นบนร่างก็แตกต่างออกไป
เหรินเซวียนจือมองจินเฟยเหยาแวบหนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาไปบนร่างของหวาหวั่นซี ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสนิทสนมเป็นพิเศษ “เสี่ยวซี เจ้าอยากไปดูที่ค่ายของเผ่ามนุษย์หรือไม่ ที่นั่นมีเมืองหลักของโลกวิญญาณจ้งถู่ ใหญ่โตอย่างยิ่ง สร้างบ้านบนผิวดิน อึดอัดอยู่ใต้ดินทั้งวัน ข้าจะพาเจ้าออกไปผ่อนคลาย”
ไม่รอให้หวาหวั่นซีเอ่ยตอบ จินเฟยเหยาก็ส่งเสียงขึ้นจมูก “มีอะไรน่าดู ก็เป็นพวกหญ้าแห้งเหี่ยวนั่นแหละ”
“เจ้าอย่ามารบกวนพวกเราได้หรือไม่ เจ้าคงไม่ได้หลงรักข้าเข้าหรอกนะ ดังนั้นจึงขัดขวางพวกเราสองคนมาตลอด ไม่คิดจะให้ข้ากับเสี่ยวซีอยู่ด้วยกัน” เหรินเซวียนจือเหล่มองจินเฟยเหยา ใบหน้ามีรอยยิ้มแปลกประหลาด
“…ข้าทำเพื่อเจ้านะตกลงไหม” ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก หากมิใช่กลัวว่าต่อไปเขาจะอับอายจนกลายเป็นโทสะ นางก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ในเมื่อไ ไม่รับน้ำใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้วกัน
สุดท้าย ครุ่นคิดไปมา กลายเป็นสามคนเดินทางไปค่ายเผ่ามนุษย์ด้วยกัน
จินเฟยเหยามอบเนื้อสัตว์ที่พอกินหนึ่งเดือนให้อี้ถู่ บอกเขาว่าอย่ากินอย่างเดียว ให้บุตรชายขั้นหลอมรวมของเขาออกไปล่าสัตว์ในทะเลด้วย ถึงจับสัตว์ทะเลไม่ได้ เก็บหอยมาก็สา ามารถประทังไปได้หลายวัน เป็นขั้นหลอมรวมแล้วอย่าทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างเหมือนเด็กน้อยที่ยังไม่หย่านมแม่
นาโคลนทะเลสามารถหยุดไว้ก่อนชั่วคราว ให้พวกขั้นฝึกปราณเริ่มถลุงแร่ได้ อย่างอื่นเตรียมพร้อมหมดแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร หลังสั่งความเสร็จ พวกเขาสามคนก็เหาะไปยังสถานที่ซ ซึ่งเผ่ามนุษย์ยึดครอง
นอกจากประตูที่สร้างขึ้นสูงให้จินเฟยเหยาเดินโดยเฉพาะแล้ว เนื่องจากอุโมงค์ใต้ดินส่วนอื่นๆ ทั้งหมดมีความสูงแค่ครึ่งตัวคนให้เผ่าพิภพผ่านได้พอดีเท่านั้น พื้นที่เผ่ามนุษย์ที่พว วกเขาต้องการไป จึงไม่สามารถไปตามอุโมงค์เหล่านี้ได้ นอกจากเตี้ยแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือไม่รู้จักเส้นทาง ถึงรู้ทิศทางแต่ในอุโมงค์ใต้ดินราวกับเขาวงกต ถ้าเข้าไปแล้วไม่รู้ว่าต้องเดิน นจนถึงเมื่อใด
ดังนั้นคนทั้งสามจึงเดินตามอุโมงค์ใต้ดินมาจนถึงในทะเล จากนั้นโผล่ออกจากทะเล เหลียวซ้ายแลขวาพบว่ารอบด้านไม่มีเผ่าปิศาจ จึงนำของวิเศษบินได้เหาะไปยังพื้นที่เผ่ามนุษย์
หวาหวั่นซีไม่มีของวิเศษ ไม่ใช่จินเฟยเหยาไม่มอบให้ ทว่านางไม่ถูกใจ ถึงอย่างไรไปที่ใดก็นั่งพรมบินของจินเฟยเหยา ตอนนี้นางมีพรมบินนั่งจึงไม่จำเป็นต้องหาของวิเศษให้ตัวเอง
เห็นหวาหวั่นซีนั่งพรมบิน เหรินเซวียนจือมองพวกนางสองคนแล้วจึงไม่นำของวิเศษบินได้ออกมาและเบียดไปนั่งบนพรมบินโดยไม่สนใจสายตาเหยียดหยามของจินเฟยเหยา เพื่อจะได้นั่งกับห หวาหวั่นซีเขาจึงอดทนแม้ต้องนั่งกับจินเฟยเหยาด้วย
โลกวิญญาณจ้งถู่สามวันมีการต่อสู้ขนาดย่อย ห้าวันมีการต่อสู้ขนาดใหญ่ บนพื้นดินสีแดงมีหลุมใหญ่น้อยที่เกิดจากการโจมตีด้วยเวทมนตร์อยู่ทั่วไป บางหลุมกว้างถึงสองสามหลี่เต็มๆ ระดับ บความลึกก็ไม่น้อย ในหลุมยังมองเห็นช่องอุโมงค์ใต้ดินอันหนาแน่นเผยตัวออกมาจำนวนมากราวกับรังผึ้ง
จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองโชคดีที่สถานที่สร้างเมืองซั่นเหรินอยู่ใกล้ริมทะเล มีแค่การสู้รบเล็กน้อยเกิดขึ้น ไม่มีการต่อสู้ใหญ่โตแบบนี้ ถ้าย้ายเข้าไปด้านในอีกหน่อย เกรงว่าคงมี สักวันที่ทั้งถ้ำถูกคนพวกนี้โจมตีจนพังถล่มลงมา
ที่จริงนางไม่ได้โชคดี ทว่าก่อนที่นางมา ที่นี่สู้กันมาสามสี่ปีแล้ว ถึงเผ่าพิภพโง่เขลาก็รู้ว่าสถานที่ใดสามารถหลีกเลี่ยงสนามรบหลักได้ ทั้งหมดจึงย้ายมาอยู่สถานที่ซึ่งห่างไกลจากกา ารสู้รบ เผ่าพิภพไม่กลัวถูกดินกลบฝัง ทว่ากลัวถูกการโจมตีอันแข็งแกร่งกดทับตาย
“เอ๋ มีแร่จำนวนมากถูกการโจมตีพวกนี้หลอมเป็นก้อน การสู้รบรุนแรงอย่างยิ่งสินะ” เกรงว่าจะถูกเผ่ามนุษย์เข้าใจผิด จินเฟยเหยาบนพรมบินจึงเก็บเขา เวลานี้เห็นในหลุมขนาดใหญ่บนผ ผิวดินเหล่านี้มีก้อนแร่สังกัดธาตุทองส่องประกายแวววาวจำนวนมากก็จุปากเอ่ยวาจา
เหรินเซวียนจือขมวดคิ้ว ท่าทางตนเองสลบไปครึ่งปีและสร้างเตาเพลิงพิภพอยู่ที่นี่อีกหนึ่งปี การสู้รบยิ่งดุเดือดมากขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าจะกังวลมาก ไม่จริงน่า เจ้าอย่าขู่ข้านะ ข้าทนรับการที่เจ้าเปลี่ยนเป็นคนดีไม่ไหว” จินเฟยเหยาเห็นเขาขมวดคิ้ว มีท่าทางห่วงใยประเทศชาติและราษฎร จึงอดเอ่ยด้วยสีหน้า าหวาดกลัวไม่ได้
“เจ้าอย่าท้าทายความอดทนของข้าครั้งแล้วครั้งเล่าจะได้หรือไม่ ข้าจำได้ว่าตอนเพิ่งพบเจ้า เจ้าไม่ได้น่าชังขนาดนี้นะ ตอนนี้ทำไมยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด!” เหรินเซวียนจือเอ่ย
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “ความหงุดหงิดของเจ้าเกิดจากใจ ขอเพียงในใจไร้ความหงุดหงิด ย่อมมองเห็นข้าเป็นเช่นในอดีต ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นเจ้ายืนอยู่บนหลังคา ท่าทางสะอาดบริสุทธิ์แ และสง่างาม ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงได้ว้าวุ่นขนาดนี้”
“ตอนนี้พอเห็นเจ้าข้าก็มีโทสะแน่นอก สะอาดบริสุทธิ์ไม่ไหว!” เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างเย็นชา
“อย่าสิ” จินเฟยเหยาเอียงศีรษะยิ้มให้เขา “เจ้าต้องสงบนิ่งหน่อย ตอนนั้นคืนเดียวเจ้านอนกับสตรียี่สิบนางยังรักษาอารมณ์เช่นนี้ไว้ได้ ตอนนี้จะว้าวุ่นไม่ได้”
ได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยถึงสตรียี่สิบนาง สีหน้าเหรินเซวียนจือยิ่งเคร่งเครียด มองหวาหวั่นซีทันที
“หวั่นซี เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าหมอนี่ร้ายกาจมาก ตอนกลางคืนสตรียี่สิบนางจะถูกเขาดึงพลังหยินมาเสริมพลังหยาง” จินเฟยเหยาเขยิบเข้าไปข้างๆ หวาหวั่นซี ใช้ข้อศอกกระทุ้งนางแล้วเอ่ยย ยิ้มๆ “เจ้ารู้สึกว่าพี่เหรินเป็นอย่างไร ยอดเยี่ยมมากสินะ”
เหรินเซวียนจือกัดฟันกรอดๆ ยายสารเลวนี่จงใจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหวาหวั่นซี คิดจะทำลายชื่อเสียงอันดีงามของข้า เขาแค้นจินเฟยเหยาอยู่ที่นี่ แต่ตนเองไม่คิดดูบ้างว่าเรื่องทั้งห หมดเป็นความจริง เขามีชื่อเสียงดีงามที่ไหน
เห็นจินเฟยเหยาวาดหวังให้นางพูดอะไรที่ทำให้เหรินเซวียนจือมีโทสะตายออกมา หวาหวั่นซีจึงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ดียิ่ง ช่างใส่ใจ”
“…” จินเฟยเหยาอ้าปากค้างมีสีหน้าตกใจ หวาหวั่นซีกำลังพูดอะไรอยู่!
