คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 411 อา!
ในที่สุดก็พูดออกมาให้เข้าใจ หวาหวั่นซีนับว่ามีน้ำใจต่อเหรินเซวียนจือไม่น้อย แต่กลับคิดจะคุยเกี่ยวกับเรื่องการดึงพลัง ในที่สุดนางก็ลากเหรินเซวียนจือมาถกปัญหาเรื่องเคล็ดวิ ชาอย่างละเอียด ทั้งยังถามรายละเอียดไปไม่น้อย ทำให้เหรินเซวียนจือกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ใช่ เขาสามารถดึงพลังในที่โล่งแจ้งกลางวันแสกๆ และอาจจะดึงพลังได้ยี่สิบคนโดยที่หน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นรัว จากนั้นไปแสร้งทำเป็นสง่างามที่อื่น สำหรับคนเหล่านั้นเขาคิดว่าไม่เป็นไ ไร แต่ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาจึงไม่คิดจะถกเรื่องเหล่านี้กับหวาหวั่นซี
ทว่าหวาหวั่นซีกลับชื่นชอบอย่างยิ่ง และมักจะพูดคุยเรื่องนี้กับเขาบ่อยๆ เห็นได้ชัดว่ากระตือรือร้นเป็นพิเศษ ถามจนชัดเจนแจ่มแจ้ง ท่าทางนางจะหาคนพูดจาภาษาเดียวกันเจอแล้วจึงพูดคุย อย่างเบิกบานใจ
จินเฟยเหยานั่งอยู่ข้างๆ คนเดียว มองพวกเขาสองคนพูดคุยในสิ่งที่นางไม่มีประสบการณ์อย่างโง่งม แม้แต่พั่งจื่อก็เบียดเข้ามาแสดงความเห็นอย่างตื่นเต้นเป็นบางครั้ง น่าเสียดายที่จิน เฟยเหยาฟังคำพูดของมันเข้าใจคนเดียว คิดไม่ถึงว่าจะถูกเบียดออกมา อีกทั้งเนื้อหาที่พูดคุยนางยังสอดปากไม่ได้สักนิด นางได้แต่ถลึงตาใส่พวกเขาอย่างดุร้าย ทว่าไม่มีอะไรจะพูด
เหรินเซวียนจือนั่งเม้มปากอยู่บนพรมบินอย่างเรียบร้อยราวกับสาวน้อยขี้อาย หวาหวั่นซีถามอะไร เขาก็ส่งเสียงอืม บางครั้งพยักหน้า สีหน้าของเขาแลดูกระอักกระอ่วนและมีความสุขนิดๆ ทำ ำให้คนไม่เข้าใจว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ จินเฟยเหยาเห็นท่าทางของเขาก็รู้สึกว่าน่าขำ ปิศาจราคะถึงกับตกเป็นเบี้ยล่าง เรียบร้อยราวกับเด็กน้อยที่ไม่เคยสัมผัสสตรีมาก่อน
ระหว่างทางพบผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์เผ่ามารหลายครั้ง ตอนผ่านการไต่สวนล้วนมีเหรินเซวียนจือไปติดต่อ จึงถูกปล่อยตัวมาอย่างราบรื่น จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย “ผู้บำเพ็ญเซียน เผ่ามนุษย์เผ่ามารมากมายขนาดนี้ ทำไมพอเจ้าแจ้งชื่อก็ถูกปล่อยตัวไปอย่างง่ายดาย?”
เหรินเซวียนจือเอ่ยเรียบๆ “ข้าคือหนึ่งในแปดเจินเหรินใหญ่ของสำนักหมิงเยวี่ย ออกมารบกับเผ่าปิศาจครั้งนี้ ข้ามีฐานะเป็นแนวหน้า การรบแต่ละครั้งล้วนมีข้าอยู่ข้างหน้า มีชื่อเ เสียงในสามเผ่าอยู่บ้าง ย่อมถูกไต่สวนน้อย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินมีสำนักใดมาบ้าง?” จินเฟยเหยารู้สึกว่าพวกเขาล้วนเป็นคนของโลกวิญญาณทั้งสิบสองแห่ง น่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกว่าเผ่ามนุษย์ภายนอก คาดว่ าสอบถามเรื่องพวกนี้ได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้มาใหม่ มองอีกด้านหนึ่งคือพวกเดียวกัน
“มีมามากมาย แต่ละโลกวิญญาณต่างคัดเลือกคนออกมาจำนวนไม่น้อยสร้างเป็นกองทัพสิบสอง” เรื่องนี้เหรินเซวียนจือรู้ คิดว่าจินเฟยเหยาเป็นคนของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน คาดว่าคงจะมีคนรู้ จักอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงถามว่า “เจ้าคิดจะถามถึงสำนักใด?”
จินเฟยเหยาครุ่นคิด “สำนักจินคุน มีสำนักนี้หรือไม่?”
“สำนักจินคุน สำนักที่สยงเทียนคุนอยู่น่ะหรือ?” พอเหรินเซวียนจือได้ฟังก็รู้ว่าพูดถึงใคร
“เอ๋ เขามีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยหรือ” จินเฟยเหยาปลาบปลื้ม สยงเทียนคุนยิ่งมีชื่อเสียง สำนักจินคุนก็ยิ่งแข็งแกร่ง ท่าทางตอนนั้นจะไม่ได้ทำผิดพลาด สำนักของตนเองใหญ่โตขึ้นทุกท ที
มองท่าทางยินดีของจินเฟยเหยา เหรินเซวียนจือนึกได้ว่าสยงเทียนคุนคนนั้นหน้าตาเหมือนอิสตรี ตอนเจอคนผู้นี้ครั้งแรก ถ้าไม่ได้กลิ่นอายบุรุษบนร่างเขาก็เกือบจะนึกว่าเป็นสตรี แล้ว พูดถึงรูปโฉมก็สูสีกับหวาหวั่นซี หน้าตาแบบนั้นจะเป็นบุรุษทำไม!
อีกทั้งยังทำท่าเอียงอายทั้งวันทำให้หัวใจของผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากเปลี่ยนไป ห้อมล้อมเขาทั้งวันไม่รู้ว่าส่งมอบสิ่งของให้มากเพียงใด โชคดีที่ตนเองมีสติหนักแน่น ไม่สนใจบุรุษเลย ยสักนิด ไม่เช่นนั้นต้องติดกับเขาแน่ ใบหน้าอ่อนโยนแฝงความเอียงอายปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเหรินเซวียนจือทำให้เขาตกใจจนต้องรีบมองหวาหวั่นซีเพื่อขับไล่เงาร่างของสยงเทียนคุนอ ออกไป
เห็นเขาไม่ถาม จินเฟยเหยาก็แปลกใจ พลันนึกได้ หรือว่าแม้แต่เสี่ยวสยงคนผู้นี้ก็ไม่ละเว้น!
พบว่าสายตาของจินเฟยเหยาแปรเปลี่ยน เหรินเซวียนจือก็เข้าใจทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “คนที่เจ้ารู้จักผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก หน้าตากลับเหมือนสตรี ตอน นเพิ่งออกมาทัพสิบสองของพวกเราทั้งหมดอยู่ด้วยกัน แต่ต่อมาเขาถูกเผ่ามารลากไป”
“เผ่ามารลากตัวไป? คงไม่ใช่คนที่ชื่อหงหรอกนะ” จินเฟยเหยาหลุดปากออกมา ถูกหงที่อยู่ขั้นแปลงจิตพาไปคงเคราะห์ร้ายมากกว่าดี รักษาประตูหลังไว้ไม่ได้!
“เขาเอง หงที่หนึ่งคนกลายเป็นกองทัพ ร้ายกาจอย่างยิ่ง เจ้ามีคนรู้จักเยอะจริงนะ” เหรินเซวียนจือคิดไม่ถึงว่าคนที่ยายนี่รู้จักจะมีมากมาย หากมิใช่วิปริตก็เป็นบุคคลอันร้ายกาจ “ทั พสิบสองแบ่งเป็นสามขุมกำลัง เขาถูกเผ่ามารพาไปสถานที่อื่น ตอนนี้เผ่ามนุษย์และเผ่ามารร่วมมือกัน ดังนั้นจึงยินยอมไปเอง”
“อืม” จินเฟยเหยาตอบรับคำหนึ่ง ในใจกลับเป็นห่วงสยงเทียนคุนอยู่บ้าง หงเป็นเจ้าวิปริต มีแต่สวรรค์จึงรู้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมา
คิดถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตเหล่านั้น จิตใจเหรินเซวียนจือก็หนักอึ้ง ตนเองติดอยู่ที่ขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายเป็นเวลานานสมควรบรรลุขั้นแปลงจิตเสียที ไม่ว่าขั้นกำเนิดใหม่ ช่วงปลายจะร้ายกาจเพียงใดก็ยังด้อยกว่าขั้นแปลงจิตไม่ใช่น้อยๆ
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าเจ้าควรบรรลุขั้นแปลงจิตให้เร็วหน่อยจะดีกว่า อย่าเอ้อระเหยลอยชายทั้งวัน ครั้งนี้หลังจากกลับไป ข้า จะไปรายงานสำนักก่อน จากนั้นปิดด่านกักตนทะลวงขั้นแปลงจิต”
จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าเหรินเซวียนจือจะเป็นห่วงตนเองจึงมองเขาอย่างตกใจสุดขีด เจ้าหมอนี่คงไม่ได้กินยาผิดนะ!