นางพูดติดอ่าง “เขาดึงพลังหยินเสริมพลังหยาง คืนหนึ่งดึงถึงยี่สิบคนนะ อีกทั้งข้ายังเคยเห็นเขาดูดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานคนหนึ่งจนแห้งกับตา ทั้งยังอยู่ในที่โล่งแ แจ้งด้วย เจ้ารู้สึกว่าแบบนี้ถือว่าดีแล้วหรือ?”
“ก็แค่ดึงหยินเสริมหยาง เป็นเพียงวิชาในการฝึกบำเพ็ญที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น มีอะไรน่าตกใจ” หวาหวั่นซีมองจินเฟยเหยาอย่างสงสัย ทำไมวันนี้ยายนี่ถึงได้ตกอกตกใจกับเรื่องเล็กๆ
เหรินเซวียนจือคิดไม่ถึงว่าหวาหวั่นซีที่ไม่พูดกับเขามาตลอด แค่ทำงานของตนเองเงียบๆ พูดอะไรกับนางนางก็แค่ใช้คำว่าอืมมาตอบจะเอ่ยคำพูดนี้ออกมา หรือว่านางมีใจให้ตนเอง เรื่อ องนี้มีหวังแล้ว
แต่คาดไม่ถึงว่าหวาหวั่นซีจะเอ่ยต่อ “ตอนนั้นข้าก็ดึงพลังหยางเสริมพลังหยิน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเคล็ดวิชาและการกระทำของสหายเซียนเหรินมีอะไรไม่ถูกต้อง แต่คิดไม่ถึงว่าคืนหน นึ่งสหายเซียนเหรินจะดึงพลังได้แค่ยี่สิบคน เคล็ดวิชามีปัญหาหรือไม่?”
“…!” นอกจากสะท้านสะเทือนแล้ว เหรินเซวียนจือก็พูดอะไรไม่ออก ส่วนหวาหวั่นซียังมีสีหน้าคิดจะถกเรื่องเคล็ดวิชากับเขา จึงเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “สหายเซียนเหริน ถ้าทำได้มาประลอ องฝีมือกันดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจเพิ่มประสิทธิภาพการดึงพลังหยินของเจ้าเป็นคืนหนึ่งห้าสิบคน”
“วันหลังเถอะ วันหลังค่อยว่ากัน…” ยามนี้เหรินเซวียนจือมีความรู้สึกหลากหลายสับสนปนเป นี่มันเรื่องอะไรกัน! อีกฝ่ายถึงกับฝึกเคล็ดวิชาดึงพลังหยางเสริมพลังหยิน เห็นท่าทางจร ริงจังของนาง ไม่เหมือนกำลังล้อข้าเล่น
จินเฟยเหยาก็ตกใจไม่เบา หวนนึกอย่างละเอียด ตอนอยู่ที่คฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็ไม่เคยเห็นนางดึงพลัง ไม่ถูกสิ ตอนนั้นสู้กันจนกลายเป็นแบบนั้น ใครจะมีเวลาว่างมาดึงพลัง
“เจ้าพูดจริงหรือ” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างตะลึงงัน
ส่วนหวาหวั่นซีกลับพยักหน้าและยิ้มแย้ม “เป็นความจริงแน่นอน ดังนั้นข้ากับสหายเซียนเหรินพอพบพานก็เหมือนเจอสหายเก่า คนที่ฝึกเคล็ดวิชาดึงพลังก็ไม่มีใครดีไปกว่าใครหรอก จริ งไหม”
ประโยคว่าจริงไหม จินเฟยเหยาไม่รู้ว่านางพูดกับตนเองหรือพูดกับเหรินเซวียนจือ คิดไม่ถึงว่าหวาหวั่นซีจะฝึกเคล็ดวิชาแบบนี้ นางเกิดความคิดจะสร้างส่วนที่หวาหวั่นซีขาดหายไปขึ นมาทันที ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะบรรลุขั้นแปลงจิตได้
……………………………………
[1] ล่อผึ้งล่อผีเสื้อ หมายถึง ดึงดูดเพศตรงข้าม
[2] ถึงจุดตะเกียงส่องก็ยังหาไม่พบ หมายถึง หาได้ยาก ต้องทะนุถนอมไว้