คิดไม่ถึงเขากลับเอ่ยต่อว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะปกป้องเสี่ยวซีไม่ได้ รูปโฉมของนางดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนที่มุ่งร้ายมาได้ง่าย พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าต่ำเกินไป ถ้าข้าบรรลุขั้นแปลงจิ ตก่อน เจ้าต้องมอบเสี่ยวซีให้ข้าคุ้มครอง เนื่องจากเจ้าปกป้องนางไม่ได้”
“เจ้าบ้าหรือเปล่า” จินเฟยเหยาหมดวาจาโดยสิ้นเชิง พูดบ้าบออะไรกันแน่ หวาหวั่นซียังต้องให้คนปกป้องด้วยหรือ อีกทั้งถึงปกป้อง ตามหลักเหตุผลแล้วนางต้องปกป้องข้าจึงถูกต้อง
เหรินเซวียนจือไม่สนใจคำคัดค้านของจินเฟยเหยา ทว่าหันหน้าไปพูดคุยกับหวาหวั่นซีอีก หวาหวั่นซีกลับแย้มยิ้มอย่างเบิกบาน ในใจรู้สึกว่าจินเฟยเหยาและเหรินเซวียนจือช่างน่าสนุกจร ริงๆ
ระหว่างทางทั้งสองคนเจ้าด่าข้าสองประโยค ข้าว่าเจ้าหลายครั้ง ส่งเสียงเอะอะมาตลอดทางจนถึงที่ตั้งค่ายของเผ่ามนุษย์
มองจากที่ไกลๆ เห็นเมืองดินแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นดินสีแดง กำแพงของเมืองดินถูกหลอมขึ้น แม้แต่แร่ที่อยู่ในนั้นก็ถูกหลอมขึ้นด้วยและปรากฏสีแดงสดใสชนิดหนึ่ง นี่มิใช่ดิน นสีแดงธรรมดา ทว่าเป็นอิฐป้องกันกำแพงเมืองอันแข็งแกร่ง
“นี่คิดจะต่อสู้กันกี่ปี แม้แต่ของแบบนี้ก็ยังหลอมสร้างออกมา คือคิดจะอยู่ยาวสินะ” จินเฟยเหยามองเมืองดินแห่งนี้อย่างหมดวาจา สามเผ่านี้คงลืมพวกเผ่าพิภพซึ่งเป็นเจ้าของเดิ มที่นี่โดยสิ้นเชิง
“พื้นที่มีเพิ่มมากขึ้นเท่าไรก็ถือว่าดีเท่านั้น ไม่มีใครรังเกียจว่าน้อยไปหรอก” เหรินเซวียนจือตอบ
จินเฟยเหยากลับชี้บนพื้นพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าเพิ่งเปิดเส้นทางได้ก็มาแย่งชิงผู้อื่นทันที กวาดม้วนโลกทั้งหมดเข้าสู่สงครามเพื่อคิดจะแย่งชิงสิ่งของ ที่จริงค้าขายกันก็พอ ขอเพี ยงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งนำสิ่งของพิเศษอะไรไปก็ไม่มีใครยุ่งเกี่ยว จำเป็นต้องสู้กันจนกลายเป็นแบบนี้ด้วยหรือ?”
“ทำไมจะไม่มีความจำเป็น โลกวิญญาณแต่ละใบต่างมีสิ่งของเฉพาะถิ่นของตน อีกทั้งเผ่าปิศาจยังขึ้นโลกระดับเทพไม่ได้ เผ่าปิศาจในโลกระดับวิญญาณจึงมีความแข็งแกร่งมากเกินไป มีทั้งขั้นแ แปลงจิตและขั้นว่างเปล่าอยู่ ความแข็งแกร่งของทั้งสามเผ่าไม่สมดุล เกิดการสู้รบขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ” ถ้าเผ่ามนุษย์ยึดโลกวิญญาณได้มาก ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามน นุษย์ก็จะได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งการรบสามารถทำให้เกิดการเข่นฆ่า เพียงข้อนี้ เหรินเซวียนจือก็ไม่ปฏิเสธเรื่องดีงามแบบนี้แล้ว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเผ่าปิศาจจึงขึ้นโลกระดับเทพไม่ได้?” จินเฟยเหยาพลันเอ่ยถาม นางคิดจะลองถามดูว่าผู้อื่นรู้เรื่องโลกระดับเทพถูกลงการป้องกันไว้หรือไม่
เหรินเซวียนจือเงียบงันไป “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ มาที่นี่จึงได้ยิน เห็นว่าเผ่าปิศาจล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เผ่ามนุษย์คนหนึ่ง เขาจึงลงการป้องกันและผนึกโลกระดับเทพทั้งหมดเอาไว้ ไม่เช่นนั้ นโลกระดับเทพเป็นสถานที่ซึ่งมีสัตว์ปิศาจถือกำเนิดมากที่สุด ที่นั่นมีสัตว์ปิศาจขั้นเก้ามากมาย เดิมทีแต่ละปีจะมีเผ่าปิศาจเกิดขึ้นไม่น้อย ทว่าหลังจากถูกเขาลงการป้องกันไว้ เคราะห์ สายฟ้าก็ไม่ผ่าลงมา ทำให้สัตว์ปิศาจทั้งหมดในโลกระดับเทพเลื่อนเป็นขั้นเทพไม่ได้ แม้แต่เผ่าปิศาจในโลกระดับวิญญาณก็ขึ้นไปโลกระดับเทพไม่ได้”
“ที่จริงขอเพียงเปิดการป้องกันให้ขั้นว่างเปล่าทั้งหมดขึ้นโลกระดับเทพได้ ส่งขั้นว่างเปล่าและขั้นแปลงจิตขึ้นโลกระดับเทพให้หมดอย่างเผ่ามนุษย์ ถึงตอนนั้นเผ่าปิศาจไม่ถูกกักอยู ที่นี่ ย่อมขึ้นไปค้นหาวัตถุดิบธาตุสายฟ้าที่โลกระดับเทพ ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งก็สมดุลกันแล้ว” จินเฟยเหยาเสนอแนะ
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเปิดการป้องกันอย่างไร อีกทั้งถึงเปิดออกได้ สงครามก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี” เหรินเซวียนจือส่ายศีรษะ ถ้าไม่มีการสู้รบแล้วจริงๆ ตนเองคงเบื่อหน่ายแทบตาย
จินเฟยเหยายักไหล่ส่งเสียงขึ้นจมูก “ก็เพื่อผลประโยชน์สินะ ยังมาพูดว่าความแข็งแกร่งไม่สมดุลอีก ชักทนคนอย่างพวกเจ้าไม่ไหวมากขึ้นทุกที”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าแค่อยากเห็นโลกนี้วุ่นวาย ส่วนผลประโยชน์เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น” เหรินเซวียนจือเอ่ยยิ้มๆ ผู้อื่นก่อสงครามเพื่อผลประโยชน์ แต่ตนเองไม่ได้ทำเพื อเรื่องนี้ ขอเพียงสร้างความหายนะให้โลกใบนี้ได้ ยิ่งสู้รบมากก็ยิ่งดี
ระหว่างที่สนทนา คนทั้งสามก็มาถึงหน้าเมืองดิน มีผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์พุ่งออกมาไต่ถาม เหรินเซวียนจือล้วงป้ายหยกออกมาชิ้นหนึ่งและแจ้งฐานะของตนเอง พวกเขาจึงถูกปล่อยเข้าเ เมือง
เหาะเข้าเมืองดิน จินเฟยเหยาหมดวาจาทันที เมืองดินแค่มีกำแพงล้อมรอบเท่านั้น ใต้กำแพงเป็นทางเข้าเมืองที่เผ่าพิภพขุดออกมา ที่แท้แค่สร้างกำแพงล้อมเพื่อป้องกันเมืองด้านล่าง น นึกว่าสร้างเมืองอันงดงามแห่งหนึ่งอยู่บนพื้นจริงๆ เสียอีก หลงคิดอยู่นานที่แท้สร้างไว้แค่นิดเดียว
เหรินเซวียนจือนำพวกเขามาถึงเมืองใต้พิภพ นี่คือเมืองใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของโลกวิญญาณจ้งถู่เมื่อครั้งศิลาวิญญาณยังเป็นเงินตราและเผ่าพิภพยังมีตำแหน่งฐานะในยามนั้น
เดิมทีจินเฟยเหยานึกว่าจะได้เห็นเมืองอันงดงามเหมือนค่ายของเผ่าปิศาจ กลับพบว่านอกจากมีขนาดใหญ่โตแล้วก็เทียบไม่ได้กับเมืองที่เผ่าปิศาจยึดครอง ศิลาวิญญาณบนพื้นถูกคนขุดออก กไปหมดแล้ว ผนังอันเรียบลื่นก็ขรุขระ ตรงที่เรียบลื่นไม่น้อยถูกดึงออกมา ท่าทางหลังจากเผ่าพิภพตกต่ำ ที่นี่ก็ถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี
“ศิลาวิญญาณที่ปูบนพื้นพวกนั้นคงไม่ได้ถูกขุดไปหมดหลังจากพวกเจ้ามาหรอกนะ” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสงสัย นางรู้ดีว่าโลกวิญญาณทางฝั่งนี้ไม่เห็นความสำคัญของศิลาวิญญาณจึงเป็นไป ปไม่ได้ที่จะขุดศิลาวิญญาณพวกนี้ออกมา เนื่องจากสถานที่ซึ่งฝังศิลาวิญญาณทางฝั่งเผ่าปิศาจก็ยังอยู่ในสภาพดีและไม่มีความเสียหาย ไหนเลยจะเหมือนที่นี่ ไม่เหลือสักก้อน สิ่งที่เหลือมี เพียงหลุมเล็กๆ ที่ศิลาวิญญาณหายไป
“ทัพสิบสองเป็นคนทำ” เหรินเซวียนจือพยักหน้ารับ
“ทัพสิบสองอะไร เจ้าบอกว่าพวกเจ้าทำก็ได้นี่ ที่นี่ศิลาวิญญาณไม่มีค่า พวกเจ้าขุดเอากลับไปใช้สินะ” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ
เหรินเซวียนจือไม่ได้ตอบนาง หลังจากมาถึงโลกวิญญาณแห่งใหม่ในตอนแรก จึงพบว่าทางฝั่งนี้ไม่ใช้ศิลาวิญญาณในการซื้อขาย ทว่าใช้ยามังกรคำรามอะไรนั่น หลังจากสอบถามจึงรู้ว่าเพราะโลก กวิญญาณจ้งถู่ขุดศิลาวิญญาณสะเปะสะปะ มีศิลาวิญญาณมากเกินไปทำให้ใช้ยามังกรคำรามซื้อขายแทน เนื่องจากข่าวสารนี้ ทัพสิบสองจึงยินดีมาโลกวิญญาณจ้งถู่เอง มีศิลาวิญญาณมากจนถึงขั้นเปลี ยนแปลงเงินตราได้ ต้องมีเหลืออีกมากแน่
พอมาถึงที่นี่จึงพบว่าที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์ นอกจากโลกวิญญาณชิงหลิวที่อยู่ก้นทะเลและควบคุมโดยเผ่าปิศาจทั้งหมด โลกวิญญาณที่รายล้อมโลกวิญญาณจ้งถู่ก็อยู่ห่างกันไกล ถึงไปทางทะเ เล ก็มีเส้นทางไม่กี่สายที่ค่อนข้างตายตัว บินสะเปะสะปะในทะเลจะรนหาที่ตายเอา ถ้าจะไปโลกวิญญาณยี่สิบกว่าแห่งรอบด้านก็จำเป็นต้องหยุดพักที่โลกวิญญาณจ้งถู่
เนื่องจากมีเกาะเล็กๆ กลางทะเล วงเวทส่งตัวจึงไม่ใช่สิ่งที่มีระหว่างทุกโลกวิญญาณ ระหว่างโลกวิญญาณส่วนมากยังใช้เรือเดินทะเลหรือเหาะเหินโดยตรง โลกวิญญาณจ้งถู่จึงกลายเป็นจุดพัก็ ระหว่างทาง เนื่องจากไปมาล้วนต้องผ่านที่นี่ บวกกับที่นี่มีสินแร่จำนวนมาก เผ่าปิศาจจึงส่งทัพใหญ่อาวุธครบมือมาที่นี่ ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด
ส่วนศิลาวิญญาณที่ทัพสิบสองคิดว่ามีมากก็มีน้อยจนน่าสงสาร แม้แต่ศิลาวิญญาณที่ฝังบนพื้นก็ถูกขุดออกมา อยากได้มากกว่านั้นก็ได้แต่ส่งคนไปขุด กลับขุดพบแร่หลายชนิดที่นี่ ขุด ได้ศิลาวิญญาณไม่มากแต่กลับขุดพบแร่ผสมไม่น้อย อีกทั้งแร่ผสมเหล่านี้ยังไม่มีค่า นำมาหลอมสร้างก็ไม่คุ้มทุน แร่ดีๆ ก็ขุดไม่เจอ ขุดมาหนึ่งปีกว่าก็ขี้เกียจขุดแล้ว
ต่อมาพบว่าที่นี่มีเผ่าพิภพเป็นชนพื้นเมือง รูปร่างเตี้ยเล็กสามารถขุดเหมืองได้ ทว่าตอนพวกเขาเพิ่งมาได้สังหารเผ่าพิภพไปไม่น้อย ทำให้พอเจ้าพวกนี้เห็นเผ่ามนุษย์ก็วิ่งหนีไปเสี ยไกลลิบ จับตัวพวกเขาไม่ได้เลย ตอนนี้เมืองใต้ดินที่มีชื่อว่าเมืองเป่ากวงแห่งนี้จึงกลายเป็นค่ายของเผ่ามนุษย์โดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่ได้ดูแลรักษา ทำให้ทรุดโทรมจนสูญเสียความหม มายของคำว่าเป่ากวง[1]ไปนานแล้ว
เผ่ามนุษย์ในเมืองกลับมีอยู่ไม่น้อย คนที่คิดจะมาขุดศิลาวิญญาณมีมากมาย คนทั้งสามหาที่ว่างแห่งหนึ่งหยุดลง เหรินเซวียนจือฉุดดึงมือของหวาหวั่นซีอย่างเป็นธรรมชาติ เอ่ยกับจิน นเฟยเหยาว่า “เจ้าไปหาเมล็ดพืชบนแผงแบกะดินที่ผู้บำเพ็ญเซียนตั้งเองก่อน ข้าว่าเจ้าลดพลังบำเพ็ญเพียรลงเป็นขั้นฝึกปราณหรือขั้นสร้างฐาน อาศัยใบหน้าและเสื้อผ้าของเจ้าน่าจะ ไม่ถูกคนดูออก”
“แล้วเจ้าล่ะ?” จินเฟยเหยามองมือของเขาที่ฉุดดึงมือของหวาหวั่นซี เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เหรินเซวียนจือเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าจะพาเสี่ยวซีไปสำนักข้าก่อน ครั้งที่แล้ว ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงหลบหนีไป คาดว่าสำนักคงสืบหาข่าวคราวของข้าอย่างร้อนใจ ข้าจะพานางไปพบบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า จากนั้นค่อยไปหาเจ้า”
“พานางไปพบศิษย์พี่ศิษย์น้อง? เจ้านึกว่านางเป็นอะไรกับเจ้า!” จินเฟยเหยายื่นมือไปดึงหวาหวั่นซีมา กลับถูกเหรินเซวียนจือฉุดรั้งไว้ มือคว้าได้อากาศ
จินเฟยเหยาตะโกนว่า “หวั่นซี เจ้าคิดจะตามเขาไปพบศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สำนักหมิงเยวี่ยหรือ?”
หวาหวั่นซีครุ่นคิดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะตามเขาไปดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องดีอะไร”
“เจ้าถึงกับจะตามสุนัขป่าราคะไป เสียแรงที่ข้าเอ็นดูเจ้าจริงๆ ไปแล้วต้องกลายเป็นภรรยาคนแซ่เหรินแน่ ยังจะกลับมาได้หรือ” พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็เอ่ยอย่างเดือดดาล
หวาหวั่นซีแย้มยิ้มไม่เอ่ยวาจา ถ่ายทอดเสียงมาทันที “เอาน่า ข้าเป็นหุ่นเชิดของเจ้า ภายในร่างมีการป้องกันที่การรับรู้ของเจ้าลงไว้ คิดจะหนีก็หนีไม่รอดหรอก ข้าจะไปตรวจสอบสภาพการ รณ์สักหน่อย เข้าใจสภาพการณ์มากขึ้นมีแต่ประโยชน์กับพวกเรา ถึงเจ้าจะสามารถปะปนอยู่ในทั้งสามเผ่าได้ ตอนนี้ก็เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ถึงเวลาต้องดูว่ามีโอกาสให้ฉวยหรือไม่ จะได้ขยายอิทธิพลของพวกเรา”
จินเฟยเหยาครุ่นคิด จะว่าไปก็จริง ตอนนี้ตนเองเพิ่งมีเผ่าพิภพที่ไร้ประโยชน์หนึ่งหมื่นคน ถ้าคิดจะควบคุมสินแร่ของที่นี่ ก็ต้องสอบถามสภาพการณ์ของทั้งสามเผ่าให้กระจ่าง ถึงอย่างไ ไรกลุ่มที่มีอิทธิพลน้อยที่สุดในตอนนี้ก็คือตนเอง อีกทั้งกลุ่มที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นตนเอง
“ไปเถอะ ถึงอย่างไรเขาก็เล่นลูกไม้อะไรกับเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว อีกทั้งประสบการณ์ของเขายังไม่เท่าเจ้า ใครจะเอาเปรียบใครก็ยังไม่รู้เลย” จินเฟยเหยาวางใจ แล้วโบกไม้โบกมือให้พวกเขา เอ่ยพลางหัวเราะหึๆ
เหรินเซวียนจือถลึงตาใส่นางอย่างดุร้ายหลายครั้ง ลากหวาหวั่นซีจากไปโดยไม่หันหน้ามา
“เจ้าหมอนี่ต้องคิดจะพาภรรยากลับไปให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องดูแน่ ถึงตอนนั้นดูสิว่าจะจบอย่างไร” จินเฟยเหยาทดลองใช้การรับรู้ที่ใส่ไว้ในร่างหวาหวั่นซี นางก็รู้ตำแหน่งของพวกเขา อย่างง่ายดาย
หลังจากพบว่าไม่มีปัญหา นางก็ทำตามคำพูดของเหรินเซวียนจือ ลดพลังบำเพ็ญเพียรเป็นขั้นสร้างฐานช่วงต้น เตรียมออกไปดูในตลาด เพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวจึงนึกขึ้นได้ เหรินเซวียน นจือไม่ได้บอกตนเองว่าตลาดอยู่ที่ใด
นางได้แต่ด่าทอหลายประโยคและไปหาตลาดเอง ถามคนหลายคน นางจึงหาตลาดของเมืองเป่ากวงพบ นี่คือตลาดที่ผู้บำเพ็ญเซียนสร้างขึ้นเอง สิ่งที่ซื้อขายส่วนมากล้วนเป็นสิ่งของสัพเพเหระ ปะปนกัน อีกทั้งในบรรดานั้นยังมีจำนวนไม่น้อยที่ปล้นชิงมาจากร่างเผ่ามารที่ถูกฆ่าตาย
นางจ้องมองสินค้าบนแผง ขอเพียงเห็นสินค้าพวกเมล็ดพืชก็จะนั่งยองๆ ลงถาม ถามรอบหนึ่ง แทบทั้งหมดเป็นเมล็ดพืชพวกหญ้าวิญญาณ เมล็ดพืชที่ใช้เป็นอาหารได้ไม่มีเลย จินเฟยเหยารู้สึ กว่าการหาแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีจึงไปหามุมหนึ่ง ปูหนังสัตว์เขียนป้ายรับซื้อเมล็ดพืชและเฝ้าอยู่ที่นั่น
วิธีนี้ไม่เลวจริงๆ มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณและขั้นสร้างฐานบางคนนำเมล็ดพืชมาขาย บางอย่างเป็นอาหารได้ บางอย่างก็เป็นหญ้าวิญญาณ จินเฟยเหยาก็รับมาโดยไม่ปฏิเสธ โดยพื้นฐา านแล้วเมล็ดพืชที่เป็นอาหารได้ล้วนเป็นคนขั้นฝึกปราณนำมาขาย มีเพียงพวกเขาจึงเก็บสิ่งไม่มีค่าเหล่านี้ไว้ แลกศิลาวิญญาณได้นิดหน่อยก็ยังดี
โลกวิญญาณทางฝั่งนี้ไม่ใช้ศิลาวิญญาณ ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนของกองทัพสิบสองยังเคยชินกับการใช้ศิลาวิญญาณซื้อขาย ดังนั้นในเวลานี้ศิลาวิญญาณของจินเฟยเหยาจึงได้ผล เพียงแต่ที่นี่ได้ร รับผลกระทบจนเคยชิน ศิลาวิญญาณจึงมีค่าต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะจินเฟยเหยากำลังตรวจสอบเมล็ดพืชขนาดเท่าลูกฟักทองที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคนหนึ่งอุ้มมาขาย ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษขั้นแปลงจิตช่วงต้นคนหนึ่งเด ดินมาหน้าแผง เดิมทีเขาแค่เดินผ่าน ทว่าพอเห็นจินเฟยเหยาก็ชะงักเท้าลง ตั้งใจมองนางแล้วมองป้ายไม้รับซื้อเมล็ดพืชที่วางอยู่หน้าแผง
“ข้าไม่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร กินได้หรือไม่” จินเฟยเหยาตบเมล็ดพืชอันใหญ่ ถามผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเบื้องหน้าอย่างสงสัย
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเหล่านี้ล้วนมาเป็นผู้รับใช้ ดูแลเรื่องจิปาถะของผู้อาวุโสหรือผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงโดยเฉพาะ ไม่ต้องให้พวกเขาเข้าสนามรบ ได้ยินจินเฟยเหยาถามถึงเมล็ดพื ชนี้อย่างสงสัย เขาจึงอธิบายว่า “ผู้อาวุโส สิ่งนี้กินได้จริงๆ ข้าเก็บมาตอนผ่านโลกวิญญาณด้านหน้า ข้าเคยเห็นเผ่ามนุษย์พื้นเมืองกินสิ่งนี้ ดูเหมือนหลังจากบดสามารถใส่น้ำทำเป็น นปิ่งย่างกินได้ ขอข้านึกชื่อดูก่อน ตอนนั้นเคยได้ยินมา”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณคนนั้นครุ่นคิดแล้วปรบมือเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ดูเหมือนจะเรียกว่ารากผงปิ่ง หั่นมันให้เป็นชิ้นเล็กๆ ปลูกไว้ในดินก็พอ ใช้น้ำไม่มาก พองอกจะมีใบใหญ่ๆ ใบหนึ่ง ไม่บอบบางเลยสักนิด”
ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าคนขั้นสร้างฐานจะเก็บของแบบนี้ไว้ทำอะไร ไม่ว่าใครก็คงไม่ต้องการสิ่งของที่ยุ่งยาก ยิ่งพูดว่าง่ายยิ่งดี
“ก็ได้ เจ้าคิดจะขายกี่ศิลาวิญญาณ?” ปลูกง่ายขนาดนี้ คงเหมาะกับนาโคลนทะเล จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถาม
“หนึ่งร้อยศิลาวิญญาณชั้นล่าง”
“…” จินเฟยเหยาเกลียดราคาสิ่งของที่นี่จริงๆ เผ่าพิภพทำร้ายแท้ๆ หากมิใช่พวกเขาทำให้ศิลาวิญญาณราคาตก เขาจะกล้าเรียกราคาเมล็ดพืชบ้าบอเมล็ดหนึ่งสูงขนาดนี้ได้อย่างไร
“ถือว่าเจ้าโชคดี วันนี้ข้าอารมณ์ดี อ่ะให้เจ้า” จินเฟยเหยาพึมพำ นำศิลาวิญญาณชั้นล่างร้อยก้อนออกมาให้เขา
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณรับศิลาวิญญาณแล้วเดินจากไป จินเฟยเหยาเก็บรากผงปิ่งใส่ถุงเฉียนคุน เงยหน้าขึ้นมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตช่วงต้นที่ยืนจ้องมองนางอยู่ด้านข้าง มาตลอด “ผู้อาวุโส ท่านมีธุระอะไร หรือว่าคิดจะขายเมล็ดพืชให้ข้า?”
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตช่วงต้นคนนั้นพลันเดินมา นั่งยองๆ หน้าแผงนาง จากนั้นเห็นเขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “เฟยเหยา เจ้าปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมาเก็บเมล็ดพืชที่ นี่ทำไม หรือว่าคิดจะหาสถานที่ที่ไม่มีคนเพาะปลูก?”
เอ๋! จินเฟยเหยาเบิกตาโตมองเขา คนผู้นี้เป็นใคร ข้าไม่รู้จักเขานะ หรือว่าเป็นศัตรู! ไม่ถูกสิ ข้าไม่มีศัตรูเลยนะ อีกทั้งข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน
นางมองพินิจคนผู้นี้อย่างละเอียด หน้าตาหล่อเหลาคมคาย มองดูจากภายนอกอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี องคาพยพทั้งห้ามองดูแล้วรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้างจริงๆ แต่นางไม่รู้จักเด็ดขาด เป็นใคร กันแน่ ทั้งยังเรียกตนเองว่าเฟยเหยาราวกับคนคุ้นเคย
“เจอครั้งที่แล้วเจ้ายังเป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงกลางอยู่เลย ตอนนี้ไม่รู้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งเพียงใด เจ้าคงไม่ได้สลายพลังเปลี่ยนเป็นขั้นสร้างฐานหรอกนะ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ถึ งเจ้าจะทำแบบนี้ เทาเที่ยก็คงไม่ให้เจ้าสลายพลังจนถึงขั้นนั้น หรือเพื่อสลัดหลุดจากเทาเที่ยเจ้าจึงสลายจินตัน ดังนั้นพลังบำเพ็ญเพียรจึงลดลงเป็นขั้นสร้างฐาน?” ผู้บำเพ็ญเซียน คนนั้นเอ่ยต่อ
จินเฟยเหยาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างดุดัน “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
“ข้า? เจ้าลืมข้าเร็วขนาดนี้เชียว” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตคนนี้เบิกตามองดูนาง รู้สึกไม่พอใจที่นางจำตนเองไม่ได้
“ไม่ต้องมาเสแสร้ง เจ้าเป็นใครกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะรู้เรื่องของข้ามากมายขนาดนี้” จินเฟยเหยาจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงอำมหิตอย่างยิ่ง
“อุ๊บส์…” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตคนนั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าคือจู๋ซวีอู๋”
“หา!”
……………………………………
[1] เป่ากวง หมายถึง แสงเจิดจรัสของสิ่งล้ำค่